ว่าที่คุณแม่ท้องมือใหม่ต้องรู้!! อาการของคนท้อง ตั้งแต่สัปดาห์แรกจนกระทั่งคลอด ตลอดการตั้งครรภ์ 9 เดือน อาการแม่ท้อง 1 – 9 เดือน มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
ตามติดแม่ท้อง 9 เดือน อาการของคนท้อง
สัปดาห์แรกจนคลอด มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
สัญญาณการตั้งครรภ์ หรือ อาการตั้งครรภ์เริ่มแรก ไม่ได้มีแค่คลื่นไส้อาเจียนเท่านั้น เพราะ อาการของคนท้อง อาจจะไม่เหมือนกันทุนคน อาการคนท้องระยะแรก บางคนแพ้มาก หรือ ว่าที่คุณแม่บางคนตั้งครรภ์โดยไม่มีอาการแพ้ท้องเลยสักนิด ทั้งนี้เมื่อว่าที่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์ตั้งแต่สัปดาห์แรกจะมีการแสดงออกของอาการทางร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นั่นอาจเป็นผลมาจากการแสดงออกของระบบการป้องกันทารกในครรภ์ให้เติบโตขึ้นได้โดยปราศจากอันตราย
อย่างไรก็ดี อาการของคนท้อง เบื้องต้นที่สังเกตได้จึงอาจเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่าเกิดการตั้งครรภ์หรือไม่ เพราะบางอาการอาจเป็นสัญญาณของโรคบางชนิด เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว หรือผู้ที่มีรอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอก็อาจทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นสัญญาณแรกของการตั้งครรภ์ได้ คุณผู้หญิงจึงควรหมั่นสังเกตรอบเดือนของตนเองและดูการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอยู่เสมอ
และเมื่อมั่นใจว่าประจำเดือนขาดและพบสัญญาณอาการตั้งครรภ์เริ่มแรก ก็ควรไปแพทย์เพื่อตรวจให้มั่นใจอีกครั้งและฝากครรภ์แต่เนิ่น ๆ … ทั้งนี้โดยทั่วไป อาการของคนท้อง ในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันออกไป หากแบ่งตามไตรมาส ตั้งแต่ 1-9 เดือน ก็ยังจะพบอาการที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถมีอาการเพิ่มเติมจากระยะเริ่มต้น ที่คุณแม่ท้องต้องพบเจอ ดังนี้
อาการแม่ท้อง แต่ละเดือนเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
อาการคนท้อง 1 สัปดาห์ สำหรับ อาการคนท้อง สัปดาห์แรก สังเกตได้จากประจำเดือน โดยปกติแล้วถ้าคุณผู้หญิงมีประจำเดือนมาอย่างสม่ำเสมอและค่อนข้างตรงเวลา ซึ่งหากประจำเดือนขาดไป 12-16 วัน ก็เป็นไปได้ว่า กำลังตั้งครรภ์แล้วแน่ๆ นอกจากนี้ยังมี อาการของคนท้อง เบื้องต้นที่จะทำให้เชื่อได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ คือ มีความเปลี่ยนแปลงของเต้านมและหัวนม ซึ่งจะเปราะบาง อ่อนไหว และมีความรู้สึกเสียวแปล๊บได้ง่าย รวมไปถึงการเกิดตกขาวเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้มีเลือดมาคั่งที่ช่องคลอดที่คอมดลูก ต่อมต่างๆ ที่คอมดลูกทำงานมากขึ้น จะมีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอดมากขึ้น เมื่อมาเจอกับแบคทีเรียที่มีตามปกติที่ช่องคลอดก็จะย่อยน้ำนี้เป็นตกขาวได้ แต่เป็นอาการคนท้องที่ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ
อาการของคนท้อง 1 เดือน “รู้จักสัญญาณสู่ความเป็นแม่”
- เมื่อตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน แพ้ท้อง ถือเป็น อาการคนท้องระยะแรก ที่ปกติธรรมดา โดยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เหม็นอาหารหรือสิ่งของรอบกาย เกิดจากฮอร์โมนที่สร้างขึ้นในขณะตั้งครรภ์ส่งผลต่อร่างกายคุณแม่และระบบทางเดินอาหารทำให้รู้สึกคลื่นไส้ พะอืดพะอม จนบางครั้งอาเจียน
