AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

นี่คือวิธีเลี้ยงลูก! ของคุณแม่ “ตูน บอดี้สแลม” ผู้ชายที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศหลงรัก (มีคลิป)

ตูน บอดี้สแลม ผู้ชายที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศหลงรักได้ แต่เบื้องหลังการทำความดีนี้ คงมองข้ามใครไปไม่ได้นอกจากคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือ แม่ ตูน บอดี้สแลม นั่นเอง

จากโครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ที่คุณตูน บอดี้สแลม นักร้องเพลงร็อกชื่อดัง ได้ทำการออกวิ่งเพื่อระดมเงินไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลในโครงการ รวม 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยคุณ ตูน บอดี้สแลม ตั้งใจวิ่งจากสุดเขตแดนใต้ สู่สูงสุดแดนสยาม เริ่มต้นจาก อ.เบตง จ.ยะลา และสิ้นสุดที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทาง 2,191 กิโลเมตร โดยเริ่มออกสตาร์ทในวันที่ 1 พ.ย. 2560

เผยวิธีเลี้ยงลูก ” ของคุณ แม่ ตูน บอดี้สแลม”
บุคคลที่ทำให้คนไทยร่วมแรงร่วมใจ
กับการช่วยเหลือผู้อื่น!

 

สำหรับเงินทั้งหมดที่ได้จากการรับบริจาคในการวิ่งของ คุณ ตูน บอดี้สแลม ครั้งนี้ จะนำไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้ 11 โรงพยาบาล ได้แก่ 1. โรงพยาบาลยะลา, 2. โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี, 3. โรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี, 4. โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรี, 5. โรงพยาบาลสระบุรี, 6. โรงพยาบาลขอนแก่น, 7. โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี, 8. โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่, 9. โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์, 10. โรงพยาบาลน่าน ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลศูนย์ แต่อยู่ในพื้นที่พิเศษห่างไกลจากตัวเมือง และ 11. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : IG @rachwinwong

โดยก่อนหน้านี้ ตูน บอดี้สแลม ได้เข้าพบ นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อปรึกษาถึงข้อมูลและความเป็นไปได้ในการทำกิจกรรม และขอรายชื่อของโรงพยาบาลศูนย์ที่ยังต้องการความช่วยเหลือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาคนไข้ ก่อนที่จะเดินทางไปเยี่ยมโรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อรับรู้ถึงความเดือดร้อนของโรงพยาบาลต่างๆ ด้วยตนเอง จนเกิดเป็นโครงการนี้ขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการร่วมบริจาคกับโครงการก้าวคนละก้าวในครั้งนี้สามารถเริ่มบริจาคแล้วได้ตั้งแต่วันนี้ สำหรับช่องทางการบริจาค ดังนี้ 1. บัญชีรับบริจาค : ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขารัชโยธิน ชื่อบัญชี มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในพระราชูปถัมภ์ฯ (โครงการก้าวคนละก้าว) เลขที่บัญชี 111-393-5263 (กระแสรายวัน) และทาง SMS : บริจาคครั้งละ 10 บาท พิมพ์ T แล้วกดส่งมาที่ 4545099 (เฉพาะเครือข่าย AIS, DTAC และ True Move H ไม่หักค่าใช้จ่าย) หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.kaokonlakao.com

และที่สำคัญที่สุดของการที่คุณตูน บอดี้สแลม ได้ทำโครงการนี้ขึ้นมา โดยมี 1 กำลังใจที่ทำให้ “ตูน บอดี้สแลม” เป็น “ตูน” ในทุกวันนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น คุณแม่ประนอม คงมาลัย ซึ่งคุณแม่ ตูน บอดี้สแลม ได้ให้สัมภาษณ์เปิดใจกับสำนักข่าวไทย บอกเล่าเรื่องราวของตูนรวมถึงความภาคภูมิใจที่ตูนได้สร้างปาฎิหารย์ที่ยิ่งใหญ่ผ่านการวิ่งโครงการก้าวคนละก้าวในครั้งนี้…

คลิกหน้า 2 >> “เพื่อดูคลิปสัมภาษณ์ แม่ ตูน บอดี้สแลม
เปิดใจภาคภูมิใจที่ลูกชายได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้กับสังคม”

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

ขอบคุณภาพจาก : Jogging run วิ่งเพื่อชีวิต

เผยวิธีเลี้ยงลูกของคุณแม่ ตูน บอดี้สแลม
บุคคลที่ทำให้คนไทยร่วมแรงร่วมใจ
กับการช่วยเหลือผู้อื่น!

