ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่อยากเจอเหตุการณ์การแท้งบุตรหรอกค่ะ แต่เมื่อการ แท้ง เกิดขึ้นแล้ว ความเสียใจก็มักจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเวลาผ่านไป แม่ๆ ทุกคนก็ต้องเก็บอดีตไว้เป็นบทเรียน แล้วก้าวต่อไป แม่หลายๆ คน เลือกที่จะท้องต่อ แต่ก็มักจะมีคำถามเกิดขึ้นว่า หลังจาก แท้ง แล้วต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะปล่อยท้องได้อีกครั้ง? ท้องครั้งต่อไปลูกในท้องจะแข็งแรงหรือไม่? และควรดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อต้องการท้องอีกครั้ง? มาดูวิธีดูแลตัวเองให้พร้อมกันดีกว่าค่ะ
แท้ง….แล้วอยากท้องต่อต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
การแท้งบุตรคืออะไร?
แท้ง (Miscarriage) เป็นการสูญเสียตัวอ่อนภายในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติหรือไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น วิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาเผยว่ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของการแท้งเกิดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ 3 เดือนแรก โดย 50-75 เปอร์เซ็นต์ แท้ง ในช่วงก่อนที่ประจำเดือนจะหยุดไปหรือยังไม่ทันที่จะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ด้วยซ้ำ ทั้งนี้การแท้งเป็นเรื่องปกติที่หลายคนสามารถเผชิญได้ เพียงแต่สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่นั้นก็อาจยากที่จะทำใจยอมรับการสูญเสียที่เกิดขึ้น
สาเหตุการแท้ง
แท้ง ในช่วงไตรมาสแรก
โครโมโซมทารกผิดปกติ เป็นสาเหตุของการแท้งในช่วง 3 เดือนแรกที่พบได้บ่อยที่สุด โดยโครโมโซมนี้เป็นการจัดเรียงตัวกันของดีเอ็นเอ ซึ่งจะควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ตั้งแต่พัฒนาการของเซลล์ในร่างกาย หรือแม้แต่สีตาของทารก
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจเป็นการมีจำนวนโครโมโซมมากเกินปกติหรือมีจำนวนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ทารกไม่สามารถพัฒนาได้อย่างปกติและมีการแท้งเกิดขึ้นได้ในที่สุด ซึ่งการแท้งจากโครโมโซมที่ผิดปกติในช่วงแรกของการตั้งครรภ์นี้มีอัตราถึง 2 ใน 3 แต่ก็มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดการแท้งจากสาเหตุนี้ขึ้นอีกครั้ง ส่วนสาเหตุความผิดปกติของโครโมโซมที่เกิดขึ้นนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด และส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากปัญหาในโครโมโซมของบิดาหรือมารดาแต่อย่างใด
ปัญหาจากรก รกมีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างมารดากับทารกเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ ดังนั้นปัญหาที่ส่งผลต่อการพัฒนาของรกจึงสามารถนำไปสู่การแท้งบุตรได้เช่นกัน
ปัจจัยเสี่ยงจากมารดา
- โรคอ้วน
- การสูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินควร
- การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อวัน โดยในชา 1 แก้วจะมีคาเฟอีนประมาณ 75 มิลลิกรัม ส่วนในกาแฟสำเร็จรูปมักมีคาเฟอีน 100 มิลลิกรัมต่อแก้ว นอกจากนี้คาเฟอีนยังพบได้ในในเครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่มีรสซ่า รวมถึงช็อกโกแล็ตแท่งได้เช่นกัน
- การใช้สารเสพติดระหว่างตั้งครรภ์
