AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ยาที่แม่ท้องต้องระวังเพื่อความปลอดภัยของคุณแม่ลูกในครรภ์

ขณะตั้งครรภ์ สิ่งที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ก็คือการใช้ยา เพราะการใช้ยาที่แรงเกินไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างอวัยวะของตัวอ่อนในครรภ์

แม่กินยา..ลูกกินด้วย

ยาเกือบ ทุกชนิด เมื่อคุณแม่กินเข้าไป จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด และส่วนหนึ่งจะผ่านรกไปสู่ลูกในท้อง ทำให้ลูกได้รับยานั้นด้วย ยาจะก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกในท้องหรือไม่นั้น ขึ้นกับว่าเป็นยาชนิดอันตรายมากน้อยแค่ไหน และลูกได้รับในปริมาณเพียงใด ที่สำคัญยังขึ้นกับระยะของการตั้งครรภ์อีกด้วย

โดยปกติแล้ว ช่วงเวลาที่อันตรายและอาจทำให้ลูกน้อยเกิดความพิการได้มากที่สุด คือช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ทารกกำลังสร้างอวัยวะต่างๆ อยู่ ถ้ามีอะไรไปรบกวนในช่วงนี้จะทำให้เกิดความพิการขึ้นมาได้ คุณแม่ตั้งครรภ์ อย่าซื้อยากินเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

ยากับการตั้งครรภ์นั้นมีอันตรายเกินกว่าที่คุณแม่หลายๆคนคาดไม่ถึง และจะมียากลุ่มใดบ้างที่ ว่าที่คุณแม่ ควรหลีกเลี่ยง และทำไมยากลุ่มเหล่านั้นจึงเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ ไปดูกันเลยค่ะ

1. ยาปฏิชีวนะ สาเหตุที่ ควรเลี่ยง ยาฆ่าเชื้อ หรือยาแก้อักเสบ บางกลุ่ม มีผลต่อการสร้างกระดูกอ่อน โดยเฉพาะยาในกลุ่ม Quinolone หากจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะระหว่างตั้งครรภ์จริงๆ ยาในกลุ่ม Penicillin สามารถรับประทานได้ แต่ทางที่ดีควรที่จะปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อชั่งน้ำหนักว่า ประโยชน์หรือโทษที่จะเกิดขึ้น สิ่งใดมีมากกว่ากัน

ยาปฏิชีวนะที่ใช้กันบ่อย : อะม็อกซีซิลลิน  เพนนิซิลลิน เตตราซัยคลิน  นอร์ฟล็อกซาซิน

รู้แล้วบอกต่อ

– ยาปฏิชีวนะ ไม่ใช่ ยาแก้อักเสบ

– ยาปฏิชีวนะ เป็น ยาอันตราย

3 โรค หายได้ ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

  1. หวัด-เจ็บคอ : กว่าร้อยละ 80 เกิดจากไวรัส มีอาการ เช่น น้ำมูกไหล ไอ จาม เสียงแหบ เจ็บคอ คันคอ มีไข้ เป็นนาน 7-10 วัน โดยวันที่ 3-4 จะมีอาการมากที่สุด แล้วจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง รักษาโดยการดื่มน้ำอุ่น กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ พักผ่อนให้มาก ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ
  2. ท้องเสีย : กว่าร้อยละ 99 เกิดจากไวรัส หรืออาหารเป็นพิษ มีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย รักษาโดยดื่มน้ำเกลือแร่ ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ
  3. แผลเลือดออก : เช่น มีดบาด แผลถลอก แผลเล็กน้อยจากอุบัติเหตุ ซึ่งผู้ป่วยที่มีสุขภาพโดยรวมแข็งแรงดี รักษาโดยล้างทำความสะอาดอย่างถูกต้อง ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ
ข้อมูลจาก..โครงการส่งเสริมการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผลในร้านยา ปี พ.ศ. 2555 http://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/42
อ่านต่อ >> กลุ่มยาที่แม่ท้องควรหลีกเลี่ยง” คลิกหน้า 2

2. ยาแก้ปวด สาเหตุที่ ควรเลี่ยง ยาบรรเทาปวดลดไข้ ที่อยากจะพูดถึงอีกตัวคือ “แอสไพริน” ถึงแม้ว่าจะเป็นยาที่มีราคาถูกกว่าออกฤทธิ์ได้ดีกว่า รวดเร็วกว่า อีกทั้งยังมีฤทธิ์บรรเทาอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ กระดูก เอ็น ข้อต่อ ดีกว่ายาพารา แต่ในคุณแม่ตั้งครรภ์ 3 เดือนก่อนคลอดไม่แนะนำให้ใช้แอสไพริน เนื่องจากยาจะทำให้การหดรัดตัวของมดลูกลดลง การเจ็บครรภ์ยาวนานเกินกำหนด และยังลดการเกาะตัวกันของเลือด จึงทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือดก่อนคลอด

