อิทธิพลของ ครอบครัว และกลุ่มเเพื่อน ที่ส่งผลกับพฤติกรรมของเด็กโดยตรง

เด็กวัย 13 ทำเก่งบอกแม่อย่ายุ่งกับชีวิตผม เจอแม่ทวงค่าเช่าบ้าน-อาหาร สิ้นลายเลย

เว็บไซต์เมโทรของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวไม้เด็ดของคุณแม่ ที่งัดออกมาจัดการกับลูกชายตัวแสบ หลังจากเขาทำเก่งประกาศตัวเป็นอิสระ แม่อย่ามายุ่งกับชีวิตผม! . . .เรื่องนี้เกิดจาก 2 แม่ลูกได้มีปากเสียงกันในวันหนึ่ง และลูกชายตัวแสบก็ได้ลั่นวาจาว่าเขาเป็นอิสระแล้ว ขอให้แม่อย่ามายุ่งกับชีวิตผมอีก >> แต่ใครเลยจะไปคาดคิดว่าเด็กชายตัวแสบจะสิ้นลายเมื่อเจอไม้เด็ดของแม่ ที่ส่งจดหมายระบุเงื่อนไขในการอยู่ในบ้าน หากเขาคิดว่าตัวเองเป็นอิสระแล้ว โดยเธอเขียนจดหมายทวงค่าเช่าบ้าน ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต แถมยังยึดเสื้อผ้าอีก  “ถึง.. อารอน จากการที่ลูกลืมไปแล้วว่าตัวเองอายุ 13 และแม่ก็คือผู้ปกครองของลูก และลูกก็ไม่อยากจะถูกควบคุมใด ๆ แล้ว แม่คิดว่าลูกจะต้องได้รับบทเรียนของการเป็นอิสระ สำหรับเรื่องที่ลูกบอกแม่ว่าตอนนี้ลูกหาเงินเองได้แล้ว ดังนั้นมันก็คงง่ายเลยที่จะซื้อของที่แม่เคยซื้อให้ลูกกลับคืนไป ต่อไปนี้ถ้าลูกอยากจะใช้ไฟหรือเข้าอินเทอร์เน็ต ลูกจะต้องแชร์ค่าใช้จ่ายกับแม่ดังนี้                 – ค่าเช่าบ้าน 430 ดอลลาร์                 – ค่าไฟ  116 ดอลลาร์                 – ค่าอินเทอร์เน็ต  21 ดอลลาร์ […]

“เด็กเห็น เด็กทำตาม” แคมเปญให้ผู้ใหญ่ระมัดระวังพฤติกรรมก้าวร้าวต่อหน้าเด็ก

มูลนิธิ Child Friendly ประเทศออสเตรเลียได้ปล่อยแคมเปญรณรงค์ภายใต้ชื่อ “Children see Children do” หรือแปลเป็นไทยว่า “เด็กเห็น เด็กทำตาม” โดยมีเนื้อหาจะกล่าวถึงพฤติกรรมแย่ๆ ของผู้ใหญ่ที่แสดงออกมาในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ระดับเบาๆ อย่างการตะโกนใส่กัน ไปจนระดับรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกาย ซึ่งขณะที่ผู้ใหญ่แสดงกิริยาเหล่านี้ เด็กที่เดินตามก็จะเลียนแบบสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำด้วย การที่เด็กเรียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่ หรือ เลียนแบบพฤติกรรมจากพ่อแม่และคนรอบข้าง ก็เปรียบเสมือนเด็กคือกระจกของผู้ใหญ่ พฤติกรรม  การพูด อารมณ์ หลายสิ่งอย่าง เด็กจะซึมซับจากคนรอบข้างและแสดงออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว ผู้ใหญ่เองควรรู้จักเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพวกเขาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นลูกหลานของคุณอาจเป็นแบบนี้! ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : NAPCAN  

[Blogger พญ.พิชญา ตันธนวิกรัย] ตำหนินิสัยไม่น่ารักของลูก..ไม่ช่วยอะไร ‘คำชม’ ต่างหาก เปลี่ยนลูกอยู่หมัด!

