AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

“ดิปอะโวคาโดกับผักสติ๊ก” เมนูฝึกเคี้ยว เอาใจลูกวัย 1-2 ขวบ (มีคลิป)

เมนูฝึกเคี้ยว น่าจะเป็นอีกตัวเลือกที่เหมาะวัยเตาะแตะ ช่วงอายุประมาณ 12-15 เดือนขึ้นไป  คุณแม่จะเห็นพัฒนาการของลูกน้อยในวัยนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ทั้งการยืนขึ้นเองได้เร็วขึ้น ก้าวเดินถนัดขึ้น ชอบปีนป่าย และใช้มือทั้งสองข้างหยิบจับสิ่งของได้แบบสบายๆ เขาจึงสนุกกับการหยิบอาหารกินด้วยตัวเองแทนการให้คุณแม่ป้อนกินอาหารบดเหมือนก่อน

เช็กสูตร เมนูฝึกเคี้ยว ชวนลูกกินผักพร้อมคลิป

ดิปอะโวคาโดกับผักสติ๊ก

ทารกเริ่มหยิบอาหารเข้าปากได้เองตั้งแต่อายุ 6-7 เดือน พออายุได้ 8-9 เดือน เด็กส่วนใหญ่จะหยิบของชิ้นเล็กๆ อย่างผักผลไม้เนื้อนิ่ม หรือเต้าหู้ใส่ถาดได้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นให้เด็กรู้จักใช้ช้อนตักอาหารเมื่ออายุ 1 ขวบ เมื่อลูกมีฟันกรามขึ้นมาตอนอายุ 15 เดือนแล้ว ก็พร้อมจะกินอาหารได้คล้ายกับคนอื่นๆในบ้าน เพียงแค่หั่นให้เล็กกว่าที่ผู้ใหญ่กิน และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้สำลักลงหลอดลมง่าย เช่น เมล็ดข้าวโพด หรือถั่ว ก็พอ

การเตรียม เมนูฝึกเคี้ยว ไว้ให้ลูกหยิบอาหารด้วยตัวเอง นอกจากจะช่วยฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กแล้ว ยังลูกๆยังมีโอกาสได้รู้จักกับเนื้อสัมผัส และรสชาติของอาหารด้วย

เด็กวัยนี้เริ่มหยิบจับของกินเข้าปากได้เอง

 

ทำไมเด็กต้องฝึกเคี้ยวก่อน 1 ขวบ

การเคี้ยวเป็นก้าวแรกของลูกที่ต้องเรียนรู้ในการกินอาหาร หากลูกเคี้ยวไม่เป็นก็ไม่สามารถกินอาหารตามปกติได้เมื่อโตขึ้น โดยเฉพาะเมื่ออายุครบ 1 ปี นมที่เคยเป็นอาหารหลักจะไม่เพียงพอกับความต้องการอีกต่อไป หากคุณแม่ให้ลูกกินแต่อาหารปั่น เพราะห่วงเรื่องสำลักหรือความสะอาดมากจนเกินไป อาจกลายเป็นการขัดขวางพัฒนาการนี้แบบไม่รู้ตัว ยิ่งทำให้ลูกสำลักบ่อยๆ หรือกินอาหารยากขึ้นด้วย

MUST READ: เมนูดีช่วย ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร 

คุณแม่สามารถเตรียม เมนูฝึกเคี้ยว ให้ลูกน้อยได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน  ด้วยการตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวและกลืนให้ลูกดูว่าต้องทำอย่างไร จากนั้นให้ลูกเริ่มฝึกกลืนอาหารเนื้อข้นหนืดจนคล่องดี เมื่อสังเกตว่าลูกมีเริ่มคันเหงือก อยากงับ อยากเคี้ยว ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นอาหารเนื้อหยาบ ซึ่งลูกจะเริ่มหัดเคี้ยวเองตามธรรมชาติ เพราะกลัวติดคอ

เมื่อถึงวัย 12-15 เดือน เด็กรู้สึกอยากเลียนแบบพฤติกรรมคนรอบตัวมากขึ้น คุณแม่ควรใช้ช่วงนี้ฝึกหยิบและกินอาหารด้วยตัวเอง หากปล่อยโอกาสทองนี้ไป เขาจะไม่รู้สึกตื่นเต้นกับการกินอาหารเองอีก นอกจากนี้อาจกระตุ้นให้เด็กหัดใช้ช้อนมากขึ้น เริ่มแรกอาจหกเลอะเทอะไปบ้าง คุณแม่ควรใจเย็นแล้วปลอกให้เขามีเวลา 1 – 2 นาทีกับอาหารตรงหน้า ถ้ายังไม่สำเร็จเสียที จนลูกหิวจัด เด็กจะยอมตักอาหารได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

อ่าน การเลือกและล้างผักให้เหมาะกับเมนูฝึกเคี้ยว หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 


