“เตือนใจคุณแม่ท้อง เรื่องการเข้า รพ.เอกชน” หากคุณแม่ท้องคิดจะ คลอดลูกไม่ว่าจะ รพ.รัฐ หรือ คลอดเอกชน คุณหมอสูติท่านหนึ่งได้แชร์ความคิดเห็นผ่านกระทู้พันทิปฝากมา ว่าบางโรงพยาบาลเอกชนก็อาจจะไม่ได้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินของคุณแม่ท้องได้เสมอไป
กระทู้พันทิป! หมอสูติฝากมา.. “เตือนใจคุณแม่ท้อง เรื่อง คลอดเอกชน ”
สำหรับคุณพ่อและคุณแม่ท้องทุกคน ก็ต้องการอยากคลอดลูกให้ออกมาปลอดภัย สุขภาพดีแข็งแรง ทั้งนี้นอกจากการดูแลตัวเองของคุณแม่ท้องขณะกำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น การฝากครรภ์ เพื่อให้คุณหมอช่วยดูแล และกระบวนการทำคลอดที่ดีก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอยู่ภายใต้คำว่า “ลูกเกิดรอด แม่ปลอดภัย” (—> อ่านต่อบทความแนะนำ : ฝากครรภ์ฟรี! คลอดบุตรฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย) ซึ่งการคลอดลูก ไม่ว่าจะเป็นที่ รพ. รัฐ หรือ คลอดเอกชน อาจทำให้คุณแม่หลายคนคิดหนักว่าจะเลือกโรงพยาบาลไหนดี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคลด้วย
ซึ่งในกรณีนี้ มีคุณหมอสูติ ท่านหนึ่งออกมาตั้งกระทู้บนเว็บไซต์พันทิปเพื่อเตือนใจ คุณแม่ท้อง เกี่ยวกับการเลือกรพ.เพื่อคลอดลูก ว่า รพ.เอกชน ก็อาจไม่ได้มีพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเสมอไป ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลเอกชนจะมีความรวดเร็วและสะดวกสบาย อย่างที่หลายคนรู้กัน บางครั้งบางโรงพยาบาลก็ไม่ได้อาจมีเครื่องมือหรือคุณหมอที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ยากได้เสมอไป
โดยคุณหมอใช้ชื่อ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปว่า ฟ้าหมาดฝน ซึ่งได้ออกมาเปิดเผยความในใจว่า ตัวเเองเป็นหมอสูติ ที่ทำงานใน รพ.รัฐเป็นหลัก และทำเอกชนพาร์ทไทม์ โดยคุณหมอเล่าถึงปัญหาที่พบเจอว่า…
***หมายเหตุ: ข้อมูลดังต่อไปนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งนำมาแชร์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่จึงต้องใช้วิจารณญาณให้การอ่าน เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของตัวท่านเองด้วยนะคะ***
คนท้อง ที่มีปัญหาแทรกซ้อนโดยเฉพาะกรณีคลอดก่อนกำหนด เวลาเข้ารักษาในรพ.เอกชน จะเจอปัญหา
1. ศักยภาพไม่ถึง
