ฉันเก็บข้าวของจากโต๊ะทำงาน เพื่อนฝูงต่างเดินมาทัก ไถ่ถามว่าจะไปเมื่อไหร่ ที่ทำงานใหม่เป็นอย่างไร ฉันตอบพวกเขาไป มองห้องทำงานไปรอบๆ อย่างอาลัย
ห้องทำงานฉันเป็นห้องกว้าง จัดเก้าอี้ทำงานเป็นสัดส่วน แบบสถาปนิกสมัยใหม่ รอบห้องเป็นกระจกมองเห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกพาสบายตา หากไม่จำเป็นฉันไม่อยากย้ายไปทำงานที่อื่นเลย อยู่อย่างนี้ก็สบายดี หากไม่ใช่เหตุผลที่ว่า ตำแหน่งหน้าที่ราชการของฉันตัน ถ้าอยากเลื่อนขั้นก็ต้องย้ายไปทำงานต่างจังหวัดซึ่งมีตำแหน่งว่างพอดี เมื่อฉันปรึกษาสามี เขาเห็นดีด้วย เมื่อได้เลื่อนขั้นแล้วค่อยหาทางย้ายกลับมาที่เดิมหรือที่ใกล้ๆ ในภายหลัง…สามีบอก
เก็บข้าวของเสร็จ ฉันลาเพื่อนๆ ในที่ทำงาน เพื่อนๆ ต่างก็ไม่อยากให้ฉันไป แต่อายุฉันเพิ่ง 33 ปี หากไม่คิดทำตอนนี้ ก็คงไม่มีโอกาสก้าวหน้าไปกว่านี้ ยิ่งสามีสนับสนุน ฉันก็เดินหน้า แต่ฉันก็วิตกกังวล เพราะต่างจังหวัดที่ฉันจะไปอยู่นั้น ฉันไม่รู้จักใครเลย ไม่มีญาติไม่มีเพื่อน
แม้คำสั่งย้ายจะออกมาแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้ไป ความขัดแย้งทางความคิดทำให้นอนไม่หลับ ปวดหัว อาเจียน กินอะไรไม่ได้ จนต้องไปหาหมอ สิ่งที่น่าตกใจที่สุดที่คือ ฉันท้อง ทั้งๆ ที่แต่งงานกับสามีมาห้าปี ไม่คุมกำเนิด ก็ไม่มีลูก โอ…อะไรชีวิตจะบังเอิญขนาดนี้ หมอบอกว่า…ฉันท้องได้สองเดือนแล้ว
คราวนี้ทั้งฉันและสามีวิตกกังวลทั้งคู่ ฉันเองต้องไม่ทำตัวอ่อนแอให้สามีไม่สบายใจ สามีบอกว่าจะไปหาฉันทุกวันศุกร์เย็น และจะกลับมาทำงานทุกจันทร์เช้า เมื่อวันจะเดินทางมาถึง ฉันรู้สึกใจหาย นึกอยู่ว่าตนเองคิดผิดหรือถูก ที่เดินทางไปอยู่ต่างจังหวัดคนเดียว ขณะที่กำลังตั้งครรภ์
ไปถึงที่ทำงานใหม่ ไม่ทันจะทำงานอะไร ฉันมีอาการแพ้ท้องมาก คลื่นไส้อาเจียน จนต้องไปนอนโรงพยาบาล แม้เพื่อนที่ทำงานใหม่จะมาเยี่ยม แต่ก็ไม่อุ่นใจ ฉันนับเวลาทุกชั่วโมง เพื่อรอสามีมาหาในวันศุกร์เย็น ร้องไห้เมื่อเขากลับไปวันจันทร์เช้ามืด เมื่อออกจากโรงพยาบาล อาการแพ้ท้องก็ยังมีอยู่ นอกจากคลื่นไส้อาเจียน ฉันหายใจไม่อิ่ม หายใจเข้าออกไม่เต็มทรวง ต้องสูดหายใจลึกๆ ตลอดเวลา เมื่อบอกหมอที่ฝากท้อง หมอบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนท้อง ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ ทำให้หายใจเร็วขึ้น หายใจไม่อิ่ม ฉันเองก็คิดว่า เพราะฉันวิตกกังวล จึงเป็นเช่นนี้
