เปิดคลิปเรียกน้ำตา ของคุณแม่ที่มีลูกหูหนวก กับการที่หนูน้อยได้ยินเสียงแม่บอกรักเป็นครั้งแรกหลังใส่เครื่องช่วยฟัง ตามไปดูปฏิกิริยาของหนูน้อยกันเลยค่ะว่าจะซึ้งขนาดไหน
ซึ่งหนูน้อยคนนี้มีชื่อว่า ชาร์ลี ลูกสาวตัวน้อยของคุณแม่คริสตี้ เคน ออกมาลืมตาดูโลกเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา แต่โชคร้าย ที่เกิดมาพร้อมกับสภาพผิดปกติจากการได้ยิน หูทั้ง 2 ข้างของหนูน้อยชาร์ลี ไม่สามารถรับฟังเสียงใด ๆ ได้เลย ไม่มีการตอบสนองกับเสียงใดๆ ที่พ่อแม่พูด
เมื่อลูกหูหนวก นี่คือปฏิกิริยาครั้งแรกของหนูน้อย
หลังใส่หูฟังและได้ยินเสียงคุณแม่บอกรัก
ทำให้เกิดความสงสัย คุณแม่จึงพาชาร์ลีไปหาแพทย์เพื่อตรวจสอบหาอาการผิดปกติ และพยายามหาวิธีช่วยเหลือให้ลูกสาวได้ยินเสียง กระทั่งในที่สุดเธอก็ได้รับเครื่องช่วยฟังขนาดจิ๋วสำหรับเด็กมาให้ลูกน้อยของเธอ
หลังจากใส่เครื่องช่วยฟังแล้ว ผู้เป็นแม่ก็พยายามสื่อสารกับหนูน้อยชาร์ลี พร้อมกับบอกรักลูกด้วยเสียงแห่งความหวังและห่วงใย ระหว่างนั้นเองท่าทีตอบสนองของลุกน้อยก็ทำเอาคนเป็นแม่และผู้ที่ชมคลิปวิดีโอถึงกับน้ำตาไหลตาม หลังหนูน้อยชาร์ลีตอบสนองด้วยการแสดงอารมณ์พร้อมน้ำตาที่ไหลออมาจากดวงตาใส ๆ
ผู้เป็นแม่ กล่าวว่า “พวกเราได้มีช่วงเวลาที่สุดมหัศจรรย์ หลังจากพวกเราเฝ้าอธิษฐานให้วันนี้มาถึง วันที่หนูน้อยชาร์ลีได้รับเครื่องช่วยฟัง พวกเราแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะได้ยินเสียงจริง ๆ มันเหลือเชื่อมากเกินกว่าจะบรรยายได้ เส้นทางการเรียนรู้และพัฒนาด้านภาษาของเธอเริ่มต้นได้อย่างน่าอัศจรรย์มาก”
ชมคลิป >> “วินาทีหนูน้อยมีปฏิกิริยาสุดซึ้งหลังได้ยินเสียงแม่ครั้งแรก” คลิกหน้า 2
ขอบคุณข้อมูลจาก : baby.kapook.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ขอบคุณเรื่องและคลิปวีดีโอจาก : DramaNews 24
รวมปฏิกิริยาของเด็กๆ หลังการได้ยินเสียงครั้งแรก
ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : RWL de Bruijn
หู ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญเกือบจะที่สุดสำหรับมนุษย์ รองจากดวงตา โดย หู มีหน้าที่รับเสียง และสั่งการไปทางสมองเพื่อให้ร่างกายของเรานั้นทำตามสมองสั่ง ถ้าหากเกิดขึ้นกับตัวเองหรือลูกน้อยของเรา การใช้ชีวิตอยู่กับสังคมในปัจจุบันนั้นก็อาจค่อนข้างที่จะลำบากมากในยุคนี้ เพราะการสื่อสารหรือการพูดคุยเพื่อเจรจาจะทำได้ยาก
ทั้งนี้เด็กทารกที่ไม่มีความผิดปกติทางด้านการฟัง จะได้ยินเสียงของคุณแม่ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แล้วเป็นระยะๆ แต่เสียงของครรภ์นั้นต้องนับว่าต้องเป็นเสียงที่ดังมาก พอเด็กคลอดออกมา ประสาทสัมผัสแรกที่รับรู้ก็คือเสียง ในช่วงแรกเด็กทารกจะได้ยินเสียงแตกต่างกับผู้ใหญ่ และค่อยๆ พัฒนาการรับรู้เสียงได้ดีขึ้นก็ต่อเมื่อมีอายุครบ 1 ปีเต็ม
ความบกพร่องทางการได้ยินในทารก
อาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม การติดเชื้อบางประเภท เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) การได้รับยาที่ก่อให้เกิดพิษต่ออวัยวะและเส้นประสาทในการได้ยิน การฟังเสียงที่ดังเกินไป รวมไปถึงปัจจัยด้านอายุ
