AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

นี่คือสิ่งที่ “ลูกคิดอะไร” เมื่อแม่ระเบิดอารมณ์ใส่ลูก!

เพราะ เด็กก็คือเด็ก เด็กก็ต้องซนบ้างเป็นเรื่องปกติ ซึ่งพ่อแม่ทั้งหลายก็ย่อมจะรู้ถึงเรื่องนี้ดีอยู่แก่ใจ แต่ทำไมพอถึงเวลานั้น กลับควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เสียที…

รู้ไหม “ลูกคิดอะไร”
แม่ชอบ ระเบิดอารมณ์ใส่ลูก ต้องอ่าน!

หากลองถามคุณแม่ว่า… ตอนลูกอายุเท่าไหร่ที่คุณแม่เบาใจที่สุด? คุณแม่หลายคนอาจจะตอบว่า ตอนเป็นทารก เพราะตอนนั้นลูก จะแค่กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ แต่เมื่อลูกโตขึ้น ความอดทนของพวกคุณพ่อคุณแม่ก็มีขีดจำกัดที่ต่ำลงเรื่อยๆ  ทำให้บ่อยครั้งที่ทนไม่ไหว เผลอตะคอกหรือตะโกนใส่ลูก แล้วก็ต้องมาเสียใจทีหลัง

เพราะว่าลูกโตแล้ว สิ่งต่างๆไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พ่อแม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นพ่อแม่ก็เลยมักจะเผลอโมโหลูกๆ แต่พอทำไปแล้ว ก็ต้องมานั่งเสียใจ ในเมื่อลูกก็เป็นคนๆหนึ่ง เขามีความคิดของตัวเอง ทำไมเราต้องไปบังคับให้เขาทำแบบที่เราต้องการด้วย  เพราะบางทีหลังจากคุณระเบิดอารมณ์ไปแล้ว คุณจะคิดว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว แต่คุณรู้หรือไม่ว่าตอนที่คุณตวาดลูกไปนั้นจิตใจของลูกจะเป็นยังไงบ้าง

ตะโกน ดุด่าลูก ยิ่งทำให้ลูกเป็นเด็กมีปัญหา

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ที่ชอบลงโทษลูกด้วยวาจา ไม่ว่าจะเป็นการตะคอกใส่ลูก ตะโกนใส่ลูก หรือใช้คำพูดเจ็บๆ เห็นทีต้องคิดหนักและพยายามระงับอารมณ์ให้ได้ก่อนจะระเบิดคำพูดอะไรออกไป เพราะมีผลการศึกษาพบว่าการลงโทษลูกด้วยการตะคอก ตะโกน หรือ ใช้คำพูดแรงๆ ทิ่มแทงจิตใจ สามารถส่งผลต่อจิตใจ และความรู้สึกของลูก ถึงขนาดสามารถทำให้ลูกโตขึ้นมีพฤติกรรมชอบโกหก ลักขโมย และทะเลาะวิวาทกับเพื่อนที่โรงเรียน

ทั้งนี้ ดอกเตอร์หมิง ที หวัง รองศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยาการศึกษา ของมหาวิทยาลัยพิตต์เบิร์ก สหรัฐอเมริกา เล่าว่าได้ทำการศึกษาประเด็นนี้ในกลุ่มพ่อแม่ครอบครัวชนชั้นกลางในสหรัฐอเมริการาว 976 ครอบครัว ซึ่งพบว่ามีพ่อแม่จำนวนมากที่ใช้วิธีตะโกนดุว่าลูกเสียงดังหรือใช้คำพูดที่ทำร้ายความรู้สึก ซึ่งเด็กที่ถูกลงโทษด้วยวิธีนี้มีสัดส่วนที่จะมีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาเมื่อโตขึ้นประมาณอายุ 13-14 ปี มากกว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่ใช้วิธีลงโทษลูกด้วยคำพูด

