อยากมีลูก เลี้ยงสุนัขได้ไหม?
คุณผู้อ่านเคยได้ยินความเชื่อนี้ไหมคะว่า “ถ้าอยากมีลูก อย่าเลี้ยงสุนัขเหมือนลูก แล้วลูกจะไม่มาเกิด” ในส่วนนี้เป็นความเชื่อที่เล่ากันต่อๆ มา บ้างก็ว่าจริง บ้างก็ว่าไม่เกี่ยวข้องกัน และในประเด็นที่ว่า “อยากมีลูก เลี้ยงสุนัขได้ไหม?” เป็นคำถามปลายเปิดที่ว่าที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเลี้ยงก็ได้ หรืออย่าเพิ่งนำมาเลี้ยงเลย หรือควรแยกกันอยู่สักพัก เพราะขึ้นอยู่กับความสะดวก และการจัดการพื้นที่ในบ้านของคุณด้วย
ระวังโรค “บาดทะยัก” และ “พิษสุนัขบ้า”
เมื่อมีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน กลุ่มของโรคที่มีความเสี่ยงต่อผู้เลี้ยงส่วนมากคือ โรคพิษสุนัขบ้า และ บาดทะยัก ซึ่งป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่คุณหมอมักจะฉีดให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีประวัติว่าไม่ได้ฉีดมานานแล้ว (การฉีดวัคซีนอยู่