ขอบคุณข้อมูลจาก : baby.haijai.com

ผักแบบไหนเหมาะทำ เมนูฝึกเคี้ยว

คุณแม่ควรเตรียมอาหารให้เหมาะสม หนึ่งใน เมนูฝึกเคี้ยว สำหรับเด็กวัย 1 ขวบปีขึ้นไป ที่ให้ทั้งคุณค่าทางโภชนาการและได้สนุกกับการเคี้ยวงับ คือผักนานาชนิดนั่นเอง นอกจากจะไม่ต้องเตรียมของให้วุ่นวาย แค่ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นจับถนัดมือ ก่อนนำไปลวกหรือต้มในน้ำร้านให้นิ่ม ก็พร้อมเสิร์ฟให้เป็นทั้งของกินและของเล่นแสนสนุกแล้ว

เด็กวัย 1 ขวบขึ้นไปกินผักได้มากชนิดคล้ายผู้ใหญ่ และเลือกกินได้ทั้งผักสดและผักปรุงสุก การกินผักสดช่วยให้ลูกได้รับสารอาหารจากผักได้เต็มที่โดยไม่สลายไปกับความร้อน แต่ผักที่ขายในท้องตลาดส่วนใหญ่มักมีสารพิษตกค้าง จึงจำเป็นต้องล้างให้สะอาดเพื่อชะล้างพิษออกให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะผักกินสดหรือผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อย

เลือกผักที่หั่นให้เป็นชิ้นจับถนัดมือ

 

วิธีล้างผักให้สะอาด ปลอดสารพิษ

ผักในตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ห่อด้วยพลาสติกไว้มิดชิด อาจไม่สะอาดพร้อมกินอย่างที่คุณแม่คิด  และแฝงด้วยสารพิษตกค้างมากมายที่มาตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก ฉะนั้นก่อนที่คุณแม่จะเตรียมอาหาร หรือ เมนูฝึกเคี้ยว ให้ลูกน้อยจำเป็นต้องล้างผักให้สะอาด ปลอดสารเสียก่อน เพราะถ้าลูกรับสารเหล่านั้นเข้าไปอาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ โรคกระเพาะ หรือการเจริญเติบโตผิดปกติในเด็กได้

MUST READ: 16 วิธีล้างผักผลไม้ ให้ปลอดสารก่อนให้ลูกทาน

MUST READ: ลูกไม่กินผัก วิธีสอนลูกกินผัก ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง

5 วิธีล้างผักง่ายๆ เพื่อเตรียมทำ เมนูฝึกเคี้ยว ให้ลูก ได้แก่

  1. แช่น้ำเปล่าทิ้งไว้ 15 นาที จะช่วยชำระสารพิษออกได้ประมาณ 7-33%

2 ล้างผักผ่านน้ำไหล เหมาะใช้ล้างผักใบ แต่ต้องเด็ดออกมาทีละใบแล้วล้างผ่านน้ำนาน  2 นาที จะช่วยลดสารพิษลงได้ 25 – 63 %

  1. แช่น้ำเกลือ ด้วยการละลายเกลือ 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำเปล่า 4 ลิตร แล้วแช่ผักทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ลดสารพิษได้ 27-38 %
  2. แช่น้ำส้มสายชู ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1:10 แล้วแช่ผักทิ้งไว้ 10-15 นาที ลดสารพิษได้ 60-84%
  3. แช่น้ำด่างทับทิม ผสมด่างทับทิม 20-30 เกล็ด กับน้ำเปล่า 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 10 นาที ลดสารพิษได้ 35 – 43 % ทั้งนี้ควรระวังอย่าใส่ด่างทับทิมเยอะเกินไปอาจทำให้ระบบทางเดินอาหารผิดปกติได้

บางครั้ง คุณแม่พยายามทำอาหารที่มีเมนูผักไว้ให้ลูกน้อย แต่ขึ้นชื่อว่า ผัก อาจทำให้เด็กขยาดได้เหมือนกัน  เด็กที่ไม่ชอบกินผักส่วนใหญ่ เพราะไม่ชอบรสชาติจืด และกลิ่นเขียวของผัก ยิ่งถ้าไม่ได้ฝึกให้กินผักตั้งแต่เล็ก  หรือกินแต่ผักที่ผสมในข้าวต้ม แต่ไม่เคยกินผักแยกกับข้าว จึงไม่คุ้นเคยกับผักแต่ละชนิด

เด็กชอบกินผักสร้างได้ เริ่มต้นที่คุณแม่

 

ยิ่งปล่อยนานไป เด็กที่ไม่กินผักจะเกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว เริ่มต้นจากการที่เด็กกินแต่อาหารซ้ำๆ  เช่น ของทอด แป้ง น้ำตาล หรือเนื้อสัตว์ ทำให้ระบบย่อยอาหารและขับถ่ายทำงานผิดปกติ จึงมีอุจจาระในลำไส้ใหญ่สะสมเป็นเวลานาน เมื่อโตขึ้นเยื่อบุลำไส้ที่สัมผัสกับสารก่อมะเร็งตลอดเวลา เป็นต้นเหตุของโรคร้ายอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคมะเร็งลำไส้