ดอกเตอร์หมิงย้ำด้วยว่า แม้แต่ครอบครัวที่พ่อแม่ลูกมีความสนิทใกล้ชิดกันมาก การลงโทษแบบนี้ ซึ่งพ่อแม่อาจคิดว่าไม่เป็นไรเพราะลูกย่อมเข้าใจว่าพ่อแม่ดุว่าไปก็ด้วยความรัก ก็สามารถส่งผลเสียต่อเด็ก

สำหรับวิธีที่ดีดอกเตอร์หมิงกล่าวว่า ควรเป็นการพูดคุยกับลูกดีๆ ให้ลูกรู้ถึง ความห่วงใยความวิตกกังวลของพ่อแม่และชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ต่างๆ ที่จะตามมา

คลิกหน้า 2 >> เพื่อดู “ภาพประกอบ สิ่งที่ลูกคิด เมื่อแม่ระเบิดอารมณ์ใส่ลูก”

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

ภาพประกอบ “สิ่งที่ลูกคิด”
เมื่อแม่ ระเบิดอารมณ์ใส่ลูก!

ทั้งนี้เกี่ยวกับปัญหานี้ มีอาจารย์คนหนึ่ง ใช้วิธีการวาดรูปเพื่อให้เด็กๆแสดงความรู้สึกที่แท้จริง ผ่าน “Schreimutter” ซึ่งเป็นหนังสือภาพเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ที่โด่งดัง จนได้รับรางวัลพิเศษสำหรับภาพประกอบ โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า…

 

เมื่อเช้า.. อยู่ดีๆแม่ฉันก็โมโหใหญ่
แม่ตวาดฉันเสียงดัง

ฉันตกใจจนร่างกายแยกออกเป็นชิ้นๆ

หัวของฉันลอยไปในจักรวาล

พุงของฉันตกลงไปในทะเลลึก

ปีกของฉันตกลงไปในป่า

ปากของฉันไปติดอยู่บนภูเขาสูง

แล้วหางของฉันล่ะ? มันไปตกอยู่กลางถนน

ฉันเหลือแค่ขาสองข้าง วิ่งสิวิ่ง… ฉันอยากร้อง แต่ไม่มีปาก ฉันอยากมอง แต่ไม่มีตา ฉันอยากบิน แต่ไม่มีปีก วิ่งสิวิ่ง ฉันวิ่งจนเย็นถึงทะเลทรายซาฮาร่า ฉันเหนื่อยแล้ว ตอนนั้นเงาใหญ่เข้ามาปกคลุมตัวฉัน

ที่แท้ก็คือแม่ขี้โมโหของฉันขับเรือมาตามหาฉัน แม่เอาส่วนต่างๆที่หลุดลอยไปในที่ต่างๆกลับมาให้ฉัน เอากลับมาเย็บกลับไปอยู่ที่เดิม

แล้วสุดท้ายก็มาเจอเท้าของฉัน ก็เอามันเย็บเข้าด้วยกัน

“แม่ขอโทษ” แม่ขี้โมโหบอกฉัน แล้วพวกเราก็ขับเรือกลับบ้านกัน เรื่องราวจบลงแบบนี้ แต่จิตใจของฉันกลับยากที่จะสงบลง จำได้ว่าไม่กี่วันก่อน ลูกบอกฉันว่า: “แม่คะ ถ้าหนูมีน้อง หนูจะพูดกับน้องดีๆ จะไม่ทำเหมือนที่พ่อแม่ทำกับหนู ไม่โมโห ไม่ตวาด”

มีบางครั้ง ฉันโกรธจนพูดเสียงดังใส่ลูก แกร้องไห้แล้วบอกฉันว่า : “แม่คะ อ่อนโยนกับหนูหน่อย”