หลายๆครั้งที่หมอพูดคุยกับคุณผู้ปกครอง หมอจะพบว่าหลายท่านมีความเข้าใจผิดว่า.. การแก้ปัญหาพฤติกรรมเด็ก คือการคิดหาวิธีลงโทษเพื่อลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พอเวลาเด็กเกิดปัญหาพฤติกรรมขึ้น คุณพ่อคุณแม่จึงทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการจับจุดที่เด็กทำผิดเพื่อคอยตักเตือนและลงโทษ แต่ความจริงแล้วการปรับพฤติกรรมเด็กประกอบด้วย 2 องค์ประกอบใหญ่ๆค่ะ นอกจาก การปรับลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา แล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญพอๆกัน ก็คือ การส่งเสริมเพื่อเพิ่มพฤติกรรมดีๆของเด็ก เช่นการให้คำชม และให้รางวัลกับพฤติกรรมที่ดีของเด็กค่ะ หมอพูดแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะงงนะคะ ว่าการชมจะช่วยแก้ปัญหาพฤติกรรมของเด็กได้อย่างไร.. แต่หมอยืนยันค่ะว่าทำได้จริงๆ เพราะหลายๆครั้ง การให้คำชมเพื่อส่งเสริมให้เด็กมีความสุขกับการทำดี จะไปป้องกันการเกิดพฤติกรรมแย่ๆที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกันได้อัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องไปเสียเวลารบกับเด็กให้มากความค่ะ เช่น เวลาที่เด็กทำท่าหวงของอยู่นานแต่สุดท้ายก็ยอมแบ่งของบางอย่างให้น้อง แทนที่เราจะตำหนิเด็กที่อิดออด แต่เปลี่ยนเป็นให้คำชมความมีน้ำใจของเขาแทน เมื่อเด็กรู้สึกดีที่ได้เป็นคนมีน้ำใจและแบ่งปัน ก็จะลดพฤติกรรมหวงของ (ซึ่งเป็นพฤติกรรมตรงข้ามกับการแบ่งปัน) ไปได้เองค่ะ เพราะข้อสำคัญที่หมออยากฝากก็คือ เด็กทุกคนมีพฤติกรรมดีและไม่ดีปะปนสลับกันไป ฉะนั้นแล้วจากเดิมที่เราอาจจะเผลอมองแต่ส่วนที่เขายังทำไม่ดีเพื่อคอยตักเตือน จากนี้ไป เราอย่าลืมจับจุดพฤติกรรมดีๆของเด็กเพื่อคอยบอกให้เขารู้ว่าเรามองเห็นและอยากส่งเสริมให้เขาทำต่อไปด้วยนะคะ เพราะการปรับพฤติกรรมที่ได้ผลจะต้องอาศัยองค์ประกอบทั้งสองส่วนให้มีความสมดุลกันค่ะ     เรื่องโดย : พญ.พิชญา ตันธนวิกรัย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น รพ.พหลพลพยุหเสนา ภาพ : ShutterStock    

Kidchen ครัวตัวจิ๋ว โดย คุณแม่อุ้ม สิริยากร พุกกะเวส (สูตรที่ 3) Oishii Kare Raisu ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นแสนอร่อย

ลองถามเด็กญี่ปุ่นว่าชอบอาหารจานไหนมากที่สุด รับรองว่าต้องได้ยินชื่อ “คาเหระ ไรสึ!” มากเป็นอันดับต้นๆ เป็นแน่ค่ะ คงเพราะความเข้มข้นนุ่มนวลของน้ำซอส และรสชาติกลมกล่อมหวานอร่อย ที่ทำให้ข้าวหน้าแกงกะหรี่แบบญี่ปุ่น (Japanese Curry Rice) ถูกใจเด็กๆ นัก และไม่ใช่แต่เฉพาะเด็กญี่ปุ่นเท่านั้นนะคะ เด็กไทยหรือเด็กชาติไหนๆ พอได้ ลองชิมก็เป็นอันต้องติดใจขอหม่ำจนเกลี้ยงจาน ยิ่งถ้าเสิร์ฟกับหมูทอดหรือปลาชุบขนมปังทอด ยิ่งเพิ่มคุณค่าและความ อร่อยให้เจ้าตัวน้อยต้องร้อง “โออิชิ… อร่อยจังเล้ย!” ให้คุณพ่อคุณแม่ได้อมยิ้มกันเป็นแถวเลยล่ะค่ะ ส่วนผสม หอมใหญ่สับละเอียด 1 หัว มันฝรั่งปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นๆ* 2-3 หัว แครอทปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นๆ 2-3 หัว เนื้อหมูหรือไก่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ½-1 กก. น้ำเปล่า 4 ถ้วย แอ๊ปเปิ้ลปอกเปลือก 1 ลูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เกลือ 2 ช้อนชา ซุปแกงกะหรี่ญี่ปุ่นแบบก้อน 1-2 ก้อน (200 กรัม) ซีอิ๊วญี่ปุ่น […]