- อายุที่มากเกินขณะตั้งครรภ์ ทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ที่ทารกมีโครโมโซมผิดปกติ โดยหญิงตั้งครรภ์อายุ 40 ปี มีความเสี่ยงกว่าหญิงอายุ 20 ปีเป็น 2 เท่า และความเสี่ยงนี้ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป
- มีประวัติการแท้งบุตรมาก่อน หญิงที่เคยแท้งตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปจะยิ่งมีโอกาสเสี่ยงแท้งบุตรอีกครั้ง
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
แท้ง ในช่วงไตรมาสที่ 2
ปัจจัยเสี่ยงจากมารดา
- ปัญหาสุขภาพระยะยาว โรคเรื้อรังที่มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งช่วงอายุครรภ์ 3-6 เดือน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงรุนแรง โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคไต โรคไฮเปอร์ไทรอยด์ และไฮโปไทรอยด์ เป็นต้น
- การติดเชื้อต่าง ๆ ระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่ หัดเยอรมัน เอชไอวี ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส มาลาเรีย และเชื้อไวรัสซีเอ็มวี
- อาหารเป็นพิษ การรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนทั้งหลายเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงต่อการแท้งได้เช่นกัน เช่น อาหารจากนมที่ไม่ได้ผ่านการพาสเจอร์ไรส์ อาหารดิบ หรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะเนื้อหมู รวมถึงไข่ดิบหรือไข่ที่ปรุงกึ่งสุกกึ่งดิบ
- การใช้ยาบางชนิด ได้แก่ ยาเคมีบำบัด ยาเมโธรเทรกเซตและไมโซพรอสทอลที่มักใช้รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ยาเรตินอยด์สำหรับรักษาสิวและโรคผื่นผิวหนังอักเสบ และกลุ่มยาลดการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน
นอกจากปัจจัยที่กล่าวข้างต้น การแท้งบุตรในช่วงไตรมาสที่ 2 ยังอาจเกิดขึ้นได้จากความผิดปกติของมดลูกหรือระบบสืบพันธุ์ของผู้เป็นแม่ ดังนี้
- ปัญหาจากโครงสร้างมดลูกที่อาจเกิดจาก มีเนื้องอกมดลูกเติบโตขึ้นในครรภ์ หรือครรภ์ที่เกิดขึ้นมีรูปร่างผิดปกติ
- ปากมดลูกไม่แข็งแรง กล้ามเนื้อปากมดลูกที่อ่อนแอกว่าปกติอาจเกิดจากเคยได้รับบาดเจ็บบริเวณนี้มาก่อน และเป็นสาเหตุให้ปากมดลูกเปิดตัวก่อนกำหนดจนเกิดการแท้งตามมาได้
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome) ภาวะที่รังไข่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในรังไข่ สาเหตุของการมีบุตรยากเนื่องจากจะไปทำให้การผลิตไข่น้อยลง ภาวะนี้อาจมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งของหญิงที่มีบุตรยาก แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ยืนยันได้แน่ชัด
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเชื่อหลายประการที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุของการแท้ง ทั้งที่ปัจจัยต่อไปนี้ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงใด ๆ ต่อการแท้ง
- อารมณ์ของหญิงตั้งครรภ์ การตกใจหรือสะเทือนใจขณะตั้งครรภ์
- การออกกำลังกาย สามารถออกได้ และควรปรึกษาแพทย์ถึงการออกกำลังกายที่เหมาะสม
- การยกของหนักหรือการทำงานขณะตั้งครรภ์อย่างงานที่ต้องนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน
- การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์
- การเดินทางโดยเครื่องบิน
- การรับประทานอาหารรสเผ็ด
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
แท้งแล้วต้องรออีกนานแค่ไหนถึงปล่อยท้องได้?