ทั้งนี้แม้ว่าความบกพร่องทางการได้ยินจะนำไปสู่ปัญหาทางด้านพฤติกรรม สังคม อารมณ์ และการเรียนรู้ของเด็ก อีกทั้งยังส่งผลกระทบในระยะยาวเพราะอาจเป็นอุปสรรคต่อชีวิตการทำงานในอนาคต รวมทั้งในการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป อย่างไรก็ตาม งานวิจัยกล่าวว่ากว่าครึ่งของอาการหูตึงและหูหนวกสามารถป้องกันไม่ให้ลุกลามได้ หากได้รับการรักษาที่สาเหตุด้วยสาธารณสุขมูลฐาน
สาเหตุของความบกพร่องทางการได้ยิน
สามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ ปัจจัยอันเกิดแต่กำเนิดและปัจจัยที่ได้รับมาหลังกำเนิด
ปัจจัยอันเกิดแต่กำเนิด นำไปสู่ภาวะบกพร่องทางการได้ยินในทันทีหลังกำเนิด หรือหลังกำเนิดเพียงเล็กน้อย โดยอาจเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ ปัจจัยทางพันธุกรรมซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรืออาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อน ตอนอยู่ในครรภ์ รวมทั้งในช่วงแรกเกิด ซึ่งโดยทั่วไป สาเหตุของความบกพร่องทางการได้ยินอันเกิดแต่กำเนิด มักได้แก่
- โรคหัดเยอรมัน (Rubella) ซิฟิลิส (Syphilis) หรือโรคติดเชื้ออื่นๆ อันเกิดต่อมารดาในขณะตั้งครรภ์
- ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
- ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด (birth asphyxia)
- การใช้ยาที่ก่อให้เกิดพิษต่ออวัยวะและประสาทในการได้ยินอย่างไม่เหมาะสมในขณะตั้งครรภ์ เช่น อะมิโนไกลโคไซด์ (Aminoglycosides) ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) เป็นต้น
- เด็กเป็นโรคดีซ่านฉับพลัน (Severe Jaundice) ในช่วงแรกเกิด ซึ่งสามารถทำลายเส้นประสาทการในได้ยินของทารกได้
อ่านต่อ >> “วิธีการสังเกตการได้ยินของลูก (ตั้งแต่แรกเกิด-2ปี)” คลิกหน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ปัจจัยที่ได้รับมาหลังกำเนิด (Acquired causes) สามารถนำไปสู่ภาวะบกพร่องทางการได้ยินได้ในทุกช่วงอายุ ซึ่งมัก ได้แก่
- โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ อาทิเช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) โรคหัด (Measles) และโรคคางทูม (Mumps) สามารถนำไปสู่ภาวะหูตึงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดในเด็ก
- การติดเชื้อเรื้อรังในหู ซึ่งมักแสดงออกมาในลักษณะโรคหูน้ำหนวก (Discharging ears) โดยนอกจากจะนำไปสู่ภาวะหูตึงแล้ว ยังอาจเป็นสาเหตุของโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น ฝีในสมอง (Brain abscesses) และโรคหัด
- การสะสมของของเหลวในหู จนทำให้หูชั้นกลางอักเสบ (Otitis Media)
- การใช้ยาที่ก่อให้เกิดพิษต่ออวัยวะและประสาทในการได้ยินไม่ว่าในช่วงวัยใดก็ตาม เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อหูชั้นใน
- ความบาดเจ็บที่เกิดขึ้นต่อศีรษะหรือหู
- การฟังเสียงที่ดังเกินไปอย่างต่อเนื่อง
- อาการหูตึงที่แปรผันไปตามอายุ หรือ อาการประสาทหูบกพร่องในวัยชรา (Presbycusis) ซึ่งเกิดจากการเสื่อมของเซลล์อันเกี่ยวกับกระแสประสาท
- ขี้หู รวมทั้งสิ่งแปลกปลอมที่ขวางอยู่ในช่องหูก็สามารถเป็นสาเหตุของปัญหาความบกพร่องทางการได้ยินได้ในบุคคลทุกวัย เพียงแต่ลักษณะความหูตึงจากสาเหตุนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงระดับน้อย และสามารถแก้ไขได้ในทันที