[Blogger พ่อเอก-58] เกร็ดดี จากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก

เกร็ดดี จากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก             ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสขึ้นเวทีเสวนาเรื่องการเลี้ยงลูกคู่กับคุณหมอจิราภรณ์ อรุณากูร (หรือหมอโอ๋เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน) และคุณหมอธีรชัย บุญยะลีพรรณ ส่วนผมไปในฐานะคุณพ่อรุ่นใหม่ที่เลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจ จึงได้มีโอกาสสนทนาเรื่องลูก กับคุณหมอทั้ง 2 ท่าน ซึ่งก็ได้ให้เคล็ดลับดีๆ ที่น่าสนใจในการเลี้ยงลูก ที่น่าสนุก และอยากเอามาแบ่งปันให้อ่านกันฮะ ความสม่ำเสมอ คุณหมอธี แนะนำว่า การสอนอะไรขอให้ทำให้สม่ำเสมอ ไม่ใช่อารมณ์ดีสอนอย่างหนึ่ง อารมณ์เสียสอนอย่างหนึ่ง เด็กจะไม่รู้ว่าที่ถูกคืออะไร นอกจากนั้นต้องตกลงกันให้ดีระหว่างพ่อและแม่ด้วย เช่น การรื้อกระเป๋า หากคุณแม่ดุ แต่คุณพ่อไม่ดุ เด็กจะเรียนรู้ว่าต่อหน้าคุณพ่อรื้อได้ แต่ถ้าคุณแม่อยู่ห้ามรื้อ ดังนั้นเด็กไม่ได้เรียนรู้ว่าการรื้อกระเป๋าไม่ดี ซึ่งหากไปรื้อกระเป๋าคุณครูที่โรงเรียนอาจจะกลายเป็นขโมยไป การให้รางวัลต่างกับการให้สินบน เด็กๆ ต้องการคำชมเมื่อเขาทำในสิ่งที่ดีดังนั้นถ้าเด็กทำดีต้องให้รางวัล ซึ่งก็คือคำชม เช่น ถ้าเจ้าตัวเล็กทานข้าวเอง ก็ให้ชมเชยเขาด้วย ถือเป็นการให้รางวัล แต่ในอีกกรณีถ้าเจ้าตัวลงไปนอนดิ้นกลางห้างสรรพสินค้าแล้วเราบอกว่าหยุดดิ้นเดี๋ยวซื้อของเล่นให้ ในกรณีหลังเข้าข่ายให้สินบนนะฮะ ซึ่งเจ้าตัวเล็กเรียนรู้เร็วซะด้วยนะ ตีลูกได้เฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้น เด็กกำลังเล่นปลั๊กไฟอาจจะรีบตีมือจะมามัวพูดดีๆ คงไม่ทัน และคุณหมอไม่ได้มองว่าการตีเป็นสิ่งที่ผิด (ตรงนี้ปะป๊าเอกเสริมคุณหมอว่าผมก็ตีนะฮะ แต่ไม่ได้ตีให้เจ็บ แต่ตีด้วยความเมตตา ตีเชิงสัญลักษณ์ให้รู้ว่าถูกตำหนิ) คุณหมอเสริมว่า เพราะหลายๆ […]

[Blogger – พลอย ชิดจันทร์] ตอนที่ 5 พลอยเลี้ยงลูกให้พี่น้องรักกันก่อนอย่างอื่น

ตอนนี้ “ทาชิโน่” 5 ขวบ “ชิลี่” 3 ขวบ “‘ชีต้าร์'” 2 ขวบ และ “‘ชิลิน'” เพิ่ง 5 เดือน (คนสุดท้องเกิดเดือนมีนาคม 2558) พลอยมีความสุขที่ได้เห็นลูกๆเล่นกันสนุก พี่น้องรักกัน อยากเก็บเวลาแบบนี้ไปนานๆ

