AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

เทคนิคแสนง่าย “สอนภาษาอังกฤษลูก” ให้เก่งได้ในวัย 1 ขวบ

หากอยาก สอนภาษาอังกฤษลูก ให้เก่งๆ  ห้ามพลาด! คลิปสุดน่ารัก เมื่อน้องเป่าเปา ต้องตอบคำถามจากแฟลชการ์ด เป็นภาษาอังกฤษ จะถูกต้องแม่นยำ สำเนียงเป๊ะขนาดไหน พ่อบี้กับแม่กิ๊บมี วิธีสอนภาษาอังกฤษลูก หรือฝึกน้องเป่าเปากันอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ

ก่อนอื่นต้องขอปรบมือ พร้อมยอมรับในความน่ารักและความเก่งจนหลายคนตั้งฉายาให้ว่าเด็กโกงอายุ ของ “น้องเป่าเปา” ลูกสาวของ “คุณพ่อบี้ เคพีเอ็น” และ “คุณแม่กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์” จริง ๆ เพราะน้องเป่าเปา นั้น เรียกได้ว่าเป็นเด็กน้อยที่มีพัฒนาการที่ดีเยี่ยม ทั้งพูดเก่ง แถมยังเรียนรู้ภาษาได้เก่งมากอีกด้วย

ขอบคุณภาพจาก : IG @gggubgib36
ขอบคุณภาพจาก : IG @gggubgib36

เทคนิคแสนง่าย สอนภาษาอังกฤษลูก ให้เก่งได้ในวัย 1 ขวบ

ล่าสุดก็มีคลิปน้องเป่าเปา ที่กำลังนั่งตอบคำถามกับพ่อบี้ก่อนนอน โดยพ่อบี้ให้ดูการ์ดรูปภาพแล้วตอบว่าคืออะไรเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่ง “เป่าเป่า” หนูน้อยวัย 1 ขวบ 8 เดือนคนนี้ ก็สามารถตอบได้แทบทุกคำแบบสบายๆ

แม้จะมีพลาดบ้าง แต่หนูน้อยก็ใช้เวลาคิดและตอบได้ในที่สุด และหากคำไหน น้องเป่าเปา คิดไม่ออก พ่อบี้ แม่กิ๊บ ก็จะบอกใบ้ และสอนทันที เพื่อให้ลูกน้อยได้เรียนรู้

อีกทั้งบางภาพ คำตอบไปร้องเพลงไป และนอกจากความจำจะดีมากแล้ว ก็ยังต้องอึ้งกับสำเนียงภาษาอังกฤษของเป่าเปาที่เป๊ะมาก เก่งจริงๆ เลยนะตัวแค่เนี้ย

นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่หนูน้อยเป่าเปา จะเรียนแค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น ด้วยความที่คุณพ่อเป็นลูกครึ่งไทย-ไต้หวัน ทำให้น้องเป่าเปา ต้องหัดเรียนภาษาจีนไปด้วยนั่นเอง

ว่าแต่สาวน้อย เป่าเปา จะตอบถูกได้มากน้อยแค่ไหน สำเนียงภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ตามมาดูคลิปกันเลยค่ะ…

คลิป พ่อบี้ เล่นแฟลชการ์ด สอนภาษาอังกฤษลูก
ถามตอบ
 กับ “น้องเป่าเปา”

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : PaoPao And The Big Family

ขอบคุณภาพจาก : IG @gggubgib36

ทั้งนี้หากคุณพ่อคุณแม่ สนใจอยาก สอนภาษาอังกฤษลูก ให้เก่งๆ ตั้งแต่ยังเล็ก ผู้เขียนมีเทคนิคดีๆ จากป้าหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ซึ่งได้ให้คำแนะนำไว้ดีมาก ดังนี้ค่ะ

โลกปัจจุบันนี้ การฝึกให้ลูกเป็นเด็ก 2 ภาษา คือ ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาแม่ และภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่สอง กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

บางคนอาจมีมากกว่า 2 ภาษา เช่น ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส เพิ่มขึ้นมาอีก บางครอบครัวลูกพูดได้หลายภาษาเพราะพ่อแม่พูดได้หลายภาษา แต่บางครอบครัวพ่อแม่พูดได้ภาษาเดียว ก็อาจเลือกโรงเรียนสอนภาษาที่สองให้ลูก

คำถามคือ ถ้าพ่อแม่ฝึกเองได้ ควรฝึกไปเลยไหม หรือหากรอให้เข้าโรงเรียนแล้วค่อยไปเรียนรู้จากที่โรงเรียนจะช้าเกินไปไหม

√ ข้อดีของการเป็นเด็ก 2 ภาษา มีบางงานวิจัยพบว่าเด็ก 2 ภาษา

  1. มีความคิดสร้างสรรและมีความสามารถในการแก้ปัญหาได้มากกว่า
  2. มีปัญหาสมองเสื่อมก่อนวัยน้อยกว่า
  3. คบเพื่อนได้มากกว่า เข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ได้มากกว่า
  4. หางานทำง่ายกว่า รายได้มากกว่า

