โลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็ก ในแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่ท้องต้องการธาตุเหล็กมากกว่าคนทั่วไป เพราะร่างกายต้องนำมาสร้างรกและทารก สร้างเลือดให้แม่ เพราะฉะนั้นการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ
โลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็ก ในแม่ตั้งครรภ์
โรคโลหิตจาง เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อยในคุณแม่ตั้งครรภ์ คือ โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งผลกระทบที่เกิดกับคุณแม่และลูกน้อยจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยเด็ดขาด
โลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็ก ในแม่ตั้งครรภ์ จะมีผลกระทบต่อลูกและคุณแม่อย่างไรบ้าง
โรคโลหิตจาง หมายถึง โรคจากสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยจนทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ ขึ้น โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ก็หมายถึง ภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยจากการขาดธาตุเหล็ก พบได้มาก ประมาณการณ์ว่ามีคนร้อยละ 1-2 เป็นโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก แต่หากรวมผู้ที่โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กแต่ไม่มีอาการ พบประมาณร้อยละ 12
โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กมีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์หลายอย่างคือ เพิ่มความเสี่ยงในการแท้ง การคลอดก่อนกำหนด ลูกในครรภ์น้ำหนักน้อย ลูกในครรภ์มีโลหิตจาง หากโลหิตจางมาก อาจทำให้เกิดน้ำคร่ำน้อย ซึ่งทำให้เด็กเสียชีวิตในครรภ์ได้ นอกจากนั้นยังอาจเกิดอันตรายกับมารดาในช่วงคลอด เพราะอาจตกเลือดจนเสียชีวิตได้ค่ะ
ทำไมแม่ท้องจึงเสี่ยง โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
เพราะการตั้งครรภ์ทั่วไปจะทำให้เกิดโลหิตจางในช่วงไตรมาสที่สอง ซึ่งช่วงนั้น น้ำเหลือง (พลาสม่า) จะเพิ่มมากกว่าเม็ดเลือดแดง ทำให้เสมือนว่าเม็ดเลือดแดงซึ่งอยู่ในน้ำเหลืองมีจำนวนน้อยลง อีกทั้งธาตุเหล็กจากการรับประทานอาหารมักไม่เพียงพอ เนื่องจากคุณแม่ตั้งครรภ์ต้องการธาตุเหล็กมากกว่าปกติ เพื่อเสริมสร้างส่วนของทารกและส่วนของมารดา โดยคนท้องทั่วไปต้องการธาตุเหล็กตลอดการตั้งครรภ์จำนวน 1,000 มิลลิกรัม โดยจำนวน 300 มิลลิกรัม ไปสร้างส่วนที่เป็นรกและทารก จำนวน 500 มิลลิกรัม ไปเพิ่มส่วนที่เป็นโลหิตของแม่ และจำนวน 200 มิลลิกรัม ถูกขับออกทางอุจจาระ ปัสสาวะ และเหงื่อ ดังนั้นคนท้องทุกคน จึงต้องเสริมธาตุเหล็ก ยิ่งหากเป็นโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กยิ่งต้องเสริมจำนวนมากกว่าคนทั่วไป
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ติดตาม อาการแบบนี้อาจเป็น โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก คลิกหน้า 2
โลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็ก ในแม่ตั้งครรภ์
โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในคนท้องยังมีสาเหตุดังต่อไปนี้
– มีการเสียเลือด อาจจะเป็นการเสียเลือดที่มองเห็น เช่น ได้รับบาดเจ็บ หรือการเสียเลือดที่มองไม่เห็น เช่น เป็นโรคริดสีดวงทวาร หรือมีแผลในทางเดินอาหาร และมีเลือดออกภายใน ดังนั้นในคนท้องหากตรวจพบว่ามีโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก อาจต้องตรวจหาสาเหตุการเสียเลือดในร่างกายด้วย
– การดูดซึมธาตุเหล็กที่เสริมในขณะท้องไม่เพียงพอ โดยทั่วไปธาตุเหล็กจะดูดซึมได้ร้อยละ 10 ในอาหารที่เป็นกรด แนะนำให้รับประทานธาตุเหล็กกับน้ำส้มคั้น หรือวิตามินซี 250 มิลลิกรัม ดังนั้น หากรับประทานอาหารอื่นๆ พร้อมกับการรับประทานธาตุเหล็ก เช่น น้ำชา กาแฟ ผัก ผลไม้ นม โปรตีน ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด ยาธาตุน้ำขาว ฯลฯ การดูดซึมธาตุเหล็กอาจไม่ถึงร้อยละ 10