จริงๆแล้ว หลายๆครั้งที่ฉันพยายามควบคุม เพราะฉันเป็นเด็กที่ถูกตวาดด้วยเสียงอันดังมาก่อน เมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจ ทำไมคนในบ้านถึงขี้โมโห คุณย่าชอบโกรธ พ่อก็ชอบโมโห ทำให้ฉันกลายเป็นคนแบบนี้

ต่อมาฉันถึงได้ตระหนักว่าครอบครัวส่งผลกระทบต่อฉันอย่างมาก ในเมื่อผู้ใหญ่ที่บ้านล้วนเป็นคนแบบนั้น ใช้คำพูดแบบนั้นในการสื่อสารกัน ทำให้ฉันกลายเป็นคนแบบนี้

แต่ฉันก็รู้สึกว่าฉันทำไม่ถูก หลายๆครั้งที่ฉันทำให้คนไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว เพราะโทนเสียงของฉันทำให้คนอื่นเข้าใจผิด แม้ว่าจะเป็นการพูดด้วยความหวังดี แต่คนอื่นไม่อินด้วย

จนวันหนึ่ง เมื่อลูกสาวทำน้ำเสียงเหมือนกับฉัน ฉันถึงรู้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ฉันให้ลูกเตือนสติเวลาฉันพูดเสียงดัง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่ง่าย แต่ฉันก็ค่อยๆรับรู้ได้ว่า บรรยากาศในครอบครัวดีขึ้นมาก อารมณ์ของตัวเองก็ดีขึ้น จริงๆแล้ว ตอนแรกๆที่ฉันหงุดหงิดใส่ลูก ก็เพราะแกยุ่งตอนฉันทำงาน เมื่อเจอปัญหาแล้ว ฉันก็พยายามทำงานที่ออฟฟิศให้เต็มประสิทธิภาพที่สุด เมื่อกลับมาบ้าน จะได้มีเวลาให้ลูกอย่างเต็มที่ หรือเวลาที่จำเป็นต้องใช้มือถือหรือใช้คอมพิวเตอร์ ฉันก็จะบอกลูกอย่างชัดเจน “แม่จำเป็นต้องดูมือถือแป๊ปนึง น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะมีงานสำคัญ” เมื่ออธิบายให้แกฟังดีๆ ลูกก็เข้าใจ เพราะว่าพวกแกรู้เรื่องกว่าที่เราคิดมาก

อ่านต่อ >> “วิธีที่พ่อแม่ใช้พูดคุยกับลูก
และสิ่งที่ควรทำหลังจากแผดเสียงใส่ลูก” คลิกหน้า
3

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

วิธีการที่พ่อแม่ใช้พูดคุยกับลูก

ก็คือ วิธีที่ลูกจะใช้สื่อสารกับคนอื่นในสังคม พวกเราจำเป็นต้องควบคุมอารมณ์ตัวเอง บอกลูกว่า : การพูดจาเสียงดังแก้ปัญหาอะไรไม่ได้  โมโหโกรธาก็แก้ปัญหาไม่ได้ ในทางกลับกัน เมื่อเราควบคุมอารมณ์แล้วคุยกับคนอื่นดีๆ เราจะพบว่าเรื่องมันไม่ได้แย่ขนาดที่เราคิด!

พ่อแม่ทุกคนรู้ว่า เวลาเราโมโห ส่งผลกระทบต่อลูกอย่างมาก ลูกของคุณจะเหมือนเพนกวินในเรื่อง เมื่อคุณตวาดใส่ แกจะตกใจจนกระเจิดกระเจิง แล้วลูกก็จะเอาวิธีที่คุณทำกับแกไปใช้กับเพื่อน เมื่อโตขึ้นเขาก็จะทำแบบนั้นกับคนรัก และลูกของเขา เพราะเขาเคยชินกับวิธีการแบบนั้นมาตั้งแต่เด็ก นอกเสียจากว่า เขาจะมีสติรับรู้ได้ถึงปัญหา และตัดสินใจเปลี่ยนแปลง!

