10 ข้อที่จะทำให้แม่ๆ รู้จักโรงเรียนแนว วอลดอร์ฟ มากขึ้น - Amarin Baby & Kids
วอลดอร์ฟ

10 ข้อที่จะทำให้แม่ๆ รู้จักโรงเรียนแนว วอลดอร์ฟ มากขึ้น

event
วอลดอร์ฟ
วอลดอร์ฟ

6.การศึกษาวอลดอร์ฟเน้นให้ครูทุกคนผ่านการฝึกฝนในหลักสูตรฝึกหัดครู ที่สามารถพูดได้ชัดเจน มีศิลปะในการใช้ภาษาได้อย่างไพเราะ เพื่อให้เด็กได้คุ้นเคยและซึมซับกับความงดงามของรูปแบบและจังหวะของภาษา โดยใช้นิทาน คำประพันธ์ การร้องเพลง ละครหุ่น หุ่นนิ้วมือ ฯลฯ เป็นสื่อการสอนที่ช่วยให้เด็กได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึก ภาษาจากการเล่าเรื่องผ่านจากปากครูโดยไม่ใช้การเปิดจากแผ่นซีดีหรือยูทูป เมื่อเด็กได้ยินภาษาพูดก็จะซึมซับเรื่องราวผ่านภาษาที่ไพเราะ และกระตุ้นให้เด็ก ๆ สร้างจินตนาการภายในใจของแต่ละคน ซึ่งในช่วงปฐมวัยนั้นภาษาพูดถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับช่วงวัยที่กำลังเรียนรู้จากการเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนภาษาเขียนจะยังไม่เน้น เนื่องจากครูมุ่งพัฒนาให้เด็กใช้จินตนาการภาพในใจให้ชัดเจน แต่เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้พัฒนากากล้ามเนื้อมัดเล็กผ่านการวาดภาพ ขีดเขียนอย่างอิสระเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดให้ปรากฎเป็นสัญลักษณ์ 2 มิติ เด็กเรียนรู้ภาษาเขียนจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวและในชีวิตประจำวน โดยเฉพาะจากการเลียนแบบพฤติกรรมการอ่านเขียนในชีวิตจริงของผู้ปกครองและครู

7.ทักษะทางด้านวิชาต่าง ๆ ไม่ได้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง หากแต่เชื่อมโยงซึ่งกันและกันโดยตลอด เช่น คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จะถูกบูรณาการสอดแทรกอยู่ในกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ โดยไม่ได้มีเนื้อหาเฉพาะส่วนที่เป็นแนวคิดแต่มีส่วนที่เป็นความรู้สึกควบคู่กันไปด้วย เช่น ของเล่นที่เป็นวัสดุธรรมชาติ อาทิ แท่งไม้ ก้อนหิน กรวดผ้า เชือก ที่ครูคัดเลือกนำมาเป็นของเล่นให้กับเด็ก ยังให้แนวคิดพื้นฐานทางเรขาคณิตเกี่ยวกับลักษณะต่าง ๆ ของวัตถุและรูปเรขาคณิตในสิ่งรอบตัว ทักษะการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมประจำวันตามหลักการทำซ้ำ ตามจังหวะเวลาที่สม่ำเสมอ และการสังเกตธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ก็จะทำให้เด็กได้บทเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรียนรู้ทักษะจากการสังเกต และการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติรอบตัวทุก ๆ วันตลอดเวลา ทักษะนี้ยังเกิดขึ้นกับกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การเพาะปลูกทำสวนเก็บเกี่ยว ที่จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ทักษะการวัดและนับจำนวน เรียนรู้ทักษะด้านจัดทำข้อมูล สื่อความหมาย และลงความเห็นจากการเล่าเหตุการณ์ตามลำดับ การอภิปรายความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติทั้งที่เกิดขึ้นเองและที่เด็กมีส่วนทำให้เกิดการเก็บเกี่ยว การซื้อขายแลกเปลี่ยนผลผลิตจากแปลงพืชผักกันเองภายในโรงเรียนและชุมชน ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้แนวคิดพื้นฐานด้านเวลาและเงิน รวมถึงกิจกรรมประดิษฐ์และออกแบบสิ่งของที่จะเล่นภายใต้การชี้นำอันอบอุ่นของครูผู้สรรค์สร้างความสมดุลขึ้นมา

วอลดอร์ฟ คืออะไร
วอลดอร์ฟ คืออะไร

8.กิจกรรมประจำวันตลอดทั้งวันของแต่ละโรงเรียนจะแตกต่างกันไปตามสภาพและวัฒนธรรมของท้องถิ่นรวมทั้งการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีของครูผู้สอนด้วย แต่โดยภาพรวมกิจกรรมในแต่ละวันของเด็กจะเรียบง่าย โรงเรียนวอลดอร์ฟจะใช้อุปกรณ์การสอนที่เตรียมไว้ให้เด็กเล่นจะเป็นของเรียบง่าย เน้นวัสดุจากธรรมชาติ เช่น แท่งไม้ ก้อนหิน กรวด เปลือกหอย เมล็ดพืช ด้าย และไหมสีต่าง ๆ พร้อมไม้สำหรับถัก กรอบไม้สำหรับทอผ้า สะดึงสำหรับปักผ้า ตระกร้าเย็บผ้า ผ้าเส้นใยธรรมชาติ สี และขนาดต่าง ๆ โต๊ะและอุปกรณ์ทำงานไม้ อุปกรณ์ทำสวน ฯลฯ โดยครูจะเป็นผู้เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ จากการวางแผนการสอนอย่างรอบคอบ