โดยคุณแม่ประนอม ได้เผยว่า…

การเลี้ยงลูกก็เหมือนพ่อแม่ทุกคน มีความรักห่วงใย และสั่งสอน ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าการอบรมสั่งสอนเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่ตูน ไม่ดื้อ ห้ามอะไรเขาเชื่อฟัง ซึ่งการที่ลูกไม่ดื้อเป็นสิ่งวิเศษที่สุดสำหรับพ่อแม่ มันจะทำให้เขาประสบความสำเร็จในสิ่งต้องการ

ตูนเป็นเด็กเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตั้งแต่เด็ก  ไม่เคยแย่งของเล่นกับพี่น้อง เวลาจะทำอะไรสักอย่างเป็นคนที่ตั้งใจจริง มุมานะมุ่งมั่น การเลี้ยงลูกของตนนั้นจะใช้ไม้เรียวสอนลูก ถ้าลูกดื้อก็จะตีเพื่อสั่งสอน แต่ตูนนั้นไม่ดื้อ ลูกทุกคนจะกลัวแม่มากกว่ากลัวพ่อ เพราะแม่ดุกว่า

ขอบคุณคลิปภาพจาก : IG @pammy_k

ทั้งนี้คุณแม่ประนอมยังบอกอีกว่า มีลูก 3 คนตูน เป็นคนกลาง ตนโตชื่อดาว ตูน ชื่อเล่น “การ์ตูน” และคนน้องชื่อไก่ต๊อก

ในส่วนของตูนนั้น ตอนเรียนเวลาจะสอบตูนก็จะดูหนังสือ เวลาสอบค่อนข้างเครียด เพราะอยากให้ได้เกรดดี ซึ่งการเรียนก็ได้อันดับ 1 หรืออันดับ 2 ตลอด นอกจากนั้นยังร่วมแข่งขันวิชาการ กีฬา ศิลปะ ตูนจะทำได้ค่อนข่างดี

การทำโครงการนี้ เห็นว่าเขาโตแล้วมาทำโครงการนี้เราต้องเห็นดีด้วย แต่ข้องใจว่า ทำไมต้องไปใต้สุดด้วย เพราะเกรงว่าจะมีอันตราย กลัวลูกจะไม่ปลอดภัย แต่เมื่อสอบถามทางทีมงานบอกว่า ตูนไม่ยอม และต้องไปใต้สุดวิ่งจนถึงเหนือสุด แต่เมื่อตั้งใจมุ่งมั่นจึงยอมให้ลูกไป

ภาพจาก : IG @artiwara

และคุณแม่ของคุณ ตูน บอดี้สแลม ยังบอกอีกว่า…

ในการเดินทางร่วมกับลูกในครั้งนี้ คิดว่าจะมาดูแล 7-10 วันก็กลับ แต่ต้องอยู่ต่อ ต้องดูแลเรื่องอาหารให้ลูกเพราะเป็นคนทานน้อย มื้อเช้าจะทานน้อย แต่มื้อเย็นจะทานมาก โดยเฉพาะไข่ตุ๋น เป็นอาหารที่ตูน ชอบมาก จึงมาดูแลตรงนี้ด้วย เพราะเราเตรียมไว้ให้ลูกหลายอย่างเพื่อให้ลูกได้เลือก

โดยคุณแม่ ยอมรับว่าตนและพ่อ เป็นห่วงตูนลูกชายเหมือนกัน และเตือนตูน เสมอให้มีวินัยในการดูแลตัวเองและดูร่างกายสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งตูนก็ปฏิบัติตามที่ตนเตือนอย่างเสมอมา ทำให้ร่างกายของตูน ลูกชายยังดีอยู่และขอให้กำลังใจลูกชายอย่างเต็มที่

“เป็นธรรมดาที่ลูกได้ทำได้ขนาดนี้ และสามารถดึงคนทั้งประเทศมาร่วม คิดว่าเป็นบุญใหญ่ที่ทุกคนมาร่วมในครั้งนี้ แม่ภูมิใจในความคิดและปลื้มกับเขามากๆ เลย” คุณแม่ของคุณตูน กล่าวในตอนท้าย!