- เต้านมคัด จะรู้สึกเจ็บคัดตึงเต้านม และเต้านมจะขยายใหญ่ขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนในขณะตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้นและปริมาณเลือดในร่างกายที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้คุณแม่รู้สึกได้ว่าเต้านมใหญ่ขึ้น แน่นและคัดตึงจนเจ็บ
- ปัสสาวะบ่อย เกิดจากมดลูกที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นมาเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะได้ง่ายและบ่อยกว่าปกติ แต่หลังจากอายุครรภ์มากขึ้นในช่วงไตรมาสที่สอง มดลูกโตเข้าสู่ช่องท้อง การกดทับกระเพาะปัสสาวะจะลดลง คุณแม่จะกลับมาปัสสาวะได้ปกติอีกครั้ง
- อ่อนเพลีย ในช่วง 1-2 เดือนแรก มักมีอาการอ่อนเพลียง่าย อยากนอนหลับพักผ่อนตลอดเวลา สาเหตุเกิดจากฮอร์โมนในร่างกายขณะตั้งครรภ์ที่สูงขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายคลายตัว ร่างกายมีการเปาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้น ทำให้คุณแม่ท้องรู้สึกเสียพลังงานไปมากและอ่อนเพลียได้ง่ายนั่นเอง
อาการเหล่านี้เป็นอาการคนท้องระยะแรก ช่วง 1 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน ที่คุณแม่ก็สามารถสังเกตตัวเองได้ค่ะ หากพบว่าตัวเองมีอาการก่อนตั้งครรภ์เหล่านี้ ก็เตรียมไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์หรือไม่
อ่านต่อ >> อาการของคนท้องเมื่อเข้าเดือนที่ 2-6 พร้อมวิธีรับมือ คลิกดูหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
(ต่อ) อาการของคนท้อง ตั้งแต่สัปดาห์แรกจนคลอด มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
อาการของคนท้อง 2 เดือน
สำหรับการตั้งครรภ์ เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 2 อาการแพ้ท้องของคุณแม่จะแสดงออกเด่นชัดมากขึ้น โดยอาการสำคัญที่บ่งบอกว่าแพ้ท้อง คือ แพ้ตอนตื่นนอน หรือที่เรียกว่า Morning Sick คือ รู้สึกมันศีรษะ เวียนหัว คลื่นไส้ในตอนเช้าๆ หลังตื่นนอน หรือเวลาลุกจากที่นอน ในขณะที่บางคนอาจเกิดอาการได้ตลอดวัน โดยเฉพาะเวลาท้องว่าง จึงอาจทำให้คุณแม่วิงเวียน เป็นลมเพราะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ซึ่งมีคุณแม่หลายท่านที่มีอาการแพ้ท้องมากจนน้ำหนักตัวลด หากรู้สึกว่าอาเจียนมาก กินอะไรไม่ได้เลย ควรไปปรึกษาคุณหมอ … โดย อาการของแม่ท้อง ในเดือนที่ 2 จะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
- อยากกินของแปลกๆ หรือกินอาหารไม่ลง หนึ่งใน อาการของคนท้อง ที่พบได้เกือบทุกคนคือมักมีอาการอยากกินอาหารแปลกๆ ที่ไม่ค่อยเคยได้กิน หรือบางคนมักกินอาหารไม่ลงในช่วงนี้ เป็นเพราะฮอร์โมนที่สูงขึ้นในขณะตั้งครรภ์ช่วงแรกๆ ที่ทำให้คุณแม่ไม่ค่อยรับรู้รสชาติ กินอะไรไม่ค่อยอร่อย เบื่ออาหาร ดังนั้นคุณแม่จึงต้องพยายามดูแลตัวเองเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งหากรู้สึกไม่อยากกินก็ควรกินทีละน้อยๆ แต่กินบ่อยๆ เพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้ โดยไม่ขาดอาหาร
- อาการเหม็น บางคนอาจมีความรู้สึกเหม็นกลิ่นที่คุ้นเคย หรือเหม็นกลิ่นอาหารบางชนิด เช่น กลิ่นกระเทียม กินผักบางอย่าง ทั้งๆ ที่เคยดมหรือเคยกินได้ แต่ตอนท้องช่วงนี้กลับรู้สึกได้กลิ่นทีไรอาจอาเจียนทุกที แถมคุณแม่บางท่านอาจจะรู้สึกเหม็นกลิ่นคุณพ่อได้อีกด้วย
Must read >> สามีแพ้ท้องแทนภรรยา สาเหตุเกิดจากอะไร?