10 ลูกสาวดารา ฉายแววนางเอกตั้งแต่เด็ก สวยไม่แพ้คุณแม่

ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกดารา มีคุณพ่อคุณแม่หน้าตาดี ดีกรีเป็นถึงระดับดาราชื่อดัง คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูก ๆ จะออกมามีหน้าตาสวยเป๊ะพิมพ์เดียวกัน เผลอ ๆ คุณลูก ๆ จะหน้าตาดีกว่าคุณพ่อคุณแม่ซะอีกนะเนี่ย …ว่าแต่จะมีซุปตาร์วัยเบบี๋คนไหนที่ยิ่งโตก็ยิ่งสวยน่ารักไม่แพ้คุณแม่กันบ้าง วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปยลโฉมลูก ๆ ดารา 10 คนดัง ที่กำลังฉายแววสวยน่ารักไม่แพ้คุณแม่มาให้ชมกันค่ะ ดูสิจะมีสาวน้อยคนไหนกันบ้าง ตามไปดูกันเลยค่ะ ^_^ น้องณดา ลูกสาวคุณแม่ กบ สุวนันท์ ยิ่งโตก็ยิ่งหน้าหวาน ฉายแววนางเอกมาแต่ไกล น้องไลลา ลูกสาวคุณแม่ พอลล่า เทย์เลอร์ สาวน้อยลูกครึ่งคนนี้ สวยได้แม่เลยล่ะ        น้องลียา ลูกสาวคุณแม่ ธัญญ่า ธัญญาเรศ สวยเป๊ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพิมพ์เดียวกัน ^^ น้องณิริน ลูกสาวคุณแม่ หนิง ปณิตา ยิ่งโตก็ยิ่งน่ารัก อนาคตซุปตาร์แน่นอน น้องบีน่า ลูกสาวคุณแม่ นานา ไรบีนา สาวน้อยคนนี้สวยได้แม่มาแบบเต็ม ๆ น้องเนซซี่ ลูกสาวคุณแม่ แหม่ม […]

ุเตือน! อย่าปล่อยสุนัขพันธุ์พิตบูลไว้กับเด็กเพียงลำพัง

จินตนาการของลูกน้อยนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่พื้นที่ในการรองรับจินตนาการก็สำคัญไม่แพ้กันค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่พร้อมที่จะดูแลคุณลูก … ก็ควรเตรียมพื้นที่รองรับฝีมือ!

[Blogger พลอย ชิดจันทร์] ตอนที่ 4 เป็นแม่ลูก 4 ทำไมยังหุ่นดี

ชีวิตเราจะมีความสุขมากขึ้น เพราะจริงๆแล้วผู้หญิงหยุดสวยไม่ได้หรอกค่ะ

ที่สุดของความตื่นเต้นเร้าใจ สนุกและปลอดภัยกับ สวนน้ำ “วานา นาวา” หัวหิน

สวนน้ำ “วานา นาวา” หัวหิน เต็มไปด้วยเครื่องเล่นมากมาย ไว้รองรับความสนุก น่าตื่นเต้น ของทุกเพศ ทุกวัย