เมื่อตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน อาการแพ้ท้องเริ่มหายไป แต่ความรู้สึกหายใจไม่อิ่มมีมากขึ้น ฉันสังเกตว่าเมื่อนอนอาการจะแย่ลง ทำให้ฉันไม่ค่อยได้ล้มตัวลงนอน ต้องนั่งพิงฝาหลับทั้งคืน เมื่อฉันบอกหมอที่ฝากท้อง หมอตรวจลูกในท้อง เจาะเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจของฉัน ผลพบว่าปกติ หมอจึงพูดเหมือนเดิมว่าเป็นอาการปกติของคนท้องและเป็นความวิตกกังวล หมอให้ยาคลายเครียด ซึ่งไม่มีอันตรายต่อลูกในท้องให้ฉันกิน
ยาคลายเครียดไม่ทำให้ดีขึ้น นอกจากหายใจไม่อิ่ม ยังรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง เกิดอาการกลัวตายขึ้นมา ฉันคิดว่าฉันกำลังเป็นโรคจิต จึงไปปรึกษาจิตแพทย์ หมอคุยกับฉันอยู่นาน ฉันเองก็เล่าเรื่องความทุกข์ที่ต้องย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดเพียงลำพังในขณะตั้งครรภ์ หมอถามว่าฉันหูแว่วได้ยินเสียงแปลกๆ หรือตามองเห็นภาพแปลกๆ ไหม ฉันปฏิเสธ หมอบอกว่า ฉันเครียด ยังไม่เป็นโรคจิต หมอไม่ได้สั่งยาอะไรให้ บอกว่าหากไม่สบายใจก็ให้มาหา เมื่อสามีมาหาวันศุกร์เย็นตามเคย ฉันจึงเล่าให้เขาฟัง เขาพาฉันไปหาหมอสูติอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นอาจารย์อยู่โรงเรียนแพทย์ ใกล้ๆ จังหวัดที่ฉันย้ายมา
อ่านต่อ ในที่สุดก็ตรวจพบต้นเหตุอาการหายใจไม่อิ่ม คลิกหน้า 2
เมื่อไปหา หมอโสภา (ชื่อสมมุติ) ถามฉันอย่างละเอียด ตรวจร่างกาย ใช้เครื่องวัดออกซิเจนผ่านผิวหนัง จับที่นิ้วของฉันในท่านั่ง พบว่า ออกซิเจนในเลือดของฉันมีแค่ร้อยละ 94 หมอบอกว่าออกซิเจนในเลือดต่ำไป ในคนท้องควรจะใกล้ร้อยละร้อย หมอสงสัยว่าฉันจะเป็นลิ่มเลือดอุดกั้นหลอดเลือดในปอด (Pulmonary embolism) ทำให้การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนระหว่างอากาศในถุงลมกับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดเป็นไปไม่ปกติ ซึ่งอาจจะเป็นในคนท้องได้ แต่หมอก็บอกว่า รายของฉันเป็นรายที่แปลก โรคนี้มักเป็นในคนอ้วน มีลูกหลายคน อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป ขณะที่ฉันผอมสูง อายุยังไม่มาก ลูกก็เพิ่งมีคนแรก สามีถามว่ามันเกิดได้อย่างไร หมอบอกว่าเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีเส้นเลือดขอดหรือเส้นเลือดอุดตันที่ขา หรือร่างกายมีสารแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ทำให้เลือดแข็งตัวหลุดไปอุดกั้นหลอดเลือดในปอด หมอส่งฉันไปหาหมออายุรกรรม เพื่อให้ตรวจวินิจฉัย
หมออายุรกรรมตรวจฉันโดยละเอียด ใช้เครื่องอัลตร้าซาวนด์ตรวจหาเส้นเลือดอุดตันที่ขา ส่งตรวจพิเศษ คลื่นเสียงความถี่สูงที่เรียกว่า เอ็กโค่หัวใจ (Echocardiography) เพื่อดูการทำงานของหัวใจ ส่งตรวจเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเอ็มอาร์ไอ (MRI= Magnetic resonance imaging) ของปอด เจาะเลือดดูสารที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด ฯลฯ ผลการตรวจพบการอุดตันของลิ่มเลือดที่หลอดเลือดในปอด สาเหตุที่เกิดไม่ได้เกิดจากเส้นเลือดอุดตันที่ขา แต่เกิดจากการขาดโปรตีน เอส (S) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรม ทำให้เลือดของฉันแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จนเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันปอด นี่เองเป็นต้นเหตุของการหายใจไม่อิ่มของฉัน โชคดีที่เป็นไม่มาก ลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดปอดขนาดเล็ก หมอบอกถ้าลิ่มเลือดขนาดใหญ่ มักจะเกิดอาการหายใจไม่ออกเฉียบพลัน ช่วยไม่ทัน อาจถึงกับเสียชีวิตได้
หมอรับฉันไว้ในห้องไอซียูของโรงพยาบาล รักษาโดยการให้ยาละลายลิ่มเลือดชนิดฉีด ที่ไม่มีอันตรายต่อทารกในครรภ์ หมอรักษาจนออกซิเจนในเลือดฉันปกติ นั่นเองฉันจึงรู้สึกว่าตนเองหายใจได้โล่งเหมือนปกติ หลังจากนั้นหมอก็นัดฉันมาดูอย่างใกล้ชิด
ตอนนี้ ฉันเริ่มรักต่างจังหวัด อาหารการกินสะดวก เดินทางสบาย มีเวลาพักผ่อนมาก คนอารมณ์ดี น้ำใจดี จึงคงทำงานอยู่ต่างจังหวัด แม่และพ่อของฉันตัดสินใจมาอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าฉันจะคลอด
บันทึกของหมอโสภา
โรคลิ่มเลือดอุดกั้นปอด ในคนท้องพบไม่บ่อย ประมาณ 1-3 ต่อการคลอด 1,000 ราย เป็นสาเหตุการเสียชีวิตในคนท้อง 1 รายต่อ การคลอด 100,000 ราย คนไข้มักมาด้วยอาการหายใจไม่อิ่ม หายใจเร็ว วิตกกังวล กลัว ซึ่งเป็นอาการปกติของคนท้อง เพราะฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ทำให้คนท้องหายใจเร็วกว่าปกติ ในคนที่เป็นไม่มากจะวินิจฉัยได้ยาก ในรายที่เป็นมากจะมีอาการเจ็บอก ไอเป็นเลือด ขาดออกซิเจน หยุดหายใจ และเสียชีวิต สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีเส้นเลือดขอด เส้นเลือดอุดตันที่ขา เมื่อนั่งหรือยืนหรือเดินทางไกลนานๆ จะเกิดลิ่มเลือดไปอุดตันปอด
ในคนไข้รายนี้ ผลการเจาะเลือดพบสาเหตุ เกิดจากการพร่องโปรตีนเอส (S) ที่เกี่ยวข้องกับการละลายลิ่มเลือด ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรม จึงมีโอกาสเกิดลิ่มเลือดไปอุดกั้นปอด โชคดีที่อาการไม่รุนแรง สามารถวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที คนไข้ตั้งครรภ์จนครบกำหนด ผ่าตัดคลอด แม่และลูกปลอดภัยดี แต่เธอต้องรับยาละลายลิ่มเลือดชนิดกินไปตลอดชีวิต จึงไม่สามารถมีลูกได้อีก เพราะยาอาจมีผลกับลูกในท้อง ซึ่งท้องหน้าอาจจะไม่โชคดีเท่าท้องนี้
อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก!
ยาลิ่มเลือดอุดตัน เสี่ยงลูกพิการ
คนท้อง ปวดหัวไมเกรน รับมืออย่างไร ?
เรื่องโดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
ภาพ : Shutterstock