- อารมณ์แปรปรวน ทั้งอารมณ์อ่อนไหว ซึมเศร้า และอ่อนล้า จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ 2 ได้ง่าย เพราะการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายต่างๆ ร่วมกับความกังวลใจในการดูแลครรภ์และอื่นๆ ดังนั้นหากคุณแม่รู้สึกเหนื่อยควรพักผ่อนหย่อนใจ ไม่เครียด ทำกิจกรรมที่สร้างความสุข และหาเวลาไปเดินเที่ยวในสถานที่อากาศดีๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายมีความสุขขึ้น
อาการของคนท้อง 3 เดือน
ตั้งครรภ์ 3 เดือน คุณแม่บางคนอาจจะเริ่มแพ้ท้องน้อยลง หรือบางคนยังมีอาการแพ้ท้องอยู่ แต่จะมีอาการที่ดีมากขึ้น เพราะฮอร์โมนเริ่มปรับสภาพให้สมดุลมากขึ้นแล้ว โดย อาการแม่ท้อง เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 3 จะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
- อ่อนไหวง่าย คุณแม่ยังคงมีอารมณ์แปรปรวน อ่อนไหวง่าย ด้วยเพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย และความกังวลใจต่างๆ แต่อารมณ์ที่แปรปรวน อ่อนไหวง่าย เศร้าง่ายของคุณแม่ช่วงนี้จะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์ในเดือนที่ 4
สิ่งที่แม่ท้องอ่อน ควรระวัง!!
หลีกเลี่ยงสารเคมีอันตราย >> คุณแม่ท้องไตรมาสแรก ควรหลีกเลี่ยงไม่สัมผัสหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีอันตรายซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ได้ เช่น สีทาบ้าน ยาฆ่าแมลง ที่มีส่วนประกอบของสารเคมีอันตรายที่อาจทำให้ลูกพิการได้
นอกจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบางชนิดยังมีสารอันตรายที่ทำมาจากสารเคมี เช่น คลอรีน แอมโมเนีย และอื่นๆ ที่มีผลช่วยกำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรก ซึ่งสารเคมีเหล่านี้อาจไปบั่นทอนสุขภาพลูกน้อยในครรภ์ได้ ดังนั้นหากคุณแม่หลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ควรไปสัมผัส หรือสูดดมน้ำยาเหล่านั้นโดยตรง และงดใช้งาน โดยให้คนอื่นสัมผัสหรือใช้งานแทนจะดีที่สุด
อาการของคนท้อง 4 เดือน
มาสู่การตั้งครรภ์เดือนที่ 4 แล้ว ก็ขอยินดีกับคุณแม่ที่จะรู้สึกว่าลูกดิ้นครั้งแรก เพราะลูกน้อยเติบโตและเก่งขึ้นจนเคลื่อนไหวไปมาได้มากยิ่งขึ้น โดยคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
- หน้าท้องขยายใหญ่ หน้าท้องคุณแม่เริ่มขยายขนาดและโตขึ้น ซึ่งในช่วงนี้มดลูกจะลอยสูงขึ้นจากอุ้งเชิงกรานเข้าสู่ช่องท้องทำให้คุณแม่สามารถคลำยอดมดลูกได้
- รู้สึกได้ว่าลูกดิ้น เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายเดือนที่ 4 คุณแม่จะมีความรู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นครั้งแรก เพราะรู้สึกได้แล้วว่าลูกดิ้นโดยจะเป็นความรู้สึกเหมือนมีปลามาตอดตุบๆ อยู่ในท้องนั่นเอง