เราเป็นคนธรรมดา โกรธได้บ้าง แต่หลังจากนั้น อย่าลืมขอโทษลูก บอกแกว่าทำไมคุณถึงโมโห แม้ว่าคุณจะโมโหใส่แก แต่ไม่ได้แปลว่าแกไม่ดี ไม่ได้แปลว่าคุณไม่รักแก

จุดสำคัญก็คือ ต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ อย่าให้มันกลายเป็นนิสัยเสีย สิ่งที่คุณทำกับลูกจะติดอยู่กับตัวแก ถ้าคุณมอบสิ่งที่ดีให้ แกก็จะมีพลังมีความสุข แต่ถ้าคุณมอบบาดแผลให้ แกก็จะเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด

ก็เหมือนกับเจ้าเพนกวิน แม้ว่าจะถูกเย็บกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็มีรอยแผลเป็นเต็มตัว ทุกครั้งที่คุณระเบิด จะสร้างแผลให้กับลูก

เด็กๆบอบบาง ใสสะอาด คุณควรจะใช้ความอ่อนโยน พูดจากับแกดีๆ แกฟัง ถ้าแกไม่ฟัง คุณก็ต้องเปลี่ยนวิธีในการพูด…

ควรทำอย่างไร?   หลังจากแผดเสียงใส่ลูก

เชื่อว่ามีแม่น้อยคนนักที่จะไม่เสียงดังใส่ลูกน้อย โดยเฉพาะแม่ที่เลี้ยงลูกเองแบบเต็มเวลา ซึ่งจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เราเป็นปุถุชนคนธรรมดา ก็ต้องมีสติหลุดกันไปบ้าง สิ่งสำคัญที่สุดคือ หลังจากเราแผดเสียงใส่ลูกไปแล้ว คุณแม่ ๆ จะทำอย่างไร จะใช่สิ่งเหล่านี้หรือเปล่า

1. ทำใจให้เย็นลง – และบอกลูกว่า แม่ขอเวลาเพื่อทำใจให้เย็นลงหน่อยก่อนนะ

2. ขอโทษอย่างจริงใจ-  ขอโทษที่แผดเสียงใส่ลูก ขอโทษที่ทำให้ลูกหงุดหงิด แม่เสียใจที่ทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม แม่ก็เป็นคนธรรมดา ย่อมทำสิ่งผิดพลาดได้เสมอ

3. อธิบายให้ลูกฟัง – หลังจากขอโทษแล้ว แม่ควรอธิบายว่าทำไมแม่ถึงได้โกรธมากมายขนาดนั้น

4. ให้ใช้เวลากับลูกหลังจากนั้น – เพื่อเป็นการยืนยันว่าตอนนี้แม่ไม่ได้โกรธ และจะไม่ตะโกนใส่หน้าลูกอีกอย่างน้อยก็ภายในวันนี้

5. ให้อภัยตัวเอง – คนเราทำผิดพลาดกันได้ แต่ต่อไปเราต้องไม่เป็นแบบนี้อีก เราจะต้องเป็นพ่อและแม่ที่น่ารักของลูก ๆ เสมอ

อย่างไรก็ตาม การที่พ่อแม่ตะคอก หรือ ระเบิดอารมณ์ใส่ลูก แม้จะเป็นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่ก็ทำร้ายดวงใจน้อยๆ ของลูกอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งเมื่อลูกดื้อไม่เชื่อฟัง หากพ่อแม่ต้องการห้ามปรามควรเป็นการพูดคุยกับลูกดีๆ ให้ลูกรู้ถึง ความห่วงใยความวิตกกังวลของพ่อแม่และชี้ให้เห็นถึงผลลัพธ์ต่างๆ ที่จะตามมา

อ่านต่อ “บทความดีๆ น่าสนใจ” คลิก!


ขอบคุณที่มาจาก : liekr , นสพ.มติชน และ picklebums.com