ทั้งนี้ สำหรับเด็กแล้ว การสะสมของของเหลวในหู จนทำให้หูชั้นกลางอักเสบถือเป็นสาเหตุหลักอันนำไปสู่ปัญหาความบกพร่องทางการได้ยิน
การทดสอบสมรรถภาพการได้ยินของลูก ทำได้ 2 วิธี
- การทดสอบการได้ยินโดยการใช้อุปกรณ์ OAE (Otoacoustic) เป็นการทดสอบโดยให้ทารกฟังเสียงจากหูฟังเล็กๆ โดยคอมพิวเตอร์จะทำการวัดระดับความดังของเสียงที่หูทารกได้สะท้อนกลับมา การทดสอบจะทำในขณะที่ทารกยังหลับอยู่
- การทดสอบการได้ยินด้วยอุปกรณ์ ABR (Auditory Brainstem Response Test) การทดสอบโดยให้ทารกได้ยินเสียงผ่าน Head Phone การทดสอบนี้จะสามารถวัดการได้ยินของทารก
วิธีสังเกตความบกพร่องต่อการได้ยินของลูกน้อย
สำหรับคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่นั้นจะรู้ทันท่วงทีว่าลูกมีความบกพร่องต่อการรับรู้ ดูได้จากวิธีการคร่าวๆ ดังนี้
-
สำหรับเด็กในระยะแรกที่เกิดใหม่
วิธีเริ่มแรก ของเด็กทั่วไป หลังคลอดจะส่งเสียงร้องออกมา เพราะความตกใจ หรือได้ยินเสียงของโลกภายนอกเสียงที่ไม่เคยได้ยิน การส่งเสียงของเด็กที่แสดงให้เรารู้ว่า มีพฤติกรรมรับรู้เสียงชัด ส่วนเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน จะไม่แสดงอาการส่งเสียงร้องออกมามากนัก เนื่องจาก ไม่ได้ยินเสียงของคุณหมอ มักจะร้องต่อเมื่อหิวอาหาร หรือป่วยหนักๆเท่านั้น
-
เด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไปหลังจากคลอดแล้ว
จุดสังเกตเบื้องต้น พูด หรือส่งเสียงเรียกเขา หากไม่มีการตอบรับ ต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเช็คร่างกายของเด็กให้เร็วที่สุด
-
เด็กที่อายุ 6 เดือน
ใช้วิธีเรียก หรือส่งเสียงให้เขารับรู้ หากได้ยิน เด็กจะแสดงพฤติกรรมการเอียงหู หรือหันหน้ามาหาเรา หากไม่พบสิ่งที่ได้เอ่ยมา แสดงว่าเด็กอาจจุมีการสูญเสียการได้ยินไปบ้างเล็กน้อย
-
อายุ 8 – 12 เดือน
สังเกตพฤติกรรม การรับชมทีวี การหัวเราะ ว่ามีพฤติกรรม นอกเหนือจากเด็กทั่วไปหรือไม่ ปกติแล้วหากเด็กรับชมการ์ตูน หรือดูทีวี จะแสดงท่าทีที่ชอบ และหยอกล้อกับสิ่งที่เขาเห็น เช่นการ์ตูน
-
เด็กอายุ 2 ปี
ปกติแล้ว อายุครบ 2 ปี ถือว่าเด็กต้องมีการพูดคุยกับคุณพ่อ และคุณแม่ได้พอสมควรแล้ว และการรับรู้หรือการรับเสียง จะเต็มที่สุดในอายุครบ 2 ปี หากเด็ก มีความบกพร่องทางการได้ยิน แนะนำควรปรึกษาแพทย์อย่างเร่งด่วน
สรุปการสังเกตลูกหูหนวก หรือบกพร่องทางการได้ยิน หากอายุครบ 2 ปี ยังไม่พูด หรือแสดงกิริยาที่ผิดปกติ ไม่มีการโต้ตอบเหมือนเด็กทั่วไป แสดงว่าเด็กอาจจะพิการทางด้านหูแล้ว แต่สมัยนี้นวัตกรรมของคุณหมอ มีความเชียวชาญและทันสมัยมากขึ้น การรับรู้ของเด็กที่พิการทางด้านหูก็อาจจะมีสิทธิกลับมาได้ยินเหมือนเด็กทั่วไปอีกครั้ง ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์อย่างเร่งด่วน
อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!
- นี่คือสายตาของเด็กทารกที่มองเห็นพ่อแม่ในแต่ละเดือน จนถึงอายุ 1 ขวบ
- 17 ท่า นวดทารก ช่วยทำให้สุขภาพและพัฒนาการดี
- 5 วิธีกระตุ้นความจำ ให้สมองลูกน้อย
- เจาะลึก 40 สัปดาห์กับการ พัฒนาการลูกในครรภ์
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.abnormalbehaviorchild.com