- หัวใจเริ่มทำงานหนัก นั่นก็เพื่อรองรับปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นมากในร่างกาย เนื่องจากอวัยวะส่วนต่างๆ ที่สำคัญ เช่น มดลูก ผิวหนัง และอื่นๆ ในร่างกายคุณแม่จะต้องการเลือดมาหล่อเลี้ยงเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัวเลยค่ะ
อาการของคนท้อง 5 เดือน
หลังจากในเดือนที่ผ่านมาคุณแม่จะได้ตื่นเต้นกับการดิ้นครั้งแรกของลูกแล้ว การตั้งครรภ์เดือนที่ 5 นี้คุณแม่ท้องจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้าง มาดูกัน
- ท้องใหญ่ ผิวพรรณเปลี่ยนไป ช่วงนี้คนอื่นๆ จะสังเกตได้ชัดเจนแล้วว่าคุณแม่ตั้งครรภ์เพราะท้องคุณแม่จะใหญ่ เอวจะหายไปชัดเจน แถมยังมีริ้วรอยที่หน้าท้องหรืออาการท้องลายเกิดขึ้นได้บ้างแล้ว นอกจากนี้ผิวหนังตามบริเวณต่างๆ ของคุณแม่เช่น ใบหน้า แขน ไหล่ จะปรากฏให้เห็นเป็นเส้นเลือดฝอยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น มองดูเหมือนเป็นตาข่ายใยแมงมุม แต่รอยเส้นเลือดฝอยที่เด่นชัดนี้จะหายได้เองหลังคลอด
- ท้องผูก อาการท้องผูก เกิดจากการทำงานของฮอร์โมนที่ทำให้ระบบการย่อยเปลี่ยนไป ร่วมกับกระเพาะอาหารและลำไส้ถูกเบียดถูกกดจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น
- ระบบเผาผลาญ ทำงานมากขึ้น ในช่วง ตั้งครรภ์ 5 เดือน คุณแม่อาจจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองขี้ร้อนและเหงื่อออกง่าย สาเหตุเกิดจากระบบเผาผลาญหรือสันดาปในร่างกายที่ทำงานมากขึ้น รวมถึงต่อมไทรอยด์ที่ทำงานเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้คุณแม่รู้สึกร้อนง่าย เหนื่อยง่าย หายใจหอบเป็นบางครั้ง ดังนั้น หากรู้สึกร้อนเมื่อไร ควรนั่งพักในสถานที่ที่มีอากาศเย็นสบาย เปิดเครื่องปรับอากาศนั่งผ่อนคลาย หรืออาบน้ำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้
อาการของคนท้อง 6 เดือน
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์เดือนที่ 6 จะมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยมีอาการต่างๆ ที่อาจมาทำให้คุณแม่รู้สึกหงุดหงิดใจ แต่ทุกอย่างมีวิธีแก้ไขปัญหาให้บรรเทาเบาบางลงได้แน่นอน ดังนี้
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่วงนี้อาจมีโอกาสเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ เกิดจากกล้ามเนื้อในทางเดินระบบปัสสาวะหย่อนตัวลงได้ ดังนั้นคุณแม่จึงควรดื่มน้ำให้พียงพอ ไม่อั้นปัสสาวะ และหารู้สึกปัสสาวะแสบขัด ควรไปพบแพทย์
- รู้สึกแสบกระเพาะอาหาร เนื่องจากกรดที่ช่วยย่อยอาหารในกระเพาะของคุณแม่ลดน้อยลง ทำให้อาหารยังคงค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานขึ้น นอกจากนี้เวลาที่ลูกดิ้นยังทำให้เกิดการกดทับของกระเพาะอาหาร เกิดเป็นกรดไหลย้อนจนทำให้คุณแม่รู้สึกแสบร้อนกระเพาะอาหาร และอาจมีอาการท้องผูกร่วมได้อีกด้วย
