9 สัญญาณอันตราย! แม่ท้องต้องรีบไปหาหมอ - Amarin Baby & Kids

9 สัญญาณอันตราย! แม่ท้องต้องรีบไปหาหมอ

event

ช่วงไตรมาสสุดท้าย (28 สัปดาห์ขึ้นไป) ถือเป็นช่วงที่มีความสุข เพราะจะได้เห็นหน้าลูกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ถือเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวัง และสังเกตอาการที่ผิดปกติเป็นพิเศษด้วย เพราะนั่น อาจจะส่งผลให้เด็กคลอดก่อนกำหนดได้ ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง ขี้โรค ป่วยบ่อย พัฒนาการช้า และที่สำคัญ อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงในการรักษา เนื่องจากลูกคลอดก่อนกำหนดต้องเข้าตู้อบ เพื่อให้ออกซิเจน หรือเครื่องช่วยหายใจ

ดังนั้นว่าที่คุณแม่ทุกคนควรรู้เท่าทันอาการผิดปกติก่อนที่จะสายเกินไป ซึ่งปัญหาส่วนมากมักมีอาการ และอาการแสดงหรือจะเรียกง่าย ๆ ว่า “สัญญาณเตือนภัย” เป็นตัวบอก โดยสัญญาณเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดของการตั้งครรภ์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับตัวปัญหาที่มี เพียงแต่ว่าคุณแม่จะเฝ้ามองและเห็นมันหรือไม่เท่านั้นเอง

เราจึงมีข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาณเตือนอันตรายที่สำคัญที่พบมักบ่อยและอาจจะเกิดขึ้นได้ขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้าย โดยจะมีอาการผิดปกติที่พบได้บ่อยอยู่ 9 อาการด้วยกัน ซึ่งแต่ละอาการที่เกิดขึ้นนั้น มีรายละเอียดตามแต่ละอาการที่จะต้องรีบไปพบแพทย์ดังต่อไปนี้

*** เลือดออกทางช่องคลอด

อาการดังกล่าวนี้ สาเหตุที่พบได้บ่อยคือ รกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งปกติ รกจะลอกตัวออกจากผนังมดลูกหลังจากเด็กคลอดออกมาแล้ว แต่ถ้ารกลอกตัวก่อนตัวเด็กจะคลอด เนื่องจากครรภ์เป็นพิษ หรือถูกกระแทกบริเวณท้องอย่างรุนแรง จะทำให้มีเลือดไหลออกในโพรงมดลูก อาจทำให้เด็กในครรภ์ขาดออกซิเจนไปเลี้ยง จนเสียชีวิตได้ ดังนั้นหากมีเลือดออกทางช่องคลอด ปวดหน้าท้อง หน้าท้องแข็งตึง หรือกดแล้วเจ็บ มดลูกโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมีเลือดขังอยู่ภายใน ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ส่วนอีกสาเหตุหนึ่ง คือ รกเกาะต่ำ เป็นภาวะที่รกบางส่วน หรือทั้งหมด เกาะอยู่ที่ตอนล่างของมดลูก แทนที่จะเกาะที่ผนังตอนบนของมดลูก โดยอาการที่จะต้องรีบไปพบแพทย์นั้น คือ จะมีเลือดออกทางช่องคลอดเหมือนกัน แต่จะไม่เจ็บครรภ์ ซึ่งถ้าเลือดออกมาก แพทย์จะต้องเอาเด็ก และรกออกให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ เพื่อให้เลือดหยุดไหล

*** บวม-ความดันโลหิตสูง

อาการบวม เกิดจากโรคพิษแห่งครรภ์ จะพบในคุณแม่ที่มีประวัติคนในครอบครัวมีความดันโลหิตสูง คุณแม่ที่เป็นเบาหวาน และคุณแม่ที่มีครรภ์แฝด สำหรับอาการที่ควรรีบไปพบแพทย์ คุณแม่จะมีอาการบวม ตั้งแต่หลังเท้า มือบวม นิ้วบวม ปวดหัว สายตาพร่ามัว ซึ่งถ้าหากมาพบแพทย์ช้า ตัวคุณแม่เอง อาจชักหมดสติ และเสียชีวิตได้

*** ลูกในท้องดิ้นน้อยผิดปกติ

ปกติลูกในท้อง จะต้องดิ้นมากกว่า 10 ครั้ง/วัน ซึ่งการดิ้นของลูก บ่งบอกว่า ลูกยังมีชีวิตอยู่ หรือมีสุขภาพที่แข็งแรง โดยลูกจะดิ้นมากหลังจากที่คุณแม่กินอาหารเสร็จใหม่ๆ อย่างไรก็ดี การนับลูกดิ้นนั้น ให้นับตั้งแต่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ขึ้นไป ควรนับ 3 เวลา หลังอาหารเช้า-กลางวัน และเย็น แต่ละครั้งให้สังเกต 1 ชั่วโมง โดยมีวิธีการนับลูกดิ้นดังนี้ คือ ลูกดิ้นในเวลาเดียวกัน ให้นับเป็น 1 ครั้ง เช่น ตุ๊บ ตุ๊บ พัก ให้นับเป็น 1 ครั้ง หรือ ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ ก็ให้นับเป็น 1 เช่นกัน ทั้งนี้จะนับหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ถ้านับแล้วไม่ถึง 3 ครั้ง ให้นับต่อไปอีก 1 ชั่วโมง และถ้ายังไม่ถึง 3 ครั้งอีก ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูความผิดปกติของทารกในครรภ์ต่อไป (อ่านต่อ >> วิธีนับลูกดิ้น คลิกเลย)

*** น้ำเดินก่อนกำหนด

น้ำเดิน คือ การที่มีน้ำใสๆ คล้ายน้ำปัสสาวะ (แต่ไม่ใช่น้ำปัสสาวะ) ไหลออกมาทางช่องคลอด นั่นแสดงว่า ถุงน้ำคร่ำแตกรั่ว ซึ่งจะไม่เป็นมูก หรือว่าตกขาว ดังนั้น เมื่อมีอาการน้ำเดิน คุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะถ้าหากทิ้งไว้ เชื้อโรคอาจลุกลามเข้าไปในโพรงมดลูกจนเกิดการติดเชื้อ ส่งผลให้แม่ และลูกอาจเสียชีวิตได้

อย่างไรก็ดี คุณแม่บางคนเกิดข้อสงสัยว่า น้ำเดินอย่างไร จึงควรจะต้องไปพบแพทย์ สำหรับคุณแม่ที่มีน้ำคร่ำไหลน้อย ออกมาตามหน้าขา ให้คุณแม่ใส่ผ้าอนามัย สังเกต 2-3 ชั่วโมง และไม่ควรเดินมาก ซึ่งถ้ายังไหลอยู่ ให้รีบไปพบแพทย์ ไม่ต้องรอให้เจ็บครรภ์ ในส่วนของคุณแม่ที่น้ำคร่ำไหลมาก ควรอยู่นิ่งๆ จนกว่าน้ำคร่ำจะหยุดไหล ใส่ผ้าอนามัย แล้วรีบให้สามี หรือญาติพาไปพบแพทย์ ไม่ต้องรอให้เจ็บครรภ์เช่นกัน ในภาวะนี้ คุณแม่ไม่ควรเดิน เพราะอาจเกิดสายสะดือย้อย ทำให้ทารกเสียชีวิตได้

อ่านต่อ >> อาการผิดปกติที่แม่ใกล้คลอด ต้องรีบไปพบแพทย์” คลิกหน้า 2

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up