เช่น กรณีคลอดก่อนกำหนด รพ.เอกชนส่วนมาก มักจะดูแลเด็กได้ที่อายุครรภ์ราวๆ 34 สัปดาห์ขึ้นไป แต่ถ้าระดับ 28-34 ส่วนมากจะดูแลไม่ได้ นอกจาก รพ.ที่ศักยภาพสูงจริงๆ
และถ้าต่ำกว่า 28 สัปดาห์ คือเอกชนเลี้ยงไม่รอดหรอกค่ะ ต้องเข้า รพ.รัฐบาลใหญ่ๆ
เหตุผลเพราะว่า การลงทุนเพื่อสร้าง NICU สำหรับเด็กอ่อน รวมจึงจ้างหมอพยาบาลระดับพระกาฬ มันสูงมากนะคะ
และในที่สุดมันก็จะเป็นต้นทุนค่ารักษาต่อไปค่ะ ดูแล้วคนทั่วไปคงไม่มีกำลังจ่าย เขาจึงไม่พัฒนาในส่วนนี้ค่ะ (ต่างจากรัฐบาลซึ่งการสร้างห้อง คนของ พวกนี้ ไม่ได้คิดเป็นราคาอะไรคือมาเป็นงบประมาณ)
อีกประเด็นคือ การดูแลแม่ที่มีภาวะแทรกซ้อน
การสังเกตอาการต่างๆที่เป็นปัญหาวิกฤต พยาบาลและทีมของเอกชนก็มักจะไม่ได้รับการฝึกฝนเท่ารพ.รัฐเช่นกัน
กรณีคลอดก่อนกำหนด ครรภ์เป็นพิษ อะไรแบบนี้ การนอนในรพ.เอกชนค่อนข้างเสี่ยงค่ะ
2. ต่อเนื่องจากข้อ 1.คือราคาสูง
สมมติว่า รพ.เอกชนดังกล่าว สามารถดูแลเด็กคลอดก่อนกำหนดได้ประมาณนึง ค่าใช้จ่ายก็มักสูงลิ่วเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะฝันถึงนะคะ
ต่อให้เด็กคลอดก่อนกำหนด แบบธรรมดาๆ ไม่ได้ใช้ยากระตุ้นอะไรพิเศษ อาจจะวิ่งเป็นหลักหมื่นต่อวัน
ถ้าพูดถึงกรณีคนต่างจังหวัด (แบบจังหวัดที่เราอยู่เนี่ย) ซึ่งบางคนก็เป็นคนทำงานทั่วไป ทำไร่ทำนาก็มี คือไม่ได้เล่นเน็ต ไม่รู้ข้อมูลอะไรมาก
บางคนประเมินว่าหลักพันก็หรูแล้ว พอเห็นตัวเลขจริงนี่แทบช็อค (เอาว่าขนาดเราเองเป็นหมอนะคะ เคยมีเหตุจำเป็นพาแม่ไปตรวจ OPD เอกชนที่ต่างจังหวัด เห็นบิลก็ช็อคเหมือนกันค่ะ)
อ่านต่อ >> กระทู้จากพันทิป หมอสูติฝากมา “เตือนใจคุณแม่ท้อง เรื่องการเข้า รพ.เอกชน” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
3.ถ้ามีเหตุต้องส่งเข้ารพ.รัฐในที่สุด ก็ยากเหลือแสน
โดยเฉพาะเด็กคลอดก่อนกำหนดนะคะ หาที่รับยากมากค่ะ แต่ถ้าคุณไปเริ่มต้นกับรพ.รัฐแต่แรก เขาก็ต้องรับอยู่แล้วแหละ
ที่ต้องมาเขียน เพราะคนไข้รพ.เอกชนมักไม่เข้าใจในความหวังดีของเรา เวลาที่เราอยู่เอกชนแล้วเจอเคสนะคะ
คนไข้มักไม่เข้าใจและไม่พอใจว่าทำไมเราต้องส่งเขาเข้ารัฐบาล
ซึ่งการที่เราเป็นหมอ รพ.รัฐอยู่แล้ว เราก็ยึดความปลอดภัยคนไข้เป็นหลัก และเราก็คุยเพื่อส่งเคสกับรพ.รัฐได้ง่ายด้วย
แต่เราก็ไม่สามารถอธิบายอะไรกับคนไข้ได้มาก ก็ ณ ขณะนั้นเราอยู่ในสถานะหมอ รพ.เอกชน จะให้พูดไปว่า ที่นี่มันไม่พร้อมอย่างงั้นไม่ดีอย่างงี้ เลี้ยงลูกคุณไม่ไหวหรอก ได้เหรอ???