พ่อแม่แทบช็อก !! เมื่อลูกแรกเกิด ถูกหนูตัวยักษ์กัดจนตายที่โรงพยาบาล

เรียกได้ว่า หนู นั้นเป็นเสมือนสัตว์สามัญประจำบ้านที่ไม่ว่าบ้านไหนๆก็ต้องมีไปซะแล้ว เจ้าสัตว์จอมแทะชนิดนี้สร้างความลำบากให้เราเป็นอย่างมาก มันไม่เพียงแต่กัดแทะทำลายอาหารของกินของเราเท่านั้น แต่รวมไปถึงทรัพย์สินอันมีค่าของเราอีกด้วย แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะหลีกเลี่ยงเจ้าสัตว์จอมแทะชนิดนี้ไม่ให้อาศัยอยู่ตามที่พักพิงอาศัย แต่กับโรงพยาบาลนั้น อาจจะเป็นเรื่องยากซักหน่อย เพราะทุกโรงพยาบาลจะมีการป้องกันทางด้านสุขาภิบาลที่สูง เพื่อไม่ให้สัตว์พวกนี้เข้าไปอยู่อาศัย หรือถ้ามีนั้นก็ควรจะมีจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่งั้นแล้วอาจจะเกิดปัญหาที่คาดไม่ถึงเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับเด็กทารกโชคร้ายคนนี้ เด็กทารกแรกเกิดที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียง  10 วัน โดนหนูกัดทำร้ายจนถึงชีวิตคาห้องไอซียูที่โรงพยาบาลคุนตูร์ รัฐอานธรประเทศ ประเทศอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ แม่ของเด็กทารกน้อยผู้โชคร้ายคนนี้ได้เปิดเผยว่า เธอนั้นได้เตือนกับทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการมีอยู่ของเจ้าสัตว์จอมแทะพวกนี้แล้ว แต่กลับไม่มีท่าทีใดๆจากทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่จะกำจัดพวกมันออกไป และแม่กล่าวต่อว่า หลังจากที่ลูกของเธอนั้นโดนหนูกัดทำร้าย เธอได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่เพื่อขอให้ทำการศัลยกรรมรักษาในส่วนรอยกัดของดวงตาลูกของเธอก่อน แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับไปให้ความสำคัญมุ่งประเด็นรักษากับรอยกัดตรงแขนขวา รวมถึงเด็กทารกน้อยผู้โชคร้ายยังถูกหนูกัดแทะนิ้วจนขาด ทางคุณแม่เด็กปักใจเชื่อว่า การที่ลูกของเธอตายนั้น ไม่ใช่เพราะโดนหนูกัดโดยตรง แต่เป็นเพราะฝีมือหมอและทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่วินิจฉัยและรักษาได้ช้า ไม่ตรงจุดด้วย ทางคุณพ่อของเด็กชายยืนยันอีกเสียงว่าการที่ลูกชายของเขาตายนั้น เป็นฝีมือของหนูกัดจริงๆ แต่ทางเจ้าหน้าที่กลับแนะเขาว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องกังวลในเมื่อเขายังมีลูกชายอีกคนอยู่ไม่ใช่เหรอ? รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุขทราบเรื่องจึงได้ยกเลิกสัญญากับเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลประจำโรงพยาบาลและสั่งให้ตำรวจสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที พร้อมกับติดตามและรอผลรายงานภายในหนึ่งสัปดาห์ อีกทั้งเขายังบอกอีกว่าจะไม่ปล่อยและประมาทกับเรื่องนี้ ด้วยการส่ง 3 เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขลงไปช่วยตรวจสอบอีกด้วย . . . เมื่อพวกเขาได้เริ่มทำการตรวจสอบด้วยการติดตั้งที่ดักจับหนูตามแต่ละพื้นที่ในโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ที่มีเจ้าหนูฆาตกรอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล หลังจากนั้นทางผู้อำนวยการของโรงพยาบาลคุนตูร์ได้ออกมายอมรับว่า มีหนูมาติดกับที่ดักจับอยู่จริง และได้ทำการตรวจสอบที่มาของพวกมันจนสรุปออกมาได้ว่า เจ้าหนูฆาตรกรพวกนี้หลุดเข้ามาผ่านทางท่อเครื่องปรับอากาศของทางโรงพยาบาลนั่นเอง ทางผู้อำนวยการกล่าวต่อว่า มันเป็นเรื่องน่าสลดที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดพลาดของทางโรงพยาบาลเองด้วยที่ปล่อยให้เจ้าหนูพวกนี้เล็ดลอดเข้ามาอาศัยอยู่บวกกับกระทำที่ไม่รอบคอบของทางหมอและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเองในเวลาเดียวกัน ที่มา : […]