- ปวดชายโครง เพราะขนาดของท้องคุณแม่ที่ใหญ่ขึ้นจนเข้าใกล้ชายโครง จึงทำให้คุณแม่มีอาการเจ็บปวดและเสียดชายโครงด้านใดด้านหนึ่งได้
- น้ำหนักขึ้นเร็ว ช่วงนี้คุณแม่จะมีน้ำหนักขึ้นรวดเร็วกว่าในช่วง 3 เดือนแรกค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักขึ้นถึงประมาณสัปดาห์ละ ½ กิโลกรัมเลยทีเดียว โดยลูกน้อยจะแบ่งน้ำหนักของคุณแม่ในช่วงเดือนที่ 4-5-6 นี้ประมาณ 1 กิโลกรัม นอกนั้นจะเป็นน้ำหนักของรก น้ำคร่ำ น้ำหนักของเต้านมที่ขยาย น้ำหนักของมดลูก รวมทั้งปริมาณเลือดและน้ำในร่างกายคุณแม่ที่เพิ่มมากขึ้น
- ตะคริว คุณแม่ตั้งครรภ์ 5-6 เดือนขึ้นไป มักจะเริ่มมีอาการตะคริว ที่เกิดจากการหดรัดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณน่อง ต้นขา และปลายเท้า ซึ่งจะเป็นได้บ่อยเวลากลางคืน สาเหตุเกิดจากคุณแม่ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ และอาจยืนหรือเดินมากเกินไป วิธีแก้ไขคือ เมื่อเป็นตะคริวควรรีบกระดกปลายเท้าขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อที่จับตัวแข็งเป็นก้อนคลายตัวและเหยียดออก รวมทั้งควรดื่มนมหรือกินอาหารที่มีแคลเซียมให้มากเพียงพอ
- เส้นเลือดขอด เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ทำให้มดลูกขยายใหญ่ จนไปกดทับหลอดเลือดดำในช่องท้อง ส่งผลให้ความดันในหลอดเลือดสูงขึ้น และหลอดเลือดเล็กๆ บริเวณโคนขาและน่องของคุณแม่ โป่งพอง จนเห็นเป็นเส้นเลือดขอด วิธีการดูแลหรือป้องกันคือ ไม่นั่งหรือยืนห้อยขานานๆ และเวลานอนควรหนุนเท้าให้สูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้เลือดไหลเวียนกลับมาที่หัวใจได้ดีขึ้น
- ท้องอืด แน่นท้อง เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปขณะตั้งครรภ์จะส่งผลต่อการทำงานของระบบการย่อยอาหารในร่างกายคุณแม่ ทำให้ย่อยอาหารได้ช้าลง หรือใช้เวลานานขึ้น หลังอาหารคุณแม่จึงมักมีอาการแน่นท้องท้องอืดง่าย จึงควรป้องกันแก้ไขด้วยการกินอาหารที่ย่อยง่าย กินในปริมาณน้อยๆ ในแต่ละครั้ง แต่แบ่งเป็นทานหลายๆ มื้อ เพื่อไม่ให้รู้สึกแน่นท้องหรือท้องอืด เพราะอาหารไม่ย่อย
- ปวดเสียดท้องน้อย เกิดจากการที่มดลูกของคุณแม่มีอาการหดเกร็ง เพราะคุณแม่เปลี่ยนอิริยาบถในทันทีทันใด เช่น ลุกนั่งเร็วๆ หรือยืนทันที ทำให้คุณแม่เกิดอาการปวดเสียดบริเวณท้องน้อย
- ผิวคล้ำ มีเส้นดำกลางท้อง ผิวพรรณของคุณแม่ท้องช่วงนี้อาจจะมีสีคล้ำขึ้น ใบหน้าดูคล้ำขึ้น หรือมีฝ้า กระขึ้น มีรอยดำตามข้อพับ รักแร้ และเริ่มเห็นเส้นดำกลางท้องที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะเส้นดำใต้สะดือลงไป
อ่านต่อ >> อาการของคนท้องไตรมาสสุดท้าย