ถ้าคนไข้เจอหมอฟูลไทม์ บางท่านก็จะพยายามเก็บคนไข้ไว้จนถึงที่สุด ซึ่งบางครั้งเป็นการรักษาบนความเสี่ยง (แต่คนไข้ไม่รู้ตัวนะคะ กลับมีความพอใจมากกกก) เพราะมันเป็นการยากที่เขาจะยอมรับว่า รพ.ตัวเอง ศักยภาพไม่เพียงพอที่จะดูเคส
ก็จะพยายามถูลู่ถูกังอยู่กันไป ซึ่งบางเคสก็ตลอดรอดฝั่งไปได้ด้วยดี (เด็กคลอดกำหนดบางคนก็อาการดีเหลือเชื่อ)
แต่บางเคส ก็แย่เกินกว่าคาดฝันค่ะ แล้วนึกดูว่า คุณเข้าไป ผ่ากับเขาเรียบร้อย เสร็จปุ๊บออกมาหมอเด็กบอกเด็กหอบต้องหาที่ส่งตัวลูก ระหว่างยังหาไม่ได้ ค่ารักษาวิ่งทุกวันเป็นหมื่นเป็นแสนจะทำยังไงแถมการรักษาก็ยังไม่เต็มร้อยอีก
อันนี้ก็ฝากให้คิดนะคะ กรณีคลอดก่อนกำหนด และกรณีอื่นๆ ซึ่งสุดท้ายหมออาจจำเป็นต้องให้คลอดก่อนกำหนดเช่นกัน เช่น ครรภ์เป็นพิษ รกเกาะต่ำเลือดออกมาก
ถ้ารู้ตัวว่าความเสี่ยงสูงเข้ารัฐบาลได้ก็เข้าเถอะค่ะ หรือถ้าหมอรพ.เอกชนบอกว่า ควรไปรพ.รัฐก็ไปเถอะค่ะอย่างอแงเลย
หากกระทบต่อความรู้สึกใครต้องขออภัยนะคะ และเชิญหมอสูติหมอเด็กแสดงความเห็นเพิ่มเติมได้ค่ะ
-------> อ่านต่อบทความแนะนำ : คลอดก่อนกำหนด อันตราย กว่าที่คิด!!!
-------> อ่านต่อบทความแนะนำ : ครรภ์เป็นพิษ ภัยใกล้ตัว! อันตรายต่อคุณแม่และลูกในท้อง
-------> อ่านต่อบทความแนะนำ : รกเกาะต่ำ ภาวะรุนแรงที่สุดของการตั้งครรภ์
ซึ่งจากกระทู้นี้สิ่งนี้ที่สามารถบอกคุณแม่ได้คือ เมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ การไปฝากครรภ์เป็นเรื่องสำคัญ โดยต้องดูรายละเอียด พิจารณาดังข้อต่อไปนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจฝากครรภ์และคลอดที่รพ. นั้นๆ โดยมีสามชิกเว็บไซต์พันทิปท่านหนึ่งใช้ชื่อว่า Suchamaso ได้แสดงความคิดเห็น ซึ่งให้รายละเอียดไว้อย่างดี ว่า…
***หมายเหตุ: ข้อมูลดังต่อไปนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งนำมาแชร์เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่จึงต้องใช้วิจารณญาณให้การอ่าน เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของตัวท่านเองด้วยนะคะ***
เราเป็นใครไม่สำคัญ..ฟังที่เราจะบอกก็พอ อิอิ
ขอบอกกันไว้ตรงนี้ในฐานะมนุษย์คนนึงเลยนะว่า
รพ.เอกชน เค้าเป็นธุรกิจแบบนึงคุณต้องเข้าใจว่าเขาต้องการกำไร
แน่นอนสิ่งที่คุณจ่ายไปคุณจะได้ความสะดวกสบายและบริการที่ดีกว่ารัฐ
แต่ถ้าให้พูดกันตรงๆคือมีไม่กี่ รพ.ที่สามารถดูแลทารกแรกที่มีเกิดภาวะวิกฤติได้ และต้องบอกอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือการฝากครรภ์จะทำให้คุณทราบอยู่แล้วว่าคุณมีความเสี่ยงใดๆ หรือเปล่า ??? เพื่อเตรียมวางแผนค่าใช้จ่าย
ถ้าคุณจะต้องจ่ายคุณต้องวางแผนเนิ่นๆ ศึกษาข้อมูลล่วงหน้าก่อนจะคลอดให้ดีว่า รพ.ที่คุณจะไปคลอดและต้องจ่ายเงินนั้นมีศักยภาพเพียงพอไหม โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์คร่าวๆ ในกรณีที่ครรภ์มีความเสี่ยงดังนี้1. มีกุมารแพทย์ทารกแรกเกิด (Neonatologist)