สร้างความสุข…สร้างความหวัง…สร้างโอกาสหนึ่งพันธกิจหลักของมูลนิธิรามาธิบดีฯ

ผศ.นายแพทย์ อดิศักดิ์ นารถธนะรุ่ง หัวหน้าหน่วยเนื้องอกกระดูก ภาควิชาออร์โธปิดิกส์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีกล่าวว่า3 เดือนก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยได้รับอุบัติเหตุจักรยานล้มทับเข่าซ้าย จากนั้นสังเกตเห็นว่าเข่าซ้ายบวมมากขึ้น และปวดมากโดยเฉพาะเวลากลางคืนจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง แต่อาการโดยรวมยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ผลเอ็กซเรย์พบความผิดปกติที่กระดูก แพทย์สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งกระดูกซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตและโรงพยาบาลรัฐแห่งนั้นไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งกระดูก ผู้ป่วยจึงถูกส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อตรวจอาการอย่างละเอียดอีกครั้ง ภายหลังจากที่แพทย์ได้ตรวจดูอาการของโรคอย่างละเอียดแล้ว จึงทำให้ทราบว่าผู้ป่วยกำลังป่วยเป็น “โรคมะเร็งกระดูกขาซ้าย” ทีมแพทย์ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าผู้ป่วยรายนี้สามารถผ่าตัดเก็บขาได้ ซึ่งการรักษาโรคมะเร็งชนิดนี้ จะต้องผ่าตัดเอาส่วนที่เซลล์มะเร็งลุกลามออกไปทั้งหมด เพื่อรักษาขีวิตของผู้ป่วยเอาไว้ นับว่าเป็นโชคดีที่ผู้ป่วยได้มาพบกับทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่สามารถรักษาโรคนี้ได้โดยการใช้เทคโนโลยีการผ่าตัดแบบใหม่ทำให้ไม่ต้องตัดขาด้านซ้ายทิ้ง โดยทีมแพทย์ได้ทำการผ่าตัดเอากระดูกเดิมที่เป็นมะเร็งกระดูกที่บริเวณขาซ้ายออกทั้งหมด และทดแทนด้วยข้อเทียมชนิดพิเศษ (endoprosthesis)โดยใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดทั้งสิ้น 14 ชั่วโมงและยังคงมีการให้ยาเคมีบำบัดอย่างต่อเนื่องหลังผ่าตัด   เด็กหญิงนันท์นภัส ทับทิมศรี (น้องพั้นซ์) อายุ 11 ปีผู้ป่วยโรคมะเร็งกระดูกขาซ้าย ที่ได้รับผ่าตัดแบบใหม่โดยไม่ต้องตัดขาซ้ายทิ้ง ซึ่งใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 14 ชั่วโมงกล่าวว่า “ขอบคุณทีมอาจารย์ทุกท่าน โดยเฉพาะคุณหมออดิศักดิ์ นารถธนะรุ่งด้วยค่ะ ที่อาจารย์หมอใช้การรักษาด้วยวิธีและเทคโนโลยีใหม่ครั้งนี้ แทนการตัดขาซ้ายหนูทิ้ง และต้องขอบคุณมูลนิธิรามาธิบดีฯ และงานสังคมสงเคราะห์โรงพยาบาลรามาธิบดี ค่าข้อเทียมชนิดพิเศษ ที่มีราคาสูงเกือบ 4 แสนบาท รวมไปถึงทีมแพทย์ที่เข้ามาดูแลรักษาสุขอนามัยที่อยู่อาศัยและช่วยสนับสนุนในการซ่อมแซมบ้าน เพื่อให้หนูและครอบครัวมีสุขภาพกาย สุขภาพใจ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น […]

