แนวการสอนแบบ วอลดอร์ฟ (Waldorf Method) เป็นรูปแบบการศึกษาในฐานะหลักสูตรโรงเรียนทางเลือกหรือโรงเรียนแนวบูรณาการ เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้เริ่มหันมามอง และศึกษาหาข้อมูล สำหรับเจ้าตัวน้อยที่กำลังจะเข้าเรียน ซึ่งในปัจจุบันโรงเรียนทางเลือกเริ่มเป็นที่ผู้ปกครองนิยมมากขึ้น เพราะมีรูปแบบแนวการสอนที่แตกต่างจากโรงเรียนกระแสหลัก แต่เป็นโรงเรียนที่มีกฎหมายรองรับและจัดการศึกษาที่อิงกับระบบของกระทรวงศึกษาธิการเช่นกัน แตกต่างตรงที่โรงเรียนจะนำการเรียนการสอนมาประยุกต์และปรับใช้ให้เหมาะสม เน้นเรียนรู้ผ่านกิจกรรม การลงมือทำ การเล่น ทั้งในและนอกห้องเรียน ซึ่งโรงเรียนทางเลือกเองก็มีรูปแบบการศึกษาที่หลากหลาย แต่สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ ว่ามีรูปแบบการเรียนการสอนอย่างไร มาทำความรู้จักกันค่ะ
10 ข้อที่จะทำให้แม่ๆ รู้จักโรงเรียนแนว วอลดอร์ฟ มากขึ้น
1.แนวคิดการศึกษาวอลดอร์ฟ เกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 โดยรูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักปราชญ์ผู้ก่อตั้งการศึกษา วอลดอร์ฟ ที่เชื่อว่า “สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี” เด็กวัยแรกเกิดถึง 7 ปี เป็นวัยที่เรียนรู้จากการเลียนแบบทั้งท่าทางและคำพูดจนไปถึงการเลียนแบบลึกลงไปถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ดังนั้นการเรียนรู้ของเด็กจึงเป็นการเรียนผ่านจิตใต้สำนึกซึ่งก็จะส่งผลต่อสุขภาพกาย กริยาท่าทาง อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด โดยไม่รู้ตัว การจัดการศึกษาจึงต้องคัดเลือกสิ่งที่ดีงามให้แก่เด็กและปกป้องเด็กจากสิ่งที่จะทำลายความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาซึ่งเป็นความดีงามที่ติดตัวเด็กมา
2.การจัดบรรยากาศการเรียนการสอนทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน อาคารเรียนและบริเวณโรงเรียน เป็นองค์ประกอบสำคัญของการศึกษาวอลดอร์ฟ ความงดงามของธรรมชาติจะปรากฎอยู่ทั้งกลางแจ้งและภายในอาคาร เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล ที่ช่วยทำให้เด็กรู้สึกถึงความรักความอบอุ่น และช่วยให้ร่างกายสดชื่นแจ่มใส ไม่เคร่งเครียด ภายในห้องเรียนให้ได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จ้าเกินไปหรือมืดทึมเกินไปช่วยให้เด็กปรับตัวให้เรียนรู้ได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งเร้าเกินจำเป็น ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น เสียงนกร้อง ลมพัด ใบไม้ไหว น้ำไหลริน หรือเสียงดนตรีและเพลงที่ไพเราะอ่อนโยน และแม้แต่ความเงียบ จะช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน และสดชื่นในจิตใจเด็ก ช่วยให้เด็กสงบ มีพลัง ตื่นตัว และมีสมาธิต่อจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในการเรียนรู้ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนสำคัญในการจัดบรรยากาศเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านทั้งจิตใต้สำนึกของเด็กตลอดทั้งวัน