– มีอาการคลื่นไส้อาเจียนในขณะท้อง ทั้งธาตุเหล็กเองก็มีผลข้างเคียง จุกท้อง คลื่นไส้อาเจียนได้อยู่แล้ว ทำให้อาเจียนเอาธาตุเหล็กอออกได้
อาการแบบนี้อาจเป็นโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
- ไม่มีอาการอะไรเลย แต่เจาะเลือดพบว่ามีโลหิตจาง โดยค่าโลหิตจางในคนท้องใช้คำจำกัดความว่า ค่าฮีโมโกลบิน น้อยกว่า 11 กรัม/เดซิลิตร หรือความเข้มข้นของเลือด (Hematocrit) น้อยกว่า 33 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาสที่หนึ่งและที่สาม และค่าฮีโมโกลบิน น้อยกว่า 5 กรัม/เดซิลิตร หรือความเข้มข้นของเลือดน้อยกว่า 32 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาสที่สอง
- ทำงานหนักแล้วเหนื่อย หรือ ออกกำลังกายได้ไม่นาน เพราะรู้สึกอ่อนเพลีย หากเป็นมาก จะมีอาการอ่อนเพลียแม้ช่วงนั่งพัก ปวดหัว เวียนหัว ลุกยืนแล้วคลื่นไส้ หน้ามืด
- อยากกินของแปลกๆ (Pica) เช่น กินดิน กินน้ำมัน เป็นต้น
- แสบลิ้น ลิ้นอักเสบ
โดยอาการของข้อ 2-4 จะดีขึ้นเมื่อได้รับการรักษาด้วยธาตุเหล็ก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ติดตาม วิธีรักษาและป้องกัน โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในแม่ท้อง ต่อหน้า 3
โลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็ก ในแม่ตั้งครรภ์
วิธีรักษาและผลข้างเคียง
การรักษาโรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กนอกจากแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก ได้แก่ ผักใบเขียว ผลไม้แห้ง ถั่ว เนื้อสัตว์ เลือด ตับสัตว์ ไข่แดง นม เนย ขนมปัง (ที่เสริมธาตุเหล็ก) แล้ว วิธีง่ายที่สุด ราคาไม่แพง ไม่มีโทษใดๆ คือการเสริมธาตุเหล็กโดยการกินวันละ 150-200 มิลลิกรัมของธาตุเหล็กที่สามารถดูดซึมได้ (elemental iron)
โดยธาตุเหล็กมี 3 รูปแบบที่นิยมใช้ ได้แก่
- เฟอร์รัสฟูมมาเรท (Ferrous fumarate) จะมีธาตุเหล็กที่สามารถดูดซึมได้ 106 มิลลิกรัม ต่อธาตุเหล็ก 1 เม็ด
- เฟอร์รัส กลูโคเนต (Ferrous gluconate) มีธาตุเหล็กที่สามารถดูดซึมได้ 28-36 มิลลิกรัม ต่อธาตุเหล็ก 1 เม็ด
- เฟอร์รัสซัลเฟต (Ferrous sulfate) มีธาตุเหล็กที่สามารถดูดซึมได้ 65 มิลลิกรัม ต่อธาตุเหล็ก 1 เม็ด เป็นธาตุเหล็กที่มีราคาถูกที่สุด
ปัญหาของการเสริมธาตุเหล็กคือ ร้อยละ 10-20 อาจมีผลข้างเคียงคือคลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก จุกแน่นท้อง โดยธาตุเหล็กที่สามารถดูดซึมได้มาก ก็มักจะคลื่นไส้มาก ในกรณีที่ไม่สามารถกินแบบเม็ด อาจหลักเลี่ยงมากินชนิดน้ำ (Elixer) ส่วนหากกินชนิดไหนไม่ได้เลยอาจเปลี่ยนมาเป็นฉีด สำหรับคุณแม่ที่มีโลหิตจางมากและใกล้คลอด ซึ่งเสริมธาตุเหล็กไม่ทันการณ์ อาจต้องให้เลือดแทนค่ะ
ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
- ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ฯลฯ เพราะเป็นแหล่งธาตุเหล็กชั้นดี ในกรณีที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ควรเสริมธาตุเหล็กกินในรูปแบบเม็ด
- ในกรณีที่มีประจำเดือนมามาก ควรเสริมธาตุเหล็กชนิดกิน
- ก่อนตั้งครรภ์ ควรตรวจเลือดดูความเข้มข้นของเลือด หากมีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ควรรักษาก่อนปล่อยให้ตั้งครรภ์
- ขณะตั้งครรภ์แม้ไม่มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ก็ต้องเสริมธาตุเหล็ก เพราะไม่สามารถรับประทานธาตุเหล็กจากอาหารได้พอเพียง
- วิตามินซีช่วยในการดูดซึมของธาตุเหล็ก ดังนั้นควรรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินซีเป็นประจำ ได้แก่ ผักผลไม้ต่างๆ เช่น ใบยอ มะเขือเทศ กล้วย ส้ม ฝรั่ง องุ่น มังคุด แอปเปิ้ล สตรอเบอร์รี่ มะละกอสุก เป็นต้น
อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ
9 ผัก ผลไม้สีแดง สารต้านอนุมูลอิสระสูง ดีต่อสุขภาพคุณแม่
สุขภาพของลูกน้อย ดีได้ด้วยลำไส้ที่แข็งแรง พรีไบโอติกช่วยได้
อันตราย!! 8 โรค ที่แถมมาจากโรงพยาบาล ต้องระวังโรคอะไรบ้าง?
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่