AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

วิธีฝึกลูกน้อยสู่คนคุณภาพ ตามแบบญี่ปุ่น

3 เทคนิค สร้างลูกให้เก่ง อัจฉริยะ อดทน แบบญี่ปุน

วิธีฝึกลูกน้อยสู่คนคุณภาพ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเด็กๆ และคุณพ่อ คุณแม่ แล้วจะใช้วิธีไหนในการฝึกลูก ตั้งแต่เล็กๆ ระดับอนุบาล ไปจนถึงประถมศึกษา มาดูวิธีฝึกลูกน้อยสู่คนคุณภาพ ตามแบบญี่ปุ่น ด้วยการเรียนแบบทดลองให้เห็นจริง และนำกีฬามาสอนสอดแทรกด้วย

1.การฝึกมารยาท และระเบียบวินัย

เคยสงสัยกันไหม ว่าที่ญี่ปุ่นเขาไม่มีการไหว้ แต่เขาสอนเด็กๆ เรื่องมารยาทกันอย่างไร โดยแม้ว่าจะเป็นโรงเรียนกวดวิชาก็ยังมีการสอนมารยาทสำหรับเด็กๆ การปลูกฝังเรื่องมารยาทตั้งแต่เล็กๆ จะช่วยให้เขาเข้าใจการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ เช่น การนั่งหลังตัวตรง การใช้ตะเกียบ การถอดรองเท้า การใช้มือถือในที่สาธารณะ การใช้คำพูดที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเสียใจ เช่น อ้วน เตี้ย เป็นต้น

กีฬาเป็นส่วนหนึ่งที่ฝึกให้เด็กญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่เรียนเก่งแล้วจะสอบได้ เข้าสมัครงานได้ เรื่องมารยาท และระเบียบวินัยก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยย้อนกลับมาดูผู้ใหญ่ว่าสอนดีหรือไม่ เพราะอะไรเด็กถึงไม่เคารพผู้ใหญ่ เมื่อเกิดปัญหานี้เกิดขึ้นอาจารย์ผู้สอนจะมานั่งพูดคุยกัน ถ้าให้เลือกเด็กที่ทำงานเก่ง กับมีมารยาทดี คนญี่ปุ่นจะเลือกคนที่มีมารยาท เพราะสามารถเพิ่มความเก่งได้ภายหลัง แต่มารยาทไม่สามารถฝึกได้เมื่อโตขึ้น

การแสดงความเคารพของญี่ปุ่นต้องก้มหลังโค้งทั้งตัว แสดงถึงความนอบน้อม และมองหน้ายิ้มแย้มกับคนที่ทักทาย โดยปัจจุบันเด็กมีมารยาทที่ไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ การสอนมารยาทเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น จริงๆ แล้วเราเป็นคนดี น่ารัก แต่แสดงออกไม่เป็น อาจจะทำให้คนอื่นไม่พอใจได้

ตัวอย่างการสอนของอาจารย์ สอนเรื่องการก้มศีรษะทำความเคารพกันและกัน การหลบร่มหลีกทางเพื่อแสดงความเห็นใจผู้อื่น แม้กระทั่งการยิ้ม ให้ฝึกยิ้มด้วยความจริงใจและจริงจัง รวมถึงการล้างมือในห้องน้ำสาธารณะว่าจะต้องล้างไม่ให้กระเด็นไปโดนคนอื่น และมารยาทในรถไฟฟ้า การอบรมตั้งแต่ยังเล็กจะทำให้ลูกอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ดี

การสอนมารยาทผ่านการเล่นเทนนิสเป็นการฝึกมารยาทให้ลูกๆ ด้วย ผู้ปกครองคือส่วนสำคัญในการสอนลูกน้อย โดยญี่ปุ่นมักจะให้ความสำคัญกับการปลูกฝังเด็กวัย 3 – 13 ปี เพราะการเรียนรู้ในช่วงวัยนี้จะทำให้เขาจดจำไปชั่วชีวิต ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ ส่วนใหญ่คือ อาย ไม่กล้าแสดงออก การสอนเทนนิสจะทำให้ลูกกล้าแสดงออก การฝึกมารยาทแล้วระเบียบวินัย จึงเป็นเรื่องใกล้ตัว

ชมคลิป ดูให้รู้ : ฝึกเด็กสู่คนคุณภาพ ได้ที่นี่

อ่านต่อ ฝึกความเข้มแข็ง แบบคุณครูฮาร์ดคอร์ คลิกหน้า 2 และ ฝึกลูกอนุบาลให้เป็นอัจฉริยะ คลิกหน้า 3