3.เป้าหมายของการศึกษาวอลดอร์ฟคือ ให้ความสำคัญกับการพัฒนามนุษย์ โดยมุ่งเน้นพัฒนาเด็กให้บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมี สามารถกำหนดความมุ่งหมาย และแนวทางแก่ชีวิตได้อย่างอิสระตามกำลังความสามารถของตัวเอง เป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการศึกษาระบบวอลดอร์ฟจึงเน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล มีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่าย กลมกลืนกับธรรมชาติ สอนให้เด็กได้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก ผ่านกิจกรรม 3 อย่างได้แก่ กิจกรรมทางกาย (การลงมือทำ) อารมณ์ความรู้สึก และการคิด และเน้นให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะด้านสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฎิบัติอย่างพอเหมาะ
4.หลักสูตรวอลดอร์ฟในระดับปฐมวัยจะไม่มีการแบ่งเนื้อหาสาระเป็นวิชา วิชาการจะยังไม่ถูกสอนในช่วงปีแรก ๆ ของการเรียน แต่จะเป็นการจัดเนื้อหาสาระบูรณาการออกมาในรูปของประสบการณ์ผ่านกิจกรรมการเล่นและการดำเนินชีวิต เน้นให้ความสำคัญกับจินตนาการของผู้เรียนและการกลมกลืนกับธรรมชาติเชื่อมโยงกัน ซึ่งก็จะพบว่าเนื้อหาสาระเหล่านี้ถูกบูรณาการรวมกับในแง่วิชาต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืน สร้างสมดุลระหว่างศิลปะ วิทยาการ ดนตรี จริยธรรม และการฝึกฝนทักษะชีวิตประจำวัน เป็นการปูพื้นฐานสำหรับคุณสมบัติที่ดีงามแห่งความเป็นมนุษย์ซึ่งจะติดตัวเด็กไปจนตลอดชีวิต
5.หลักสูตรวอลดอร์ฟทุกชั้นไม่ว่าจะระดับอนุบาลไปจนถึงประถมจะเป็นเอกภาพต่อเนื่องกัน คือ กำหนดขึ้นโดยมีเด็กอยู่ในใจ สอดคล้องกับพัฒนาการในแต่ละวัย ผ่านทางกาย อารมณ์ ความคิด ตอบสนองต่อศักยภาพในตัวเด็กซึ่งกำลังต้องการพัฒนาไปมากที่สุดในช่วงระยะนั้น เด็กจะเรียนรู้โดยผ่านการปฏิบัติด้วยตนเองในสภาพการณ์ที่เป็นจริง การเรียนการสอนไม่ได้เป็นไปโดยผ่านตำราแบบเรียน แต่ผ่านครูไปสู่นักเรียนโดยตรง โดยครูให้การศึกษาต่อเด็กจากประสบการณ์และความรู้ของตนอย่างมีศิลปะ มีชีวิตชีวา ไม่ใช่เพียงถ่ายทอดข้อมูลในตำรา ในโรงเรียนวอลดอร์ฟครูประจำชั้นจะเลื่อนชั้นตามลูกศิษย์ไปตั้งแต่ป. 1 จนถึงม. 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ 10 ข้อที่จะทำให้รู้จักโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมากขึ้น คลิกหน้า 2
6.การศึกษาวอลดอร์ฟเน้นให้ครูทุกคนผ่านการฝึกฝนในหลักสูตรฝึกหัดครู ที่สามารถพูดได้ชัดเจน มีศิลปะในการใช้ภาษาได้อย่างไพเราะ เพื่อให้เด็กได้คุ้นเคยและซึมซับกับความงดงามของรูปแบบและจังหวะของภาษา โดยใช้นิทาน คำประพันธ์ การร้องเพลง ละครหุ่น หุ่นนิ้วมือ ฯลฯ เป็นสื่อการสอนที่ช่วยให้เด็กได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึก ภาษาจากการเล่าเรื่องผ่านจากปากครูโดยไม่ใช้การเปิดจากแผ่นซีดีหรือยูทูป เมื่อเด็กได้ยินภาษาพูดก็จะซึมซับเรื่องราวผ่านภาษาที่ไพเราะ และกระตุ้นให้เด็ก ๆ สร้างจินตนาการภายในใจของแต่ละคน ซึ่งในช่วงปฐมวัยนั้นภาษาพูดถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับช่วงวัยที่กำลังเรียนรู้จากการเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนภาษาเขียนจะยังไม่เน้น เนื่องจากครูมุ่งพัฒนาให้เด็กใช้จินตนาการภาพในใจให้ชัดเจน แต่เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้พัฒนากากล้ามเนื้อมัดเล็กผ่านการวาดภาพ ขีดเขียนอย่างอิสระเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดให้ปรากฎเป็นสัญลักษณ์ 2 มิติ เด็กเรียนรู้ภาษาเขียนจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวและในชีวิตประจำวน โดยเฉพาะจากการเลียนแบบพฤติกรรมการอ่านเขียนในชีวิตจริงของผู้ปกครองและครู
7.ทักษะทางด้านวิชาต่าง ๆ ไม่ได้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง หากแต่เชื่อมโยงซึ่งกันและกันโดยตลอด เช่น คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จะถูกบูรณาการสอดแทรกอยู่ในกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ โดยไม่ได้มีเนื้อหาเฉพาะส่วนที่เป็นแนวคิดแต่มีส่วนที่เป็นความรู้สึกควบคู่กันไปด้วย เช่น ของเล่นที่เป็นวัสดุธรรมชาติ อาทิ แท่งไม้ ก้อนหิน กรวดผ้า เชือก ที่ครูคัดเลือกนำมาเป็นของเล่นให้กับเด็ก ยังให้แนวคิดพื้นฐานทางเรขาคณิตเกี่ยวกับลักษณะต่าง ๆ ของวัตถุและรูปเรขาคณิตในสิ่งรอบตัว ทักษะการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมประจำวันตามหลักการทำซ้ำ ตามจังหวะเวลาที่สม่ำเสมอ และการสังเกตธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ก็จะทำให้เด็กได้บทเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรียนรู้ทักษะจากการสังเกต และการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติรอบตัวทุก ๆ วันตลอดเวลา ทักษะนี้ยังเกิดขึ้นกับกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การเพาะปลูกทำสวนเก็บเกี่ยว ที่จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ทักษะการวัดและนับจำนวน เรียนรู้ทักษะด้านจัดทำข้อมูล สื่อความหมาย และลงความเห็นจากการเล่าเหตุการณ์ตามลำดับ การอภิปรายความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติทั้งที่เกิดขึ้นเองและที่เด็กมีส่วนทำให้เกิดการเก็บเกี่ยว การซื้อขายแลกเปลี่ยนผลผลิตจากแปลงพืชผักกันเองภายในโรงเรียนและชุมชน ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้แนวคิดพื้นฐานด้านเวลาและเงิน รวมถึงกิจกรรมประดิษฐ์และออกแบบสิ่งของที่จะเล่นภายใต้การชี้นำอันอบอุ่นของครูผู้สรรค์สร้างความสมดุลขึ้นมา
8.กิจกรรมประจำวันตลอดทั้งวันของแต่ละโรงเรียนจะแตกต่างกันไปตามสภาพและวัฒนธรรมของท้องถิ่นรวมทั้งการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีของครูผู้สอนด้วย แต่โดยภาพรวมกิจกรรมในแต่ละวันของเด็กจะเรียบง่าย โรงเรียนวอลดอร์ฟจะใช้อุปกรณ์การสอนที่เตรียมไว้ให้เด็กเล่นจะเป็นของเรียบง่าย เน้นวัสดุจากธรรมชาติ เช่น แท่งไม้ ก้อนหิน กรวด เปลือกหอย เมล็ดพืช ด้าย และไหมสีต่าง ๆ พร้อมไม้สำหรับถัก กรอบไม้สำหรับทอผ้า สะดึงสำหรับปักผ้า ตระกร้าเย็บผ้า ผ้าเส้นใยธรรมชาติ สี และขนาดต่าง ๆ โต๊ะและอุปกรณ์ทำงานไม้ อุปกรณ์ทำสวน ฯลฯ โดยครูจะเป็นผู้เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ จากการวางแผนการสอนอย่างรอบคอบ
ครูจะกำหนดกิจกรรมแต่ละช่วงโดยคำนึงถึงหลักการสำคัญในการจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟ 3 ประการคือ การจัดจังหวะในชีวิตประจำวันให้สมดุลและสม่ำเสมอ การทำซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นทักษะใหม่ เป็นความเคยชิน เป็นวินัย ที่มั่นคง และความเคารพและน้อมรับคุณค่าของทุกสิ่งเกื้อหนุนเรา ดังนั้นกิจกรรมประจำวันของโรงเรียนอนุบาลแต่ละแห่งก็จะยืดหยุ่นไปตามสภาพชีวิตในชุมชน ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบแผนตายตัว
9.ดนตรีจัดว่าเป็นส่วนสำคัญที่นำมาใช้เป็นสื่อให้กับเด็กปฐมวัยในโรงเรียนวอลดอร์ฟ เน้นการใช้ดนตรีเพื่อพัฒนาการและจิตของเด็กให้สมดุลกลมกลืน ใช้เพลงซึ่งเป็นเสียงที่นุ่มนวลฟังแล้วเบาสบาย สื่ออารมณ์ความรู้สึกของเด็กได้ดี เด็กสามารถร้องตามได้ง่าย และช่วยให้เด็กรู้สึกสงบ ซึ่งตามทฤษฎีของรูดอร์ฟ สไตเนอร์ ถือว่าเป็นเสียงที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ทำให้มนุษย์รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาลและจิตวิญาณระดับสูงของตน ดังนั้นเพลงที่ครูใช้ในกิจกรรมประจำวันตลอดทั้งวันมักเป็นเพลงเพนทาโทนิค และเครื่องดนตรีที่เด็กใช้มักเป็นเครื่องดนตรีที่สามารถเลียนเสียงธรรมชาติรอบตัวได้
10.หลักสูตรวอลดอร์ฟเน้นในเรื่องการปลูกฝังทักษะชีวิตด้านต่างๆ ผ่านกิจกรรมอย่างสนุกสนานทั้งในและนอกห้องเรียน เกิดกระบวนการเรียนรู้จากการลงมือทำจริง ซึ่งงานปฎิบัติทำให้หลักสูตรวอลดอร์ฟมีความสมดุลระหว่างวิชาที่ใช้พลังสมองและวิชาที่ต้องใช้มือ แขนและขา ตามทฤษฎีพัฒนาการของรูดอล์ฟ สไตเนอร์ ที่เด็กแรกเกิดถึง 7 ปี จะพัฒนาระบบประสาทผ่านการเคลื่อนไหวร่างกาย มือ แขน และขา เด็กจะต้องมีประสบการณ์ที่ได้รับความรู้สึก 4 ด้าน คือ ความรู้สึกจากการสัมผัส ความรู้สึกแห่งชีวิต ความรู้สึกจากการเคลื่อนไหว และความสมดุลของร่างกายมากพอ เพื่อให้มีพื้นฐานที่ดีสำหรับพัฒนาการช่วงต่อ ๆ ไป เช่น การลงมือปลูกผัก ทำสวน หรือลงพื้นที่ในรอบรั้วโรงเรียนเพื่อสัมผัสธรรมชาติใกล้ตัว ที่จะช่วยให้เด็กได้สัมพันธ์กับพื้นโลกและเรียนรู้คุณค่าและความยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน การวาดภาพระบายสี การประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุธรรมชาติ เมื่อใช้มือสร้างหรือประดิษฐ์ของเล่น จะทำให้เด็กได้ฝึกสมาธิ มีความวิริยะอุตสาหะ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่ตนสร้างขึ้น เด็กจะตระหนักถึงความยากลำบากในการคิด และการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้เห็นคุณค่าทุกคนและทุกสิ่งจากการลงมือปฏิบัตินั้นเอง
จะเห็นได้ว่าแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟถือว่าเป็นการศึกษาแนวใหม่ที่แตกต่างจากระบบเดิม ๆ และดูน่าสนใจไม่น้อย โรงเรียนทางเลือกที่มีแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ เช่น โรงเรียนปัญโญทัย โรงเรียนไตรพัฒน์ โรงเรียนเพลินพัฒนา โรงเรียนวรรณสว่างจิต โรงเรียนอนุบาลบ้านรัก เป็นต้น ซึ่งแนวทางการสอนแบบนี้คงจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกทางการศึกษาที่ถูกใจพ่อแม่ยุคนี้ได้ดีทีเดียวค่ะ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก nontster.wordpress.com, thepotential.org
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :
โรงเรียนคาทอลิก แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปอย่างไร ทำไมพ่อแม่ถึงอยากให้ลูกเข้า!
ความจริง 10 ข้อ พ่อแม่ต้องรู้ก่อน เลือกโรงเรียนให้ลูก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่