สุดฮาและน่ารัก!! พ่อแม่หมั่นไส้ลูกสาวมีแฟน ถ่ายภาพล้อเลียนแบบลูก ช็อตต่อช็อต

แม้ว่าพ่อแม่ของเราจะเข้าสู่ ‘วัยกลางคน’ ซึ่งเป็นวัยที่หลายคนคิดไปเองว่า ‘อาจไม่มีอารมณ์ขันเท่าใดนัก’ ทั้งๆที่ความจริงไม่ใช่ คนวัยนี้ก็ยังมี ‘ดีกรีความฮาแบบบ้าๆ’ ที่ไม่ธรรมดาแผงอยู่ และนี่คือเรื่องราวที่จะพิสูจน์ความจริงข้อนั้น กับเรื่องราวการแกล้งสุดน่ารักที่เกิดขึ้นในครอบครัว >> เมื่อ Emily Musson นักศึกษาสาวออกมาโพสต์รูปเซลฟี่ขณะสวีทหวานกับแฟนหนุ่มของเธอลงเฟซบุ๊ก พ่อแม่ของเธอจึงเกิดอาการหมั่นไส้ลูกสาวและแฟนหนุ่มของเธอมาก จึงพากันออกมาแกล้งลูกสาวด้วยการสร้างเฟซบุ๊กใหม่ขึ้นมา แล้วโพสต์รูปเซลฟี่เลียนแบบท่าทางเดียวกันกับภาพของลูกสาวตอนอยู่กับแฟนลงเฟซบุ๊ก ในไม่ช้าเรื่องราวและภาพเซลฟี่พ่อแม่หมั่นไส้ลูกสาวมีแฟน ก็กลายเป็นประเด็นดังบนโลกออนไลน์ในที่สุด แม้แต่ Emily ยังต้องรู้สึกประหลาดใจในพฤติกรรมของพ่อแม่ของตัวเองและแอบดีใจที่ภาพเซลฟี่เลียนแบบที่พ่อแม่ของเธอถ่ายกลายเป็นที่สนใจของชาวเน็ต เท่านั้นยังไม่พอ Musson ยังยืนยันว่าปกติพ่อของเธอเป็นคนหัวโบราณ และไม่ชอบทำอะไรเพี้ยนๆ ฉะนั้นมันก็น่าทึ่งไม่น้อยที่คุณแม่ของเธอสามารถโน้มน้าวใจ ให้เขาลงมือทำภารกิจล้อเลียนสุดน่ารักในครั้งนี้ได้ สำหรับใครที่โพสภาพจู๋จี๋กับแฟนลงบนเฟซบุ๊ก ระวังนะคะ อาจถูกพ่อแม่นำมาล้อเลียนแบบนี้ก็ได้ อิอิ ^_^ ขอบคุณที่มาของภาพจาก : http://news.boxza.com/view/36898

สมเด็จพระบรมฯ กับ”พระองค์ที” ทรงฝึกกิจกรรมทางน้ำในวันปิดภาคเรียน

ชมพระฉายาลักษณ์ ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร  และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงฝึกกิจกรรมทางน้ำในช่วงปิดภาคเรียน โพสต์ผ่านเฟซบุค โดยสุริยัน หมอหยอง สุจริตพลวงศ์ ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก เฟซบุค โดยสุริยัน หมอหยอง สุจริตพลวงศ์ www.khaosod.co.th

ยอดกตัญญู เด็กหญิง 12 ขวบ อาศัยช่วงพักกลางวัน โบกรถเพื่อกลับไปป้อนข้าวแม่เป็นอัมพฤกษ์

ด.ญ. กฤษณา หรือ น้องน้ำเย็น อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านแหลมมะขาม จ.ตรัง เป็นเด็กหญิงกตัญญูสู้ชีวิต ซึ่งจะใช้เวลาช่วงพักเที่ยง โบกรถยนต์ที่ขับผ่านถนนหน้าโรงเรียนฯ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อกลับไปป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับแม่ ซึ่งล้มป่วยด้วยโรคเนื้องอกในสมองและเนื้องอกใกล้ลิ้นหัวใจ ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ซีกขวา ไม่สามารถพูดหรือขยับร่างกายซีกขวาได้มานานกว่า 1 ปีแล้ว ส่วนพี่ชายอายุ 14 ปี ก็ต้องลาออกจากโรงเรียน ตั้งแต่อยู่ชั้น ม.4 เพื่อมาช่วยบิดาออกเรือหาปลา หาเงินมารักษามารดาและเลี้ยงน้องชายวัย 5 ขวบ อีก 1 คน ซึ่งหลังพักเที่ยงของทุกวัน น้องน้ำเย็นจะโบกรถกลับมาบีบนวด เช็ดเนื้อตัวและป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับมารดา ก่อนที่จะโบกรถกลับไปเรียนหนังสือต่อในช่วงบ่ายที่โรงเรียน โดยคุณครูเจ้าของโครงการระบบดูแลช่วยเหลือเด็กนักเรียนได้สังเกตเห็นน้องน้ำเย็นกลับบ้านทุกตอนเที่ยง จึงสอบถามและติดตามไปยังบ้านพัก จึงพบสภาพมารดาที่นอนป่วยและน้องน้ำเย็น ซึ่งกำลังดูแลมารดา จึงอยากวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวของเด็กหญิงยอดกตัญญูรายนี้ ด้านน้องน้ำเย็น กล่าวว่า ตนเองหวังให้มีใครสักคนพามารดาไปรักษาให้หายเท่านั้น ตนก็พอใจแล้ว ส่วนตนอยากเรียนให้ถึงระดับมหาวิทยาลัย แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากทางบ้านต้องส่งเสียให้น้องชายคนเล็กเรียนหนังสืออีกคน ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : www.khaosod.co.th