2.ฝึกความเข้มแข็ง แบบคุณครูฮาร์ดคอร์

การฝึกวินัย และความแข็งแกร่งอย่างเข้มข้นของญี่ปุ่น อาจจะดูรุนแรง แต่เป็นการฝึกความอดทนของลูกให้เข้มแข็ง เช่น ด้วยการสวัสดีเสียงดัง นั่งหลังตั้งตรงเป๊ะ วิ่งเต็มฝีเท้ารอบโรงเรียน ถอดเสื้อทนหนาวต่ำกว่า 10 องศา เป็นการฝึกคล้ายอยู่ค่ายทหาร ถึงแม้จะรุนแรงแต่ก็มีผู้ปกครองส่งลูกมาฝึกแล้ว 3 เจเนอเรชัน

เนอสเซอรี่นี้เปิดรับนักเรียนตั้งแต่อายุต่ำกว่า 1 – 6 ขวบ มีผู้ปกครองส่งเด็กมาเรียนที่นี่เป็นจำนวนมาก เด็กญี่ปุ่นมักจะถูกส่งมาเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน อย่างแรกคือเมื่อเข้ามาถึงตะโกนทักทายอย่างเสียงดังฟังชัด ตบรองเท้า และนำรองเท้ามาเก็บไว้ในที่จัดไว้ เด็กเล็กๆ จะมีพ่อแม่มาส่งถึงห้องเรียน คุณครูจะสอนให้สวัสดีคุณพ่อ คุณแม่ ค่อยๆ สอนให้เด็กซึมซับ และทำให้เด็กไม่ร้องไห้

ไม่ว่าเด็กจะเล็กขนาดไหน ถ้าฝึกให้ทำทุกวัน เด็กก็จะทำได้ เพียงแต่อาจใช้เวลามากหน่อย และคุณครูต้องใจเย็น ส่วนเด็กโตจะทำอะไรเองได้หลายอย่าง เช่น ขึ้นห้อง เก็บกระเป๋า

เมื่อถึงเวลาเข้าแถว เด็กๆ จะต้องใส่เสื้อแขนสั้นในหน้าหนาว และออกไปวิ่ง 2 รอบอย่างเต็มแรง รอบโรงเรียน ถ้าเป็นเด็กเล็กหน่อยจะวิ่ง 1 รอบ ถ้าเด็กหกล้มระหว่างทาง ครูจะให้เด็กลุกขึ้นเอง วิ่งร้องไห้กลับมาก็มี นี่คือการฝึกของโรงเรียนนี้ เด็กๆ วิ่ง 2 รอบ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที

เมื่อวิ่งแล้วก็มาเข้าแถวออกกำลังกาย และถอดเสื้อ ซึ่งอุณหภูมิขณะนั้น 5 องศาเท่านั้น เด็กเกิดอาการตัวสั่น ขาสั่น ฝึกความเข้มแข็งของเด็กๆ ซึ่งบางคนร้องไห้ก็ต้องอดทน

เมื่อถึงเวลาเข้าห้องเรียน เช่นเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ จะฝึกให้เด็กพูด ด้วยการพูดไปเรื่อยๆ ให้เด็กฟัง เด็กอาจยังฟังอะไรไม่รู้เรื่อง แต่ด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกันทำให้เด็กให้ความสนใจ และคุณครูที่อยู่ใกล้ๆ ก็จะพยายามทำให้นั่งหลังตรง

สำหรับห้องเด็ก 2 ขวบ จะมีการนั่งสมาธิก่อนเรียน เด็กๆ เหล่านี้สามารถพูดได้แล้ว และมีการสอนให้นั่งตัวตรง และสิ่งที่สอนอาจไม่เกี่ยวกับเด็ก แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กสนใจในการเรียน รวมถึงการรู้จักเก็บเก้าอี้ด้วยตัวเอง

ห้องเด็ก 2 – 3 ขวบ จะแตกต่างกันเล็กน้อย คือเริ่มด้วยการฝึกสมาธิ ฝึกให้แสดงความคิดเห็นด้วยการยกมือ และพูดด้วยความเข้มแข็ง