ครูจะกำหนดกิจกรรมแต่ละช่วงโดยคำนึงถึงหลักการสำคัญในการจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟ 3 ประการคือ การจัดจังหวะในชีวิตประจำวันให้สมดุลและสม่ำเสมอ การทำซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นทักษะใหม่ เป็นความเคยชิน เป็นวินัย ที่มั่นคง และความเคารพและน้อมรับคุณค่าของทุกสิ่งเกื้อหนุนเรา ดังนั้นกิจกรรมประจำวันของโรงเรียนอนุบาลแต่ละแห่งก็จะยืดหยุ่นไปตามสภาพชีวิตในชุมชน ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบแผนตายตัว

9.ดนตรีจัดว่าเป็นส่วนสำคัญที่นำมาใช้เป็นสื่อให้กับเด็กปฐมวัยในโรงเรียนวอลดอร์ฟ เน้นการใช้ดนตรีเพื่อพัฒนาการและจิตของเด็กให้สมดุลกลมกลืน ใช้เพลงซึ่งเป็นเสียงที่นุ่มนวลฟังแล้วเบาสบาย สื่ออารมณ์ความรู้สึกของเด็กได้ดี เด็กสามารถร้องตามได้ง่าย และช่วยให้เด็กรู้สึกสงบ ซึ่งตามทฤษฎีของรูดอร์ฟ สไตเนอร์ ถือว่าเป็นเสียงที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ทำให้มนุษย์รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาลและจิตวิญาณระดับสูงของตน ดังนั้นเพลงที่ครูใช้ในกิจกรรมประจำวันตลอดทั้งวันมักเป็นเพลงเพนทาโทนิค และเครื่องดนตรีที่เด็กใช้มักเป็นเครื่องดนตรีที่สามารถเลียนเสียงธรรมชาติรอบตัวได้

การสอนแบบวอลดอร์ฟ

10.หลักสูตรวอลดอร์ฟเน้นในเรื่องการปลูกฝังทักษะชีวิตด้านต่างๆ ผ่านกิจกรรมอย่างสนุกสนานทั้งในและนอกห้องเรียน เกิดกระบวนการเรียนรู้จากการลงมือทำจริง ซึ่งงานปฎิบัติทำให้หลักสูตรวอลดอร์ฟมีความสมดุลระหว่างวิชาที่ใช้พลังสมองและวิชาที่ต้องใช้มือ แขนและขา ตามทฤษฎีพัฒนาการของรูดอล์ฟ สไตเนอร์ ที่เด็กแรกเกิดถึง 7 ปี จะพัฒนาระบบประสาทผ่านการเคลื่อนไหวร่างกาย มือ แขน และขา เด็กจะต้องมีประสบการณ์ที่ได้รับความรู้สึก 4 ด้าน คือ ความรู้สึกจากการสัมผัส ความรู้สึกแห่งชีวิต ความรู้สึกจากการเคลื่อนไหว และความสมดุลของร่างกายมากพอ เพื่อให้มีพื้นฐานที่ดีสำหรับพัฒนาการช่วงต่อ ๆ ไป เช่น การลงมือปลูกผัก ทำสวน หรือลงพื้นที่ในรอบรั้วโรงเรียนเพื่อสัมผัสธรรมชาติใกล้ตัว ที่จะช่วยให้เด็กได้สัมพันธ์กับพื้นโลกและเรียนรู้คุณค่าและความยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน การวาดภาพระบายสี การประดิษฐ์สิ่งของจากวัสดุธรรมชาติ เมื่อใช้มือสร้างหรือประดิษฐ์ของเล่น จะทำให้เด็กได้ฝึกสมาธิ มีความวิริยะอุตสาหะ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความรู้สึกชื่นชมในสิ่งที่ตนสร้างขึ้น เด็กจะตระหนักถึงความยากลำบากในการคิด และการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้เห็นคุณค่าทุกคนและทุกสิ่งจากการลงมือปฏิบัตินั้นเอง

จะเห็นได้ว่าแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟถือว่าเป็นการศึกษาแนวใหม่ที่แตกต่างจากระบบเดิม ๆ และดูน่าสนใจไม่น้อย โรงเรียนทางเลือกที่มีแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ เช่น โรงเรียนปัญโญทัย โรงเรียนไตรพัฒน์ โรงเรียนเพลินพัฒนา โรงเรียนวรรณสว่างจิต โรงเรียนอนุบาลบ้านรัก เป็นต้น ซึ่งแนวทางการสอนแบบนี้คงจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกทางการศึกษาที่ถูกใจพ่อแม่ยุคนี้ได้ดีทีเดียวค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก nontster.wordpress.com, thepotential.org

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

โรงเรียนคาทอลิก แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปอย่างไร ทำไมพ่อแม่ถึงอยากให้ลูกเข้า!

ความจริง 10 ข้อ พ่อแม่ต้องรู้ก่อน เลือกโรงเรียนให้ลูก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

Summary
Review Date
Reviewed Item
วอลดอร์ฟ
Author Rating
51star1star1star1star1star

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up