มาถึงครึ่งทางของการตั้งครรภ์แล้ว คุณแม่ท้องเป็นอย่างไรกันบ้างเอ่ย เชื่อว่าทุกคนคงเหนื่อย แต่ก็อดมีความสุขไม่ได้แน่ๆ มาในสัปดาห์ที่ 20 นี้คุณแม่จะได้พบหน้าลูกครั้งแรกโดยผ่านการอัลตร้าซาวด์ค่ะ และอาจจะรู้ด้วยว่าลูกของเราเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง ถ้าลูกไม่ขี้อายเอามือมาปิดเสียก่อน
ตรวจอะไรได้บ้าง
1. วัดขนาดของลูกน้อย
เพื่อดูว่าลูกของเรามีการเจริญเติบโตเหมาะสมกับอายุครรภ์หรือไม่ โดยคุณหมอจะวัดขนาดศีรษะ เส้นรอบท้อง และความยาวของกระดูกต้นขา หากลูกมีการเติบโตน้อยกว่าอายุครรภ์ คุณหมออาจนัดตรวจซ้ำอีกหลายครั้งเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด เนื่องจากทารกที่มีภาวะเจริญเติบโตช้าเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น ความผิดปกติของยีน ความพิการ ทุพโภชนาการ มารดาเจ็บป่วย รกผิดปกติ ตั้งครรภ์แฝด หรือตัวเล็กโดยธรรมชาติ เป็นต้น
2. ดูตำแหน่งของรก
โดยปกติรกมักอยู่ด้านบนของมดลูก หากพบว่ารกเกาะต่ำ อาจมีแนวโน้มว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดได้ในไตรมาสที่ 3 และมักต้องผ่าคลอด ซึ่งคุณหมอจะคอยติดตามผลอย่างใกล้ชิด
3. ตรวจปริมาณของน้ำคร่ำ
เพื่อดูว่าคุณแม่มีมากหรือน้อยเกินไป หากมีน้ำคร่ำน้อยกว่า 400 ซีซี เรียกว่าน้ำคร่ำน้อย ส่วนมากมักเกิดจากทารกมีความพิการมาแต่กำเนิด น้ำคร่ำรั่ว รกลอกตัวก่อนกำหนด ฯลฯ หากมีมากกว่า 2,000 ซีซี เรียกว่าน้ำคร่ำมาก เกิดจากความพิการของทารกเช่นเดียวกัน รวมไปถึงคุณแม่ที่เป็นเบาหวานแบบควบคุมไม่ได้ การตั้งครรภ์แฝด ฯลฯ
4. ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ตรวจว่าหัวใจทำงานปกติหรือไม่ ปกติแล้วลูกน้อยจะมีอัตราการเต้นของหัวใจ 120-180 ครั้งต่อนาที
5. ตรวจดูโครงสร้างและอวัยวะ
ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ได้แก่ ศีรษะ คอ หน้าอก หัวใจ กระดูกสันหลัง กระเพาะอาหาร ไต กระเพาะปัสสาวะ ขา แขน และสายสะดือ
6. ตรวจดูภาวะดาวน์ซินโดรม
ซึ่งสามารถตรวจได้เมื่ออายุครรภ์ 16-20 สัปดาห์เท่านั้น โดยสังเกตความผิดปกติดังนี้
- ถุงน้ำในเนื้อเยื่อสร้างน้ำไขสันหลัง
- ความหนาของเนื้อต้นคอ
- จุดสีขาวเข้มในหัวใจ
- ข้อกลางของนิ้วก้อยสั้นหรือไม่มี
- กรวยไตกว้าง
- ความเข้มของลำไส้
- นิ้วหัวแม่เท้าและนิ้วชี้ห่างกัน ฯลฯ
หากพบความผิดปกติ คุณหมอมักแนะนำให้ตรวจเจาะน้ำคร่ำต่อไป
7. ตรวจดูเพศของลูก
ในสัปดาห์ที่ 20 นี้ อวัยวะเพศของลูกพัฒนาสมบูรณ์แล้ว จึงสามารถรู้ได้ว่าลูกน้อยในครรภ์เป็นเพศใด หากคุณแม่ยังไม่อยากทราบเพศของลูก ควรแจ้งคุณหมอล่วงหน้าค่ะ
เลือกอัลตราซาวด์กี่มิติดี?
ปัจจุบันนี้เราสามารถอัลตราซาวด์ได้ 4 มิติแล้ว คือ สามารถเห็นลูกเคลื่อนไหวได้แบบเรียลไทม์ เช่น เห็นลูกกำลังหาว ดูดนิ้ว ยิ้ม กะพริบตา เป็นต้น ทำให้คุณแม่มองเห็นลูกได้ชัดเจนขึ้นและรู้สึกผูกพันมากกว่าเดิม ในขณะที่ 2 และ 3 มิติ จะเห็นเป็นภาพนิ่งเท่านั้น สำหรับการเลือกว่าจะใช้การตรวจกี่มิตินั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมด้านกำลังทรัพย์ของคุณแม่ เพราะยิ่งชัดมากเท่าไร ราคาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คุณหมอมักจะเลือกใช้การอัลตราซาวด์แบบ 2 มิติ สำหรับการวินิจฉัยความผิดปกติเป็นหลักอยู่แล้ว เพราะบางกรณีอัลตราซาวด์แบบ 3 และ 4 มิติ ไม่สามารถทำได้
บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง