AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

โรคไทรอยด์อักเสบเรื้อรังฮาชิโมโตะ ภัยเงียบเพิ่มความเสี่ยงแท้งลูก

หลายท่านอาจไม่เคยคุ้นกับคำว่า “โรคฮาชิโมโตะ” หากพูดง่ายๆ ก็คือเป็นโรคไทรอยด์อักเสบเรื้อรังแบบหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายลดลง ซึ่งเป็นอันตรายต่อแม่ท้อง เพราะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการแท้งลูกในครรภ์ได้ค่ะ

ในปี พ.ศ. 2533 มีรายงานการค้นพบว่าภูมิคุ้มกันต่อต้านต่อมไทรอยด์ที่อยู่ในระดับสูงมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการแท้งที่สูงขึ้น แต่แม้จะมีการวิจัยในประเด็นนี้มากมาย สูตินรีแพทย์ส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ให้คุณแม่ตั้งครรภ์ตรวจระดับภูมิคุ้มกันต่อต้านต่อมไทรอยด์ และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบว่าควรจะต้องขอตรวจอะไร

โรคไทรอยด์อักเสบเรื้อรังฮาชิโมโตะ (Hashimoto Thyroiditis) หรือเรียกสั้นๆ ว่า โรคฮาชิโมโตะ เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีต่อมไทรอยด์เพราะนึกว่าต่อมไทรอยด์เป็นผู้คุกคามเสียเอง แทนที่จะโจมตีเพียงผู้บุกรุกตัวจริงอย่างเช่นเชื้อโรคต่างๆ เท่านั้น และยังเป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดของการพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ด้วย โรคนี้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ นพ. ฮาคารุ ฮาชิโมโตะ ซึ่งเป็นผู้อธิบายลักษณะอาการของโรคนี้ได้อย่างถ่องแท้ ทำให้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการรักษาผู้ป่วย

อาการที่สังเกตได้ง่ายของโรคฮาชิโมโตะคือ รู้สึกหนาวง่าย น้ำหนักขึ้นเล็กน้อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ท้องผูกคอโตเนื่องจากต่อมไทรอยด์โต ผิวหนังแห้ง ผมร่วง ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ สมาธิสั้น หน้าบวม

อ่านต่อ “ทำไมโรคฮาชิโมโตะจึงอันตรายต่อแม่ท้อง” คลิกหน้า 2

คุณอาจจะเป็น “โรคฮาชิโมโตะ” โดยไม่รู้ตัวก็ได้

จากข้อมูลของสมาคมไทรอยด์แห่งสหรัฐอเมริกา มีหญิงตั้งครรภ์ในไตรมาสแรกเพียง 10-20% เท่านั้นที่ตรวจพบภูมิคุ้มกันที่บ่งบอกว่าเป็นโรคฮาชิโมโตะ แต่มีอาการแสดงเป็นเพียงภาวะต่อมไทรอยด์โต (Euthyroid) ซึ่งหมายความว่าต่อมไทรอยด์ทำงานปกติจากการวัดระดับฮอร์โมน TSH (Thyroid Stimulating Hormone ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์) ที่เป็นการตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์แบบหนึ่ง ต่อมไทรอยด์ของคุณแม่ท้องกลุ่มนี้ทำงานอย่างปกติในช่วงแรกของการตั้งครรภ์และคุณแม่คงรู้สึกปกติ ทั้งที่ร่างกายโจมตีและทำลายต่อมไทรอยด์ของตัวเองอย่างเงียบเชียบ มีคุณแม่ท้องจำนวนไม่น้อยในกลุ่มนี้ที่จะมีระดับฮอร์โมน TSH สูงกว่าที่เกณฑ์ที่กำหนดระหว่างตั้งครรภ์ในช่วงก่อนจะถึงไตรมาส 3 ก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกในครรภ์ได้

ลำพังเพียงการตรวจระดับฮอร์โมน TSH อาจไม่เพียงพอ

การตรวจที่สามารถใช้วินิจฉัยโรคฮาชิโมโตะได้คือผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ หากคุณหมอไม่ได้สั่งตรวจให้ คุณแม่ตั้งครรภ์ที่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงหรือไม่แน่ใจสามารถขอตรวจเพิ่มได้ โดยควรตรวจ 2 อย่าง คือ

  1. ไทรอยด์เพอร์ออกซิเดส แอนติบอดี (Thyroid Peroxidase Antibodies หรือ TPOAb)
  2. ไทโรโกลบูลิน แอนติบอดี (Thyroglobulin Antibodies หรือ TgAb)

ภูมิคุ้มกันต่อต้านต่อมไทรอยด์และการแท้ง

ทีมนักวิจัยที่ตีพิมพ์รายงานลงใน British Medical Journal ในปี พ.ศ. 2554 ที่รวบรวมข้อมูลจากการศึกษาต่างๆ ทั้งหมด 31 ชิ้น ที่มีหญิงตั้งครรภ์ 12,126 รายที่มีความเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันต่อต้านต่อมไทรอยด์และการแท้งบุตร พบว่ามีงานวิจัยถึง 28 ชิ้นจาก 31 ชิ้นที่พบว่า ภูมิคุ้มกันต่อต้านต่อมไทรอยด์เพิ่มความเสี่ยงในการแท้งมากขึ้นถึง 290% นักวิจัยให้ความเห็นว่า “แม้ในหญิงตั้งครรภ์ที่ต่อมไทรอยด์ทำงานปกติ งานวิจัยก็ยังรายงานว่าการพบภูมิคุ้มกันต่อต้านต่อมไทรอยด์ โดยเฉพาะไทรอยด์เพอร์ออกซิเดส แอนติบอดี (TPO แอนติบอดี) ส่งผลเสียต่อการตั้งครรภ์ เช่น การแท้ง การคลอดก่อนกำหนด และยังส่งผลต่อการพัฒนาระบบประสาทของเด็กในอนาคตด้วย”

อ่านต่อ “หากแม่ท้องกังวลว่าตนอาจเป็นโรคฮาชิโมโตะ ควรทำอย่างไร” คลิกหน้า 3

ดังนั้น สมาคมไทรอยด์แห่งสหรัฐอเมริกาจึงกำหนดแนวทางสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ไว้ว่า ผู้หญิงที่เป็นโรคไทรอยด์อักเสบเรื้อรังฮาชิโมโตะ ซึ่งไม่ได้รับการรักษาใดๆ จะต้องตรวจเช็กว่าพร่องฮอร์โมนไทรอยด์หรือไม่ในช่วงตั้งครรภ์ ควรวัดระดับฮอร์โมน TSH ทุกๆ 4 สัปดาห์ระหว่างครึ่งแรกของการตั้งครรภ์ และอย่างน้อยหนึ่งครั้งระหว่างช่วงอายุครรภ์ 26-32 สัปดาห์ หากพบว่าระดับฮอร์โมน TSH สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานในหญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับการรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทน (เกณฑ์มาตรฐานของระดับฮอร์โมน TSH ในหญิงตั้งครรภ์ ในไตรมาส 1 คือ 0.1-2.5 mIU/L ไตรมาส 2 คือ 0.2-3.0 mIU/L และไตรมาส 3 คือ 0.3-3.0 mIU/L)

นอกจากนี้ นพ.เดวิด คลาร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาให้ความเห็นไว้ดังนี้

  1. ในฐานะแม่ หากคุณตรวจพบว่ามี TPO แอนติบอดี ก็หมายความว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งทำให้มีโอกาสแท้งและคลอดก่อนกำหนด
  2. หากคุณมี TPO แอนติบอดี หมายความว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณผิดปกติ และระบบดังกล่าวกำลังโจมตีเนื้อเยื่อหนึ่งๆ ของตัวคุณเองอยู่ และมันก็สามารถจะไปโจมตีอย่างอื่นได้ง่ายเช่นกัน อย่างเช่นทารกในครรภ์ที่กำลังเติบโต

หากคุณแม่ท้องไม่มั่นใจว่าต่อมไทรอยด์ของตนเองมีความผิดปกติหรือไม่ หรือเป็นโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์หรือเคยเป็นมาก่อน อย่าลังเลที่จะขอตรวจเพิ่มเติม เพื่อความปลอดภัยของลูกในครรภ์ค่ะ

 

ที่มา : hypothyroidmom.com, www.med.nu.ac.th

ภาพ : Shutterstock