2. มีหน่วยอภิบาลทารกแรกเกิดวิกฤติ (NICU)
3. มีตู้อบทารกแรกเกิดเพียงพอ (Incubator)
4. มีเครื่องช่วยหายใจหลากชนิดตามอาการของทารก (Ventilator)
5. มีความสามารถในการจัดหา/ผลิตสารอาหารทางหลอดเลือด (TPN)
อ่านต่อ >> คำแนะนำในกระทู้จากพันทิป “เตือนใจคุณแม่ท้อง เรื่องการเข้า รพ.เอกชน” คลิกหน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ถ้าเงินเราไม่หนาเราต้องรู้จักวางแผนให้ดีนะคะ..อย่าคิดไปตายเอาดาบหน้า
ต้องบวกลบให้ดีว่าถ้าลูกเรามีภาวะเสี่ยงจะรักษา รพ.เอกชนต้องเตรียมเงิน
ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ “เท่าที่เราพอทราบนะ” ราคาแบบใกล้เคียงจริงอันนี้จาก รพ. ที่มีชื่ออันดับต้นๆนะคะทั้งนี้ราคาผกผันตามอาการของทารกและระยะเวลาในการอยู่ รพ.-ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด (Neonatal jaundice) ระยะเวลา ~ 1-2 วัน ค่าใช้จ่าย ~ 10,000-20,000 (+/- 20%)
-ภาวะหายใจเร็วในเด็กแรกเกิด(TTNB) ระยะเวลา ~3-7 วัน ค่าใช้จ่าย ~ 50,000-100,000 (+/- 20%)
-ภาวะติดเชื้อในเด็กทารกแรกเกิด (Neonatal sepsis)ระยะเวลา ~7-14 วัน ค่าใช้จ่าย ~ 80,000-150,000 (+/- 20%)
-ภาวะหายใจลำบากในทารก (RDS) ระยะเวลา ~7-14 วัน ค่าใช้จ่าย ~ 100,000-180,000 (+/- 20%)
-ภาวะความดันในปอดสูง (PPHN) ระยะเวลา 10-20 วัน ค่าใช้จ่าย ~ 200,000-300,000 (+/- 20%)
– ทารกคลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์< 30 สัปดาห์ ระยะเวลาการรักษาประมาณ 4-8 สัปดาห์ ~ 300,000-500,000 (+/-20%)
-ทารกคลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์ 30-34 สัปดาห์ ระยะเวลาการรักษาประมาณ 2-4 สัปดาห์ ~200,000-300,000(+/-20%)
-ทารกคลอดก่อนกำหนดอายุครรภ์ >34 สัปดาห์ ระยะเวลาการรักษาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ~150,000-200,000(+/-20%)
หมอเลี้ยงไข้มีจริงมั๊ย !!!!!!
ตอบเลยว่ามีแต่ก็มีจำนวนน้อยมาก ต้องแจ็คพ็อตจริงๆอาจจะเจอ
แล้วถามว่าหมอเลี้ยงไข้มีแต่ข้อเสียเหรอ ก็ไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด
บางทีก็มีข้อดีตรงที่อยู่ รพ.นานซะจนลูกคุณปรับตัวได้เกือบ 100%
คุณจะมั่นใจได้ว่าลูกคุณหายดีจนใกล้เคียงปกติที่สุดแล้วก่อนที่คุณ
จะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้
-------> อ่านต่อบทความแนะนำ : รวม ค่าคลอด โรงพยาบาลรัฐ ปี 2560
-------> อ่านต่อบทความแนะนำ : แพ็คเกจค่าคลอด โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ 2560
-------> อ่านต่อบทความแนะนำ : ค่าใช้จ่ายในการตั้งครรภ์ ตั้งแต่ฝากครรภ์จนถึงตอนคลอด ต้องจ่ายเท่าไร?