วิธี สอนภาษาอังกฤษลูก ทำให้เป็นเด็ก 2 ภาษา

วิธีแรก ฝึกตั้งแต่แรกเกิด หรือก่อนอายุ 3 ขวบ พบว่าเด็ก 2 ภาษาจะมีพัฒนาการด้านอื่นเหมือนกับเด็ก 1 ภาษา แต่อาจเริ่มพูดช้ากว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ได้หลุดเกณฑ์แต่อย่างใด
วิธีที่สอง เริ่มรู้จักภาษาที่สอง หลังจาก 3 ขวบเป็นต้นไป คือพูดภาษาแม่คล่องแล้ว เช่น การย้ายไปต่างประเทศ หรือย้ายเข้าโรงเรียนภาษาต่างประเทศ โดยเด็กจะมีลักษณะต่อไปนี้
คือ พูดภาษาแม่ที่บ้าน เมื่อไปโรงเรียนตอนแรกจะไม่ค่อยพูดเป็นระยะเวลานาน 2-3 สัปดาห์ถึงหลายเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังทำความเข้าใจภาษาที่สอง เด็กยิ่งเล็กยิ่งอยู่ในช่วงไม่พูดนานกว่าเด็กโต ช่วงนี้ลูกจะใช้ภาษาท่าทางแทน และอาจใช้ภาษาที่สองบ้างเล็กน้อย ต่อมาจะเริ่มใช้วลีที่ได้ยินบ่อยๆ และในที่สุดจะพูดเป็นประโยค ตอนแรกๆไม่ถูกไวยากรณ์ ประโยคขาดๆเกินๆ โดยจะมีภาษาแม่เข้ามาปะปนกับการใช้ภาษาที่สอง

5 ความเชื่อเกี่ยวกับ
การ
สอนภาษาอังกฤษลูก และฝึกลูกเป็น เด็ก 2 ภาษา 

1).การพูด 2 ภาษาทำให้เด็กมีพัฒนาการช้าด้านภาษา = ไม่จริง

เพราะถึงแม้ว่าคำศัพท์ที่รู้จักอาจไม่เท่ากับเด็ก 1 ภาษา แต่เมื่อรวม 2 ภาษาแล้วจะได้คำศัพท์เท่ากัน แต่เด็ก 2ภาษาอาจเริ่มพูดคำ แรกช้ากว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 8-15 เดือน แต่เมื่อเริ่มพูดเป็นประโยคสั้นๆ จะพูดได้เร็วไม่แตกต่างจากเด็ก 1
ภาษา สรุปคือเด็ก 2 ภาษาไม่ได้มีพัฒนาการด้านภาษาช้าผิดปกติ
ดังนั้นถ้าพบเด็ก 2 ภาษาที่มีพัฒนาด้านภาษาช้าผิดปกติ แสดงถึงการมีปัญหาความผิดปกติด้านภาษาของเด็กคนนั้นเอง ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อแก้ไข


2).ถ้าลูกใช้ภาษาทั้ง 2 สลับกันไปมาแสดงว่าลูกกำลังสับสน

ไม่ควรฝึกอีกต่อไปไม่จริง เพราะถ้าลูกใช้ทั้ง 2 ภาษาในประโยคหรือบทสนทนาเดียวกัน แสดงว่าลูกรู้จักความหมายของทั้ง 2 ภาษา สามารถใช้กลับไปกลับมาได้ แต่พ่อแม่มักกังวลใจว่าจะเป็นสัญญาณว่าลูกมีปัญหาด้านภาษาหรือไม่
ความจริงคือ การที่ลูกสามารถใช้ภาษากลับไปกลับมาได้
แปลว่ามีความสามารถในการใช้ภาษาได้เป็นอย่างดี


3).การจะพูด 2 ภาษาได้ต้องฝึกตั้งแต่เด็กเล็ก = ไม่จำเป็น

การฝึกตั้งแต่เด็กจะมีโอกาสออกเสียงได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากกว่าเมื่ออายุมากขึ้น และมีความถูกต้องด้านไวยากรณ์มากกว่า แต่ก็มีบางงานวิจัยพบว่าเด็กโตจะเข้าใจเรื่องคำศัพท์และไวยากรณ์ได้เร็วกว่าเด็กเล็ก


4).พ่อหรือแม่ควรแบ่งพูดไปคนละภาษาเลย = ไม่จำเป็น

อาจใช้วิธีพูดกันคนละภาษาไปเลยก็ได้ ถ้าผู้พูดชำนาญในภาษานั้นๆ หรือจะพูดปนๆกันก็ได้ สิ่งสำคัญพ่อแม่ไม่ต้องเครียดกับการพูดทำให้เป็นธรรมชาติและสบายๆมากที่สุด