 

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : สํานักข่าวไทย TNAMCOT

เรียกได้ว่าเป็นการเลี้ยงลูกที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แค่สอนแต่สิ่งดีๆ และมอบความรักให้กับลูก ก็ทำให้คุณตูน บอดี้สแลม กลายเป็นบุคลที่น่ายกยองอีกหนึ่งคนของประเทศไทยได้ อย่างไรก็ดี ทางทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็ขอชื่นชมและภูมิใจด้วยกับคุณแม่ของคุณตูนนะคะ และก็ขอเป็นกำลังใจให้ คุณตูน บอดี้สแลม วิ่ง ไปให้ถึงจุดหมายตามที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จด้วยนะคะ

ทั้งนี้การจะเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และช่วยเหลือผู้อื่น เหมือนกับที่คุณแม่ประนอมได้เลี้ยงและสอนคุณ ตูน บอดี้สแลมมานั้น ไม่ใช่เรื่องยาก  คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถปลูกฝังให้ลูกคิดถึงผู้อื่นได้ตั้งแต่วัยเตาะแตะอายุ 1-3 ขวบเลยค่ะ โดยมี 4 เทคนิคง่ายๆ ในการปลูกฝังลูกเรื่อง “การให้” ดังนี้…

อ่านต่อ  >> เทคนิคการปลูกฝังให้ลูก มีน้ำใจ-รู้จักการให้” คลิกหน้า 3


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.khaosod.co.th

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

เพราะความมีน้ำใจคือความรู้สึกดีๆ ที่มีให้ผู้อื่น รวมถึงความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากการให้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นวิธีการที่จะสอนเด็กๆ ให้มีน้ำใจจึงต้องเป็นวิธีที่สามารถทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก่อน แล้วความมีน้ำใจของเด็กๆ ก็จะเกิดขึ้นเองโดยปริยาย!

1. เป็นตัวอย่างที่ดี

เด็กในวัยนี้เห็นพ่อแม่เป็นต้นแบบของเขา ดังนั้นวิธีนี้จึงง่ายที่สุดค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่แสดงให้เห็นว่ามีน้ำใจช่วยเหลือผู้คนรอบข้างบ่อยๆ เขาก็จะซึมซับพฤติกรรมนี้ไปด้วย

2. สร้างบรรยากาศอบอุ่นในครอบครัว

ผลวิจัยพบว่า ถ้าได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวที่อบอุ่น เด็กส่วนใหญ่จะเติบโตมาเป็นผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ตรงกันข้ามกับเด็กที่ไม่ได้รับความรักมักมีแนวโน้มว่าจะโตมาเป็นคนเห็นแก่ตัว นั่นก็เพราะเขาไม่เคย “ได้รับ” จึงไม่มีโอกาสเรียนรู้ที่จะ “ให้”

3. เมื่อเขาได้ “รับ” ให้ถามความรู้สึก

เมื่อลูกได้รับของจากผู้อื่น หรือมีคนทำอะไรให้เขา ลองถามลูกว่ารู้สึกอย่างไร และเสริมว่า ถ้าลูกทำแบบนี้ คนอื่นก็จะรู้สึกดีแบบลูกเหมือนกัน จะช่วยให้เขาเห็นภาพได้ง่ายขึ้นว่าการ “ให้” นั้นดีอย่างไร

4. ชวนลูก “ให้” อย่างสม่ำเสมอ

ไม่ว่าจะเป็นการชวนลูกไปบริจาคสิ่งของหรือช่วยเหลืองานต่างๆ ที่เขาสามารถทำได้ หากได้ไปยังสถานที่จริงและเขาได้สัมผัสว่าคนที่ได้รับของหรือรับน้ำใจจากเขานั้นรู้สึกดีใจแค่ไหน ก็จะยิ่งส่งเสริมให้ลูกรู้สึกดีกับ “การให้” ได้ดีขึ้นค่ะ

ทำไมเวลาสอนลูกให้มีน้ำใจ เช่น บอกให้เด็กแบ่งของเล่นให้ผู้อื่นถึงไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ?

เนื่องจากการบอกไม่สามารถทำให้เด็กเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือเกิดความรู้สึกดีกับผู้อื่นได้ ในทางตรงข้ามกลับทำให้เด็กรู้สึกหวงแหนและเกิดความคับข้องใจ ครั้นแบ่งให้ก็กลัวว่าจะไม่ได้คืน แต่ครั้นไม่แบ่งก็เกรงจะถูกต่อว่าได้ เด็กจึงแบ่งให้เพราะความกลัวหรือตัดสินใจว่าจะไม่แบ่งก็เพราะความหวงที่เกิดขึ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ความมีน้ำใจเป็นเรื่องของความรู้สึกที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ เราจึงไม่สามารถสอนเด็กๆ ให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนมีน้ำใจได้จากการพูดสอนด้วยปากเปล่าเท่านั้น แต่ต้องทำให้ความมีน้ำใจเป็นเรื่องที่เด็กๆ สามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นเรื่องใกล้ตัว โดยการช่วยสนับสนุนให้ลูกของเราลงมือแสดงความมีน้ำใจให้ผู้อื่นจึงมี 3 ขั้นตอนดังนี้