จากข้อมูลข้างต้น ก็ถือเป็นรายละเอียดที่คุณแม่สามารถพิจารณาได้เช่นกัน ทั้งนี้ จากที่กล่าวมา หากคุณแม่ท้องคิดจะฝากครรภ์ หลักง่าย ๆ ในการเลือกก็จะมี การเลือกคุณหมอและโรงพยาบาล หรือถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็ควรเลือกที่ใกล้บ้าน และเดินทางสะดวกไว้ก่อน ที่สำคัญเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการฝากท้อง รวมไปถึง ค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตร อันนี้อาจจะต้องพิจารณาดู เพื่อให้ตรงกับความพร้อมที่คุณพ่อคุณแม่มีอยู่ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ความน่าเชื่อถือของหมอ การมีคุณหมอ หรือบุคลากรที่เก่งๆ มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญ มีประสบการณ์ในเรื่องการคลอด ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยสร้างความสบายใจให้กับคุณแม่ท้องได้ นั่นทำให้เชื่อได้ว่าความปลอดภัยของคุณแม่และลูกก็น่าจะมีอยู่มาก
- ความน่าเชื่อถือของโรงพยาบาล ชื่อเสียงของโรงพยาบาลก็มีผลต่อความน่าเชื่อถือ หากโรงพยาบาลนั้นมีชื่อเสียงในทางที่ดี บอกถึงเครื่องมือ เครื่องใช้ การดูแล การรักษา การบริการ และนโยบายของโรงพยาบาล ซึ่งโรงพยาบาลที่ดีๆ ก็คือจะมีหมอที่ดีและเก่งๆ อยู่ด้วย แต่โรงพยาบาลรัฐ ชื่อเสียงดี ค่าใช้จ่ายถูก แต่การบริการอาจไม่น่าประทับใจก็มี ส่วนโรงพยาบาลเอกชนที่ชื่อเสียงดี มีบริการที่น่าประทับใจ ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายสูง ก็เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
- ค่าใช้จ่ายในการฝากท้อง และคลอดลูก ซึ่งโดยส่วนใหญ่โรงพยาบาลเอกชนจะมีเป็นแพ็คเกจรวม ซึ่งอาจจะสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ แต่ก็สะดวกสบายกว่า ยกเว้นกรณีตรวจพบความผิดปกติอยู่นอกเหนือราคาดังกล่าว หรือหากต้องการอัลตร้าซาวด์ ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม (ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล) และในส่วนของโรงพยาบาลรัฐ จะมีค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งที่ถูกกว่า แต่จะเสียเวลารอนานตอนที่มาตรวจครรภ์ ซึ่งคุณแม่สามารถไปตรวจตามคลินิกได้ พอถึงเวลาก็มาเลือกคลอดกับโรงพยาบาลที่ฝากครรภ์ไว้ได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของคุณพ่อคุณแม่เป็นหลัก
- การเดินทาง ถ้าคุณแม่เลือกได้โรงพยาบาลใกล้บ้าน การเดินทางก็จะสะดวกกว่ามาก รวมทั้งช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกด้วย
อย่างไรก็ตามจากกระทู้ที่หมอสูติเตือนมานั้น ก็คงจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่คุณแม่ท้องได้พิจารณาตามความสะดวกว่าจะเลือกคลอดโรงพยาบาลไหน เพื่อความสบายใจของตัวคุณแม่เองนะคะ
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!
- ค่าใช้จ่ายสำหรับลูก ตั้งแต่ แรกเกิด – ป.ตรี ต้องใช้เงินเท่าไหร่? รู้หรือยัง?
- ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล ที่พ่อแม่ควรรู้
- ตัวย่ออัลตร้าซาวด์ มีความหมายและบอกอะไรเกี่ยวกับทารกในครรภ์ได้บ้าง?
ขอบคุณข้อมูลจาก : สมาชิกเว็บไซต์พันทิป ฟ้าหมาดฝน , Suchamaso (pantip.com/topic/36288680?) และ www.gotoknow.org