5).ถ้าอยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ พ่อแม่ไม่ควรพูดภาษาไทยกับลูกเลย = ไม่ถูกต้อง

เพราะหากพ่อแม่ไม่คล่องภาษาอังกฤษ การไม่ยอมพูดภาษาไทยกับลูกเลย จะทำให้โอกาสพูดคุยกับลูกลดน้อยลงไป งานวิจัยพบว่าถ้าลูกคล่องภาษาแม่แล้ว จะทำให้การเรียนรู้ภาษาที่สองง่ายขึ้น

วิธี สอนภาษาอังกฤษลูก และสนับสนุนให้ลูกเรียนรู้ภาษาที่สอง

1). ให้พ่อแม่ทำสิ่งที่สบายใจและอยากทำ ไม่จำเป็นต้องฝืนพูดภาษาที่สองกับลูก ถ้ารู้สึกอึดอัดที่จะทำเช่นนั้น แต่ถ้าพ่อแม่มีความสามารถ มีความสบายใจ และไม่อึดอัดใจที่จะฝึกภาษาที่สองให้ลูกเอง ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนอินเตอร์หรือโรงเรียนสองภาษา ให้หาเครื่องมือการสอนและทำบรรยากาศการฝึกให้ลูกได้เรียนรู้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด เช่น ถ้าบ้านไหนมีคุณพ่อเป็นชาวต่างชาติ หรือมีคุณพ่อคุณแม่ท่านใดท่านหนึ่งชำนาญภาษาอังกฤษอยู่แล้วก็พูดกับลูกไปเลยโดยไม่ต้องฝืน การเรียนรู้ก็จะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ

2). ไม่ต้องกังวลเวลาที่ลูกพูด 2 ภาษาปนกัน หรือตอบคุณแม่เป็นภาษาไทยขณะที่คุณแม่ถามเป็นภาษาอังกฤษ นั่นแสดงว่าลูกก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว เช่น คุณแม่พาลูกมาซื้อของเล่น แล้วพยายามถามลูกเป็นภาษาอังกฤษตลอด “Do you like this?”
ลูกก็ตอบเป็นภาษาไทยตลอด “ไม่เอา หนูไม่ชอบอันนี้ จะเอาอันโน้น ” คุณแม่ก็หงุดหงิด ถึงขั้นลากลูกกลับบ้าน แบบนี้ก็ไม่ไหว
เครียดกันทั้งบ้าน

3). ความต่อเนื่องในการฝึก บางทีให้ลูกเรียนอนุบาลอินเตอร์ แต่พอย้ายไปโรงเรียนไทย ไม่ได้เรียนภาษาที่สองต่อเนื่อง หรือที่บ้านไม่ได้พูดภาษาที่สองกับลูก พอไม่ได้ใช้นานๆก็จะเลือนๆไปขณะที่บางคนมาเรียนภาษาที่สองตอนโต แต่ได้ใช้บ่อยๆกับที่ทำงานหรือมีสามีภรรยาเป็นคนต่างชาติ ก็จะเกิดความชำนาญคล่องแคล่วไปเอง

4). ปัญหาของคนไทยในการใช้ภาษาอังกฤษไม่ใช่เรื่องไวยากรณ์ แต่เป็นเรื่องของความกล้าพูดมากกว่า ดูตัวอย่างคนอินเดีย สิงคโปร์ ฮ่องกง พูดภาษาอังกฤษปร๋อ ทั้งๆที่สำเนียง ไวยากรณ์ก็ใช่ว่าจะถูก แต่เอาเป็นว่าสื่อสารได้ก็โอเค ดังนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่กล้าพูดกับลูก ถึงแม้ว่าสำเนียงไม่ดี ไวยากรณ์ไม่เป๊ะ แต่มีความสุขความสบายใจในการพูด ก็พูดไปเถอะค่ะ ยังไงก็ได้ประโยชน์แน่นอน ส่วนเรื่องสำเนียงลูกเค้าเลียนแบบจากสื่อการสอนหรือการ์ตูนดีๆเสียงภาษาอังกฤษในฟิล์ม หรือเรียนไวยากรณ์จากวิชาภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเองได้

อย่างไรก็ดี การ สอนภาษาอังกฤษลูก ในยุคนี้ เรียกได้ว่าเป็นกระแสเลี้ยงลูกแบบต่างๆมีมาตลอด คุณพ่อคุณแม่ต้องพิจารณาดูว่าแบบไหนที่เหมาะกับลูกเรา และอย่าฝืนจนไม่เป็นธรรมชาติ อย่าลืมว่าลูกจะเก่งแค่ไหนไม่สำคัญ แต่สำคัญคือต้องให้เค้าเป็นคนดีและมีความสุขด้วยค่ะ

อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!


ขอบคุณข้อมูลจาก กุมารแพทย์เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด พ.ญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