(7-9 เดือน) พร้อมวิธีรับมือ คลิกดูหน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
(ต่อ) อาการของคนท้อง 7-9 เดือน มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
อาการของคนท้อง 7 เดือน
เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ เมื่อคุณแม่ ตั้งครรภ์ 7 เดือน จะเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ ปวดหลัง ขาและเท้าบวม ร่วมกับอาการอื่นๆ ซึ่งทีมแม่ ABK ก็มีคำแนะนำวิธีการบรรเทาอาการและแก้ไขมาให้คุณแม่ เพื่อให้สามารถรับมือกับการตั้งครรภ์ในช่วงนี้ได้อย่างมีคุณภาพ โดย อาการของคนท้อง เมื่อเข้าเดือนที่ 7 จะมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
- นอนไม่หลับ เพราะคุณแม่มีท้องที่ใหญ่และเริ่มรู้สึกอุ้ยอ้ายอึดอัด ทำให้นอนหลับได้ไม่สบายตัว คุณแม่จึงไม่สามารถนอนหลับสนิทได้ตลอดคืน หากคุณแม่มีอาการเพลียง่วงนอนตอนกลางวันเพราะนอนไม่หลับตอนกลางคืน ควรหาเวลางีบหลับกลางวันบ้างสักพัก เพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลีย จนไม่สบายหรือหน้ามืดเป็นลม
- ร่างกายเริ่มสร้างน้ำนม ร่างกายของคุณแม่จะมีการเริ่มสร้างหัวน้ำนมขึ้นแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมต้อนรับลูกน้อย หากบังเอิญมีการคลอดก่อนกำหนด และเพื่อสร้างสะสมไว้ให้ลูก คุณแม่จึงอาจสังเกตเห็นว่ามีน้ำนมสีเหลืองใสๆ ออกมาจากหัวนมได้
- ปวดหลัง เนื่องจากร่างกายคุณแม่มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับที่กระดูกเชิงกรานซึ่งเป็นส่วนรับน้ำหนักด้านล่างมีการขยายตัวเตรียมคลอด ทำให้หลังของคุณแม่ต้องรับน้ำหนักเต็มที่ นอกจากนี้ยังส่งผลทำให้ฐานรับน้ำหนักกระดูกสันหลังที่กระดูกเชิงกรานมีการเคลื่อนตัวคลอนแคลน ทำให้คุณแม่ปวดหลัง และอาจรู้สึกปวดกระดูกหัวหน่าวและบริเวณก้นกบได้อีกด้วย ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการปวดมากขึ้น คุณแม่จึงควรสวมรองท้าเตี้ยๆ ที่เดินสบาย เดิน นั่ง ยืนให้ถูกท่า ไม่เปลี่ยนอิริยาบถทันที ไม่ยกของหนัก และไม่นั่งเก้าอี้หรือนอนเตียงที่นุ่มจนเกินไป ซึ่งจะยิ่งเพิ่มอาการปวดหลังมากขึ้น
- ถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น อาการถ่ายปัสสาวะบ่อยจะกลับมาหาคุณแม่อีกครั้งในช่วงนี้ เพราะมดลูกที่ขยาย ประกอบกับน้ำหนักตัว และการดิ้นของลูกน้อยในครรภ์จะไปกดลงบนกระเพาะปัสสาวะของคุณแม่ ทำให้คุณแม่มีอาการถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น
- ขาและเท้าบวม เพราะคุณแม่ต้องรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ แถมยังต้องเดิน ยืน และอื่นๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้ขาของคุณแม่อาจจะมีทั้งเส้นเลือดขอดและเกิดอาการปวดเมื่อยล้าไปทั่วขาได้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้าย หรือการตั้งครรภ์ในเดือนที่ 7-8-9 ซึ่งคุณแม่มักจะมีอาการขาและเท้าบวม