ดังนั้น ยาพาราเซตามอลจึงปลอดภัยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับยาอื่นๆ แต่ถ้าคุณแม่มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับตับและไตก็ควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร ไม่ควรซื้อยามากินเองถึงแม้ว่าจะเป็นยาพื้นๆ เช่น ยาพาราเซตามอล

3. ยาต้านการอักเสบ ชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (กลุ่มเดียวกับยาแก้ปวดหรือแอสไพริน) สาเหตุที่ ควรเลี่ยง เพราะจะไปกดต่อมหมวกไต ทำให้ภูมิต้านทาน การทำงานของต่อมหมวกไต และเม็ดเลือดขาวของทารกผิดปกติ

อ่านต่อ >> กลุ่มยาที่แม่ท้องควรหลีกเลี่ยง” คลิกหน้า 3

4. ยาละลายลิ่มเลือด    สาเหตุที่ ควรเลี่ยง ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาหลอดเลือดอุดตัน โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรรับประทาน เนื่องจากตัวยามีฤทธิ์ผ่านน้ำนม และผ่านรก มีผลต่อการสร้างอวัยวะของเด็ก อาจทำให้ ทารกเกิดความพิการได้ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ห้องหัวใจ แขนขา

5. กลุ่มเคมีบำบัด สาเหตุที่ ควรเลี่ยง ในทางการแพทย์เรียกว่า อยู่ในหมวด Category X คือ ห้ามเด็ดขาด เพราะมีผลต่อการสร้างอวัยวะ ทำให้เด็กที่เกิดมาพิการได้ เพราะการตั้งครรภ์จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ 3 สิ่ง แม่ รก และเด็ก ถ้าแม่ทานเข้าไปแล้ว มีผลต่อแม่ และมีผลต่อรกด้วย รกสามารถเสื่อมก่อนกำหนดได้ และทำให้การเจริญเติบโตของเด็กไม่ดี อาจจะไม่โตเลยก็ได้

6. กลุ่มของฮอร์โมน สาเหตุที่ ควรเลี่ยง เป็นสิ่งที่ต้องห้าม เพราะอาจทำให้เกิดการสร้างอวัยวะที่ผิดปกติได้ ยกตัวอย่างเช่น มีการใช้ฮอร์โมนของเพศชายอยู่ ทำให้ทารกที่เกิดมามีอวัยวะเพศที่กำกวม การสร้างอวัยวะที่ผิดปกติไป

อ่านต่อ >> กลุ่มยาที่แม่ท้องควรหลีกเลี่ยง” คลิกหน้า 4
7. กรดวิตามินเอเข้มข้น สาเหตุที่ ควรเลี่ยง เป็นวิตามินตัวเดียวที่มีพิษต่อร่างกายโดยมากจะพบในยารักษาสิว หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า หากกรดวิตามินเอเข้มข้นเยอะเกินไป จะมีผลต่อตับของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการสร้างอวัยวะของทารกด้วย เนื่องจากฤทธิ์ของกรดของวิตามินเอที่อยู่ในร่างกาย ต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึงจะหมดฤทธิ์ยา ฉะนั้น ใครก็ตามที่ใช้ยารักษาสิวที่มีกรดวิตามินเอเข้มข้น ต้องห้ามตั้งครรภ์อย่างน้อย 6 เดือน เพราะถ้าตั้งครรภ์ในระหว่างการใช้ยา อาจมีโอกาสที่เด็กจะพิการสูง

8. วัคซีนชนิดเชื้อเป็น สาเหตุที่ ควรเลี่ยง หากตั้งครรภ์แล้ว ไม่ควรฉีดวัคซีนชนิดเชื้อเป็น ที่เพาะมาจากการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรค เช่น วัคซีนโรคหัดต่างๆ คางทูม เป็นต้น เพราะภูมิต้านทานของผู้หญิง เมื่อตั้งครรภ์เปลี่ยนไป คือ ในสตรีตั้งครรภ์จะเป็นอีกโรคหนึ่งเลยที่เปลี่ยนไป หากอยากฉีดวัคซีนป้องกันไว้ก่อน ควรฉีดก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 1-2 เดือน จะไม่มีผลต่อการตั้งครรภ์
***ที่สำคัญ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยเด็ดขาด
ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลการตั้งครรภ์ เพื่อเลี่ยงผลเสียที่จะเกิดขึ้น

อ่านต่อบทความน่าสน

>> “ยาระหว่างตั้งครรภ์” ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

>> ยาหมดอายุ-เสื่อมคุณภาพ…อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม! พร้อมวิธีสังเกตและตรวจสอบยาเสื่อมสภาพ


ขอบคุณข้อมูลจาก : women.sanook.com