ถ้าอยากให้ลูกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง คุณแม่ต้องปลูกฝังให้ลูกกินผักตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยเมนูฝึกเคี้ยวที่ไม่ปรุงรสจัดเกินไป และชักชวนให้เด็กเข้าครัวมาทำอาหารด้วยกัน จะช่วยให้ลูกรู้สึกสนุกกับการกินผัก รู้สึกว่าผักอร่อย และกินง่ายกว่าที่คิด

เชฟแม่หมีได้หาตัวช่วยดีๆ มาเสริมทัพ เมนูฝึกเคี้ยว ให้อร่อย น่ากินยิ่งขึ้นด้วย สูตร “ดิปอะโวคาโดกับผักสติ๊ก” มาฝากเด็กๆ โดยรวมพลังซูเปอร์ผักสารพัดชนิดมาช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกาย เติมเต็มความอร่อยด้วยรสเข้มข้นของดิปอะโวคาโดแบบไม่ต้องปรุงเยอะ มาเปลี่ยน เมนูฝึกเคี้ยวธรรมดา ให้ดึงดูดใจเด็กๆได้ทันที ตามมาดูกันเลยค่ะ

ดูคลิป วิธีทำพร้อมส่วนผสม ดิปอะโวคาโดจิ้มกับผักสติ๊ก หน้า 3

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 


ขอบคุณข้อมูลจาก: สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ส่วนผสมและอุปกรณ์ทำดิปอะโวคาโดกับผักสติ๊ก

ส่วนผสม

ปริมาณ
อะโวคาโดสุก                        1            ผล
มายองเนส                        1           ช้อนโต๊ะ
มัสตาร์ด                        1           ช้อนโต๊ะ
แครอท ข้าวโพดอ่อน  แตงกวาปริมาณตามชอบ
น้ำตาลทราย (สำหรับต้มผัก)                         1        ช้อนชา
น้ำใส่น้ำแข็ง (สำหรับแช่ผัก)
หม้อ
มีด ส้อม

 

คลิกดูคลิปวิธีทำ ดิปอะโวคาโดกับผักสติ๊ก ด้านล่างนี้เลยจ้า

 

วิธีทำดิปอะโวคาโดกับผักสติ๊ก เมนูฝึกเคี้ยว แสนอร่อย

  1. หั่นครึ่งข้าวโพดเป็นแท่ง ปอกเปลือกแครอทแล้วหั่นเป็นแท่งยาว

  2. ตัดขั้วแตงกวาและปอกเปลือกออกจนหมด หั่นเป็นแท่งยาว (ไม่เอาไส

  3. ต้มน้ำในหม้อให้เดือด ใส่น้ำตาลทรายลงไป จากนั้นใส่แครอทแท่งลงไปลวกจนสุก ตักขึ้น แช่น้ำเย็นจัดทันที

  4. ลวกข้าวโพดอ่อนจนสุก ตักขึ้น แช่น้ำเย็นจัดทันที สะเด็ดน้ำผักทั้งหมด พักไว้

  5. ผ่าครึ่งอะโวคาโด เอาเมล็ดออก ใช้ช้อนตักเนื้อใส่ถ้วย บดให้ละเอียด

  6. ใส่มัสตาร์ด และมายองเนสลงผสมกับอะโวคาโดจนเป็นเนื้อเดียวกัน

  7. จัดเสิร์ฟพร้อมกับแครอท แตงกวา และข้าวโพดอ่อนได้ทันที

 

โภชนาการดี๊ ดีของ เมนูฝึกเคี้ยว กับดิปอะโวคาโดกับผักสติ๊ก

แครอท

อุดมด้วยสารเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ บี 1 บี 2 ซี และอี แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ช่วยบำรุงกระดูก เล็บและฟัน  บำรุงเส้นผมและสายตา ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันท้องผูก

แตงกวา

ผักเนื้อกรอบ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตนิวเทรียน และเส้นใยอาหารสูง แถมยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินอีธรรมชาติ ที่ดีต่อสุขภาพผิวและระบบหมุนเวียนโลหิต

ข้าวโพดอ่อน

ผักฝีสีเหลืองไซส์มินิ อุดมด้วยสารอาหารหลายชนิดทั้ง คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และกากใยอาหาร มีฤทธิ์ช่วยป้องกันหวัด เสริมสร้างกระดูก ฟันและเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ แถมยังกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้

 

TIP เล็กๆ เก็บมาฝาก

การแช่ผักลวกในน้ำเย็นจัดทันที ช่วยทำให้ผักกรอบและคงสีสันสดใส

ควรล้างผักให้สะอาดเพื่อลดสารพิษตกค้าง

ควรเลือกใช้อะโวคาโดที่สุกพอดี เพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้น และอร่อยเต็มที่

 

 คุณแม่สามารถติดตามเมนูเด็ดอื่น ๆ ของเชฟแม่หมี
เพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะ! ที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