อาการของคนท้อง 8 เดือน
พัฒนาการทารกในครรภ์คุณแม่ช่วงตั้งครรภ์ 8 เดือนนี้ เติบโตมากและอยากจะออกมาดูโลกเต็มที่แล้ว โดย อาการของคนท้อง เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 8 จะมีการเปลี่ยน คือ
- การหายใจ หากช่วงนี้ลูกน้อยในครรภ์คุณแม่เคลื่อนศีรษะลงมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมบริเวณช่องเชิงกรานในท่าเตรียมคลอดแล้ว คุณแม่จะรู้สึกได้ว่าหายใจสะดวกขึ้น แต่หากลูกน้อยยังไม่กลับศีรษะลงหรือขยับตัวลงมาเตรียมคลอด จะทำให้คุณแม่ยังรู้สึกหายใจลำบากอยู่ เนื่องจากมดลูกที่ขยายใหญ่มากช่วงนี้จะไปเบียดพื้นที่ภายในช่องท้อง กดทับกล้ามเนื้อ กะบังลม และปอดบางส่วนนั่นเอง
- ปวดหน่วงช่องเชิงกราน คุณแม่อาจมีความรู้สึกปวดหน่วงเชิงกรานเวลาเปลี่ยนอิริยาบถ หรือเดินได้ค่ะ เพราะบริเวณข้อต่อของกระดูกเชิงกรานคุณแม่จะหย่อนตัวลง จึงทำให้รู้สึกปวดหน่วงช่องท้องได้บ้างบางเวลา
- น้ำหนักตัวเพิ่ม อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 2-3 กิโลกรัมจากเดิม โดยจะมีน้ำหนักของลูกน้อยในครรภ์ถึง 3-4 กิโลกรัม ส่วนที่เหลือจะเป็นน้ำหนักของรกเต้านมที่ขยายใหญ่ น้ำหนักของมดลูก และปริมาณเลือดกับน้ำในร่างกายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้คุณแม่เองยังมีไขมันที่สะสมอยู่ในตัวเท่ากับน้ำตัวของลูกน้อยอีกด้วย
- เจ็บท้อง มดลูกแข็งตัว คุณแม่บางท่านจะมีอาการท้องแข็งเกิดขึ้นได้บ้าง เนื่องจากมดลูกมีอาการแข็งตัวเป็นพักๆ แล้วก็หายไปเอง ซึ่งอาการนี้จะทำให้คุณแม่ไม่เจ็บมาก และไม่เจ็บถี่เหมือนอาการเจ็บท้องคลอด แต่หากคุณแม่รู้สึกท้องแข็งมาก เจ็บถี่ และเจ็บมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการที่บอกว่าเจ็บท้องคลอดได้
- ฮอร์โมนสูง รกสมบูรณ์ ตั้งแต่ตั้งครรภ์เดือน 8 เป็นต้นไป รกซึ่งเป็นระบบหล่อเลี้ยงลูกน้อยจะมีความพร้อมสมบูรณ์เต็มที่ พร้อมทั้งสร้างฮอร์โมนชนิดต่างๆ ในระดับสูง เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ รองรับการขยายตัวของมดลูกที่เพิ่มขึ้น และเตรียมพร้อมต่อการคลอดในเดือนหน้า
- สะดือตื้นขึ้น เห็นเส้นดำกลางท้องชัดเจน หน้าท้องของคุณแม่จะยืดขยายใหญ่ขึ้น จนผิวหนังบริเวณท้องตึง เห็นสะดือตื้นขึ้น และเส้นดำกลางท้องจะมีสีคล้ำเข้มขึ้นอย่างชัดเจน หากคุณแม่รู้สึกว่าผิวแห้งตึงและคัน ควรหมั่นทาโลชั่นเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยแตกลายเพิ่มมากขึ้น
อาการของคนท้อง 9 เดือน
สำหรับอาการคนท้องใกล้คลอด คืออายุครรภ์ตั้งแต่ 36-40 สัปดาห์ คุณแม่จะได้เห็นหน้าลูกน้อยในเร็ววันนี้แล้ว เพราะในช่วงตั้งครรภ์ 9 เดือนนี้ ลูกน้อยพร้อมที่จะออกมาลืมตาดูโลกและพบหน้าคุณแม่ ซึ่งร่างกายคุณแม่เองก็มีสัญญาณที่บ่งบอกถึงการคลอดอีกด้วย ดังนี้