การแท้งบุตรไม่มีผลโดยตรงต่อความสามารถในการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไป ส่วนมากแล้วผู้ที่เคยผ่านการแท้งมาก็สามารถมีบุตรที่สมบูรณ์แข็งแรงได้ การจะกลับมาตั้งครรภ์อีก ขึ้นกับสาเหตุการแท้งและการทำหัตถการ หรือการรักษา ได้แก่
- หากแท้งครบไม่ได้มีการขูดมดลูก สามารถปล่อยให้ตั้งครรภ์ต่อไปได้เลย หรือแพทย์บางท่านอาจแนะนำให้คุมกำเนิดหรือเว้นช่วงการตั้งครรภ์ไป 1-3 เดือน
- แต่หากมีการขูดมดลูก แนะนำให้เว้นช่วงการตั้งครรภ์ไป 1-3 เดือน
- หากเป็นการผ่าตัดเนื้องอกมดลูกที่ต้องผ่าผ่านผนังมดลูกเข้าไป ทำให้มีแผลที่กล้าม เนื้อมดลูก แนะนำให้เว้นช่วงการตั้งครรภ์ไป 6-12 เดือน
ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยว่าควรปล่อยให้ท้องต่อไปได้เมื่อไรค่ะ
5 วิธีเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับท้องต่อไป
- ด้านจิตใจ การแท้งบุตรอาจเกิดได้จากหลายปัจจัยและส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้เป็นพ่อแม่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ การแท้งอาจพบได้บ่อยและโดยมากเป็นความผิดปกติตั้งแต่ขั้นปฏิสนธิซึ่งคุณทำอะไรได้ไม่มากนัก สิ่งสำคัญคือไม่ควรโทษตัวเองภายหลังการแท้ง ดังนั้นควรทำจิดใจให้สบาย ไม่เครียด เพราะความเครียด เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประจำเดือนมาช้าหรือไม่ปกติ การคำนวนระยะไข่ตกเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ก็ทำได้ยากตามไปด้วย ดังนั้น ควรรีบกลับมาเข้มแข็งเพื่อให้มีแรงในการดูแลร่างกายไวๆ หากมีโอกาส ควรไปเที่ยวพักผ่อนให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นค่ะ
- ด้านร่างกาย พักผ่อนให้เต็มที่ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะช่วยให้ผ่อนคลายจากความตรึงเครียดและยังช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายอีกด้วย หญิงที่กำลังวางแผนมีบุตรควรนอนพักผ่อนวันละ 8 ชั่วโมง
- การกินอาหารที่มีประโยชน์และอุดมด้วยสารอาหารครบถ้วน โดยเน้นรับประทานวิตามินแร่ธาตุให้มากและหลากหลาย
- ออกกำลังกายวันละ 30 นาที ควรเริ่มออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่ดี ควรสำรวจดูว่าควรลดน้ำหนัก เพิ่มน้ำหนัก สร้างกล้ามเนื้อเพิ่ม หรือควรฝึกสมรรถภาพการหายใจของปอดหรือไม่ วิธีออกกำลังกายที่แนะนำ ได้แก่ เดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน แอโรบิค หรือเล่นโยคะ โดยเฉพาะการเล่นโยคะที่ถือเป็นทางเลือกที่ดีเพราะจะได้ฝึกท่าทาง การหายใจ และสมาธิไปในคราวเดียว ทั้งยังสามารถนำไปปรับใช้ขณะคลอดได้ด้วย
- รับประทานอาหารเสริม ควรเริ่มรับประทานกรดโฟลิค ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ 1 เดือน ไปจนถึงระยะตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ในปริมาณวันละ 400 ไมโครกรัมต่อวัน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความพิการทางสมองของทารก ซึ่งเป็นภาวะพิการแต่กำเนิดที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อสมองและไขสันหลังของเด็ก รวมทั้งวิตามินรวมที่ประกอบด้วยวิตามินบี 6 ก่อนตั้งครรภ์จนถึงสัปดาห์แรก ๆ ของการตั้งครรภ์จะช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ ทั้งนี้การใช้ยาหรืออาหารเสริมใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง
สุดท้ายนี้ อยากให้พึงระลึกไว้ว่าอย่าคาดหวังมากจนเกินไป อย่าให้เวลามากดดันว่าจะต้องท้องต่อในทันทีนะคะ เพราะความเครียดอาจส่งผลต่อความสามารถในการตั้งครรภ์ได้ ดังนั้น เมื่อไรที่ร่างกายและจิตใจพร้อม โอกาสก็จะเดินมาหาเราเองค่ะ ทางทีมงาน Amarin Baby & Kids ขอเอาใจช่วยทุกครอบครัวนะคะ
ที่มา
http://haamor.com/th/การแท้งบุตร
อ่านบทความที่น่าสนใจต่อได้ที่นี่
ทำอย่างไร ให้ห่างไกลจาก แท้งซ้ำ
ท้องลมคืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นหรือไม่ คลิก!
7 สาเหตุ สำคัญ ของการแท้ง และวิธีป้องกัน
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่