เทคนิคการปั้นดินน้ำมันอย่างง่ายๆ ให้ออกมาน่ารักขั้นเทพ

ของเล่นวัยเด็กที่พวกเราทุกคนต้องเคยสัมผัสกันมา ต้องมีดินน้ำมันอย่างแน่นอน และเชื่อว่ามีหลายคนที่ไม่ว่าจะพยายามปั้นให้มันสวยงามแค่ไหน ผลที่ออกมามันเละเทะ

[Blogger-ซาร่า คาซิงกินี] ตอนที่ 6 ถ้าในอนาคตลูกถามถึงพ่อของเขา

ตอนที่ 6 “ถ้าในอนาคตลูกถามถึงพ่อของเขา..”             มีหลายสื่อถามซาร่าเกี่ยวกับพ่อของลูก และคำถามหนึ่งที่ซาร่าต้องตอบกับแม็กซ์เวลล์เมื่อเขาเติบโตก็คือ “พ่อของเขาเป็นใคร?” ซาร่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตบนพื้นฐานอยู่กับปัจจุบันและความเป็นจริงค่ะ เราต้องอยู่กับความเป็นจริง ตอนนี้แม็กซ์เวลล์ยังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจ ซึ่งถ้าลูกเกิดถามคำถามนี้ในเร็วๆ นี้ ซาร่าก็จะอธิบายให้เขาเข้าใจแบบค่อยเป็นค่อยไปตามวัยของเขาที่เขาควรรู้ แล้วเมื่อวันหนึ่เขาโตขึ้นพร้อมที่จะเข้าใจ แม้ในบางครั้งความจริงจะเป็นสิ่งเจ็บปวด ซาร่าเชื่อว่าแม็กซ์เวลล์รับได้แน่นอนค่ะ เพราะซาร่าได้ชดเชยทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา เป็นทั้งพ่อและแม่           ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะมีกันและกัน เขาจะไม่รู้สึกว่าเขาขาดแน่นอน    

เด็กชิลี 2 ขวบถูกทิ้ง แต่รอดเพราะนมแม่หมาช่วยชีวิต!

เจ้าหน้าที่ตำรวจชิลี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบเด็กเล็กคนหนึ่ง ไม่สวมเสื้อผ้า ถูกทอดทิ้งในโรงกลึง ของท่าเรือร้าง Arica เมื่อเดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าว ก็พบตัวหนูน้อยวัย 2 ขวบ แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด โดยตำรวจระบุว่า จากการสอบสวนพบว่าเจ้าหนูคนนี้ ถูกทอดทิ้งโดยปราศจากอาหารและน้ำ เพราะผู้เป็นแม่ติดสุราอย่างหนัก โดยเพื่อนบ้านแจ้งว่า เจ้าหนูต้องอาศัยกินนมจากแม่สุนัขที่กำลังตั้งท้องเพื่อประทังชีวิต เนื่องจากผู้เป็นแม่ติดสุราอย่างหนักและทิ้งลูกเอาไว้โดยปราศจากอาหารและน้ำ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรอดชีวิตจากการได้ดื่มนม จากเต้าของแม่สุนัขตัวนั้น   ตอนนี้เจ้าหนูคนนี้ ถูกส่งตัวไปดูแลที่โรงพยาบาลแล้ว โดยพบว่าเขาเป็นโรคขาดสารอาหาร รวมถึงผิวหนังติดเชื้อด้วย และก็จะถูกนำตัวส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กต่อไป อย่างไรก็ดี แม่ของเด็กจะไม่ถูกจับกุม เนื่องจากเด็กไม่ได้มีร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย พ่อของเด็กปรากฏตัวในภายหลัง แต่ยังไม่รู้ว่าเขามีสิทธิในการเลี้ยงดูลูกหรือไม่ ที่สำคัญตอนที่ตำรวจพบตัวเด็กในเวลานั้นไม่รู้ว่าพ่อแม่ไปอยู่ที่ไหน แต่จะมีการตัดสินในช่วงปลายเดือนนี้ว่าใครจะเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเด็กชาย หากตัดสินใจจะสร้างชีวิตหนึ่งขึ้นมาแล้ว เราได้แต่หวังว่าคุณพ่อคุณแม่จะดูแลลูกของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ   ที่มา: Dailymail ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : www.kiitdoo.com

keyboard_arrow_up