- ท้องลด ช่วงใกล้คลอดศีรษะของลูกน้อยลงมาในช่องเชิงกรานใกล้ปากมดลูกเพื่อเตรียมคลอดแล้ว จะทำให้คุณแม่มีอาการท้องลด โดยที่คุณแม่จะรู้สึกเบาสบายแถวๆ ลิ้นปี่รวมทั้งยังหายใจได้สบายขึ้น แต่หากเข้าสู่การตั้งครรภ์เดือนที่ 9 แล้ว ท้องยังไม่ลดลงก็ไม่ผิดปกติค่ะ เพราะคุณแม่อาจจะมีอาการท้องลดในช่วงที่เจ็บครรภ์คลอดได้
- จุกเสียด แสบร้อนกลางอก เพราะมดลูกของคุณแม่ได้ขยายตัวขึ้นตามตัวของลูกน้อยที่ใหญ่คับครรภ์ จนทำให้ดันกระเพาะอาหารและลำไส้คุณแม่ให้สูงขึ้น ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมา ทำให้คุณแม่มีอาการแสบร้อนกลางอกได้ วิธีบรรเทาอาการคือ ให้คุณแม่กินอาหารในปริมาณน้อยๆ แต่พออิ่ม คืองดการกินอาหารครั้งเดียวเยอะๆ แต่ให้กินครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยมื้อ พยายามเคี้ยวอาหารให้ละเอียด หลังกินอาหารควรนั่งพักสักครู่ ไม่นอนทันที ก็จะช่วยป้องกันอาการแสบร้อนกลางอก และจุกเสียดได้
ทั้งนี้ พัฒนาการทารกในครรภ์ 9 เดือน ลูกน้อยครบกำหนดคลอดจะมีความยาวประมาณ 50 ซม. และน้ำหนัก 3,000-3,500 กรัม ซึ่งก็มีร่างกายที่แข็งแรงเติบโตสมบูรณ์พร้อมที่คลอด ทำให้เวลาลูกน้อยเคลื่อนไหว จะเห็นเป็นรอยนูนชัดเจนที่หน้าท้องคุณแม่ได้ ปอดของลูกน้อยมีการพัฒนาสมบูรณ์เต็มที่ พร้อมที่จะช่วยให้ลูกหายใจหลังคลอดได้เอง แต่ก็ต้องระวังเพราะลูกอาจมีการดิ้นน้อยลง เนื่องจากตัวโตมีพื้นที่ดิ้นน้อย แต่คุณแม่จะยังรู้สึกได้ว่าลูกดิ้นอยู่ แต่หากคุณแม่รู้สึกว่าลูกไม่ดิ้นเลยจนผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
Must read >> อาการใกล้คลอด 6 สัญญาณที่แม่ต้องสังเกต
ทั้งนี้ อาการของคนท้อง ตั้งแต่สัปดาห์แรกจนกระทั่งคลอด แม่ท้องจะมีอาการต่างๆ ที่มีความรุนแรงแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล ในบางคนอาจจะไม่มีอาการแพ้ท้องเหมือนกับคนอื่นๆ ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว อาการคนท้อง เหล่านี้จะหายเองตามธรรมชาติหลังจากคลอดลูกน้อยออกมา ดังนั้นคุณแม่ท้องจึงไม่ควรกังวลมากเกินไปเมื่อเกิดอาการเหล่านี้ แต่เมื่อพบว่าอาการที่เป็นอยู่มีความรุนแรงและผิดปกติอย่างมากก็ควรเข้าพบคุณหมอโดยทันที เพราะอาการเหล่านั้นอาจส่งผลเสียกับตัวคุณแม่เองและลูกทารกในครรภ์ได้หากละเลยไป
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :
- อาการคนท้อง และสัญญาณที่บอกว่ากำลังตั้งครรภ์
- อาการคนท้องระยะแรก คุณแม่มือใหม่รับมืออย่างไร?
- อาการคนท้อง ที่เกิดมักเกิดกับแม่ตั้งครรภ์
- คนท้องกินอะไรดี ในแต่ละไตรมาส
- รวมคำถามที่แม่ต้องตอบ! เมื่อไปฝากท้องครั้งแรก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่