ห้องเด็ก 3 – 4 ขวบ เริ่มด้วยการฝึกสมาธิ และมีความซับซ้อน คือฝึกท่องและจดจำเนื้อหา เด็กๆ อ่านหนังสือกันได้แล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ขึ้นชั้น ป.1 โดยปกติเด็ก 3 ขวบไม่สามารถอ่านได้ แต่ด้วยความที่คุณครูอ่านให้ฟังทุกวัน ทำให้พวกเขาจดจำได้ ให้เด็กจำจนขึ้นใจ ฝังลงไปในจิตสำนึก ฝึกมารยาท และระเบียบวินัยไปจนโต

ห้องเด็กโต มีการสอนอ่านเขียน แต่วันนี้เป็นการฝึกสอนด้านร่างกายของเด็กๆ ฝึกความแข็งแรง ซึ่งจะสังเกตได้จากเด็กๆ ป่วยเป็นหวัดน้อยมาก ทั้งๆ ที่ต้องถอดเสื้อ อยู่ในอุณหภูมิ 5 องศา

เมื่อถึงเวลากลางวันเด็ก 3 ขวบขึ้นไป ต้องเปลี่ยนเวรกันทำหน้าที่เช็ดโต๊ะ จัดโต๊ะ บริการเพื่อนในห้อง ฝึกการเป็นผู้รับ และผู้ให้ สอนให้เด็กรู้จักการรับประทานให้หมด เพื่อโภชนาการที่ดี หลังจากนั้นก็มีการเก็บจาน รู้จักหน้าที่ และทำความสะอาดห้องเรียบร้อย ทางโรงเรียนสอนว่าการช่วยเหลือคนอื่นคือฮีโร่

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เด็กเล็กจะนอนกลางวัน เด็กโตก็มีการเรียนการสอนตามปกติ ระบบที่โรงเรียนนี้ใช้เป็นหลักคือ มารยาท ความรู้ และแข็งแรง หลายคนอาจคิดว่าเป็นการดูแลที่โหดร้ายเกินไป แต่การที่ไม่ช่วยจะทำให้ให้เด็กเป็นผู้ใหญ่ได้มากกว่า ทำให้เด็กแข็งแกร่ง และเติบโตมาเป็นคนที่มีคุณภาพ

พ่อแม่อาจคิดเผื่อเด็กเกินไป ปล่อยให้เขาล้ม และลุกขึ้นมาเองนั่นคือ ความรักที่แท้จริง คุณพ่อ คุณแม่สามารถสอนลูกได้หลายวิธี และต้องมีแนวทางเดียวกันเพื่อไม่ให้ลูกสับสน เด็กๆ ที่มาเรียนที่นี่ ลูกๆ บางคนยังร้องจะมาโรงเรียน ตอนกลับบ้านก็พูดลาคุณครูด้วยเสียงดังฟังชัดเช่นกัน

ชมคลิป ดูให้รู้ : คุณครูฮาร์ดคอร์ ได้ที่นี่

อ่านต่อ ฝึกลูกอนุบาลให้เป็นอัจฉริยะ คลิกหน้า 3

3.ฝึกลูกอนุบาลให้เป็นอัจฉริยะ

มีโรงเรียนแห่งหนึ่งสอนเด็กให้เป็นอัจฉริยะ ในทางของตัวเอง จนมีโรงเรียนมากกว่า 400 แห่ง โรงเรียนนี้ปล่อยให้เด็กเผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง และเขาจะแข็งแกร่ง

โรงเรียนแห่งนี้อยู่ทางเกาะทางใต้ของญี่ปุ่น ที่นี่มีแนวการสอนให้สร้างเด็กเป็นอัจฉริยะ ให้แข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ และสมอง ไม่ใช่เก่ง แต่ไม่มีหัวใจ ร่างกายอ่อนแอ ที่จริงเมืองนี้มีแค่ 10 คน แต่เด็กๆ ที่มาเรียนย้ายมาจากเมืองอื่นเพื่อมาเรียนโดยเฉพาะ

กิจกรรมแรกของวันคือการวิ่ง โดยเด็กวัย 4 ขวบวิ่งกลางแจ้ง ในวันฝนตก ไม่ต้องกลัวเด็กเป็นหวัด หรือหกล้ม สร้างจิตใจเด็กให้สู้อุปสรรค

ห้องเรียนเด็ก 3 ขวบ เริ่มจากพื้นฐานง่ายๆ อาจทำให้เด็กคิดได้เป็นระบบ โดยการขีดเขียน เวลาสอนให้จับจังหวะในการสอน เด็กจะรู้จังหวะด้วย ในหนึ่งปีจะใช้การเรียนสอนภาญี่ปุ่น 13 เล่ม ใครเขียนเร็วกว่าก็ไม่ต้องรอเพื่อน เด็กแต่ละคนมีความสามารถในการอ่านแตกต่างกัน เมื่อ 6 ขวบจะอ่านได้เทียบเท่าเด็ก 10 ขวบ