  1. ขั้นเตรียมน้ำใจ คือการสร้างความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อผู้อื่น ทำได้โดยการอธิบายสถานการณ์ที่น่าเห็นอกเห็นใจหรือสถานการณ์ที่ผู้อื่นต้องการความช่วยเหลือ เพื่อช่วยให้ลูกเกิดความตระหนักถึงความรู้สึกของผู้อื่น

ยกตัวอย่างเช่น หากมีญาติที่กำลังไม่สบายอยู่ ถือเป็นโอกาสดีที่จะให้ลูกมีส่วนร่วมในการรับรู้ว่าญาติของเรากำลังป่วยเป็นอะไร และให้ลูกช่วยออกความคิดเห็นว่าจะให้กำลังใจญาติที่ป่วยอย่างไรดี โดยมีคุณพ่อคุณแม่เป็นตัวอย่างในการแสดงความรู้สึกเห็นใจผู้อื่นและแสดงถึงน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ

  1. ขั้นให้น้ำใจ คือขั้นลงมือปฏิบัติให้ลูกได้แสดงความมีน้ำใจเลยจริงๆยกตัวเช่นเมื่อลูกตกลงว่าจะช่วยแม่ทำอาหารเพื่อไปเยี่ยมญาติคุณแม่ก็ต้องแบ่งหน้าที่ให้ลูกได้ช่วยทำกับข้าวจริงๆและพาเขาไปเยี่ยมไข้กับคุณแม่ด้วย

ความสำคัญของขั้นนี้คือ โอกาสที่ลูกจะได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นผู้ให้ด้วยตัวของเขาเอง เริ่มตั้งแต่การรับรู้ว่าความปรารถนาดีต่อผู้อื่นที่เกิดขึ้นในใจของเขาเป็นความรู้สึกอย่างไรการมองเห็นผลว่าสิ่งที่เขาทำให้กับผู้อื่นเป็นอย่างไรและสุดท้ายคือความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นหลังจากการให้นั้นอิ่มเอมหัวใจมากแค่ไหนเป็นต้น

  1. ขั้นมีน้ำใจ คือขั้นการเน้นย้ำให้ลูกเกิดความตระหนักในตัวตนว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจและมีความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่นให้ลูกเข้าใจว่าความมีน้ำใจเป็นเรื่องของทุกคนไม่ได้เป็นแค่เรื่องของผู้ใหญ่เท่านั้นและไม่จำเป็นต้องรอให้โตขึ้นก่อนแล้วถึงค่อยทำ ขั้นนี้ทำได้ง่ายๆ ด้วยการพูดคุยกับลูกถึงสถานการณ์ที่เพิ่งผ่านมาว่าลูกมองเห็นอะไรคิดอย่างไรและรู้สึกอย่างไรและคุณพ่อคุณแม่รู้สึกอย่างไรที่ลูกสามารถแสดงความมีน้ำใจให้ผู้อื่นได้

นอกจากนี้การให้โอกาสลูกได้พูดถึงความรู้สึกของลูกเองในสถานการณ์ที่เขาเคยได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นมาก่อนว่ารู้สึกอย่างไรและนำความรู้สึกนี้มาเปรียบเทียบให้ลูกเห็นว่าเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่เขาได้มอบให้ผู้อื่นเช่นกันก็จะสามารถช่วยเขาให้เข้าใจถึงความมีน้ำใจได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นด้วย

อันที่จริงแล้วเด็กๆ ทุกคนเกิดขึ้นมาพร้อมกับความปรารถนาที่จะทำให้ผู้อื่นมีความสุข แต่บางครั้งสิ่งแวดล้อมและวิธีการเลี้ยงดูทำให้เด็กๆ ขาดโอกาสที่จะเรียนรู้และฝึกฝน วิธีการสอนลูกให้มีน้ำใจทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ จะช่วยปลูกฝังให้ลูกรู้ว่าความมีน้ำใจเป็นเรื่องที่เขาทำได้และจำเป็นต้องกระทำ เพราะลูกมองเห็นได้ชัดเจนว่าคุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จากการที่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ชวนลูกให้ร่วมทำ สนับสนุนให้เกิดขึ้น อีกทั้งยังมีการชื่นชมและพูดคุยถึงเรื่องนี้อีกครั้ง จนกระทั่งความมีน้ำใจนั้นเกิดความกระจ่างในใจของลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะพบว่า ความมีน้ำใจของลูกเรานั้นเกิดขึ้นได้ทันทีในพริบตา!

อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!


เรื่องจาก : ผศ.ดร. ปนัดดา ธนเศรษฐกร  อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์  สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว  มหาวิทยาลัยมหิดล

บทความโดย บรรณาธิการนิตยสาร Amarin Baby & Kids