ห้องเรียนเด็กวัย 5 ขวบ อ่านหนังสือของ ป.2 ได้แล้ว อ่านด้วยความเร็วกว่าเด็กธรรมดาถึง 2 ปี เวลากลับบ้านจะเอาหนังสือไปยืนอ่านต่อหน้าคุณแม่ ทำให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเด็กอนุบาลเริ่มใช้พจนานุกรมกันแล้ว และจะเล่นลูกคิด แทนการใช้คอมพิวเตอร์

เด็กที่นี่ยกตัวด้วยมือได้ทุกคน กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางได้ทุกคน ทำท่ายากๆ ได้ เป็นการฝึกทางด้านร่างกาย เพราะเด็กออกกำลังกายได้ดีในช่วง 6 ขวบ เป็นการฝึกที่สำคัญ ยิ่งโต ร่างกายยิ่งดัดยาก

เด็กอายุ 5 ขวบสามารถกระโดดขว้างสิ่งกีดขวางที่สูงกว่าตัวเองได้ ส่วนเด็กที่มีปัญหา เช่น พลาด และบาดเจ็บ คุณครูจะไม่ช่วย ปล่อยให้เด็กแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ทำให้เด็กอดทน เมื่อผิดหวังจะเข้มแข็งขึ้นมาด้วยตัวเองได้

การสอนมวยปล้ำสำหรับเด็กผู้ชาย แต่เป็นสิ่งสำคัญกับเด็กผู้ชาย ช่วยให้เด็กอดทนเมื่อเกิดสงคราม เมื่อมีน้ำตา จุก ก็ห้ามมีเสียง เจ็บเอง ร้องเอง ต้องหายเอง หรือเสียใจที่แพ้ เป็นการเรียนเรียนรู้ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย โดยเด็กที่แพ้จะตั้งใจว่าคราวหน้าจะชนะให้ได้

การเรียนว่ายน้ำ จะสอนให้เด็กว่ายในสระผู้ใหญ่ โดยสอนให้เด็กเปิดตาว่ายน้ำ ใช้เหรียญเงิน มาเป็นตัวล่อให้เด็กหยิบเหรียญไปซื้อขนม เป็นการท้าทายให้เด็กมีความพยายาม และสนุก แต่บนความโหดก็ต้องมีความอ่อนโยน เพราะเด็กจะรับอารมณ์ไม่ค่อยได้ ฝึกให้เด็กมีความกล้าฝ่าฟันอุปสรรค เช่นเด็กที่ว่ายน้ำไม่เป็น กลัวการว่ายน้ำ

ห้องเรียนต่อไปเป็นห้องเรียนดนตรี โดยการร้องเพลงให้เด็ก เล่นดนตรีตามเสียงที่ได้ยิน จะเห็นว่าเด็ก 5 ขวบก็สามารถทำได้แล้ว เพราะมีการฝึกมาตั้งแต่ 3 ขวบ

ทางโรงเรียนคิดว่าเด็กทุกคนเป็นเด็กอัจฉริยะ เด็กอนุบาลที่จบจากที่นี่จะมีความรู้เท่ากับเด็ก ป.4 เช่น บวกลบคูณหารในระดับยากๆ ได้ ซึ่งเด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ คือรู้สึกอยากเรียนเอง ช่วยพ่อแม่เอง เช่น มีการแลกเปลี่ยน ทำแบบนี้ทุกวันเด็กๆ จะติดนิสัยเป็นเด็กแข็งแรงเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ สอนให้เด็กเจอกับอันตรายทำให้เด็กอยากเข้มแข็ง เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจ และไม่ยอมแพ้อุปสรรค รู้จักพึ่งพาตนเอง ทำให้เด็กรู้แพ้ รู้ชนะ และยอมรับคนที่เก่งกว่า เพราะเด็กแต่ละคนมีความเก่งที่แตกต่างกัน เด็กทุกคนบอกว่าสนุก และมีความสุขที่ได้ฝ่าด่าน และทำให้พ่อแม่ภูมิใจ

ชมคลิป ดูให้รู้ : อนุบาลอัจฉริยะ ได้ที่นี่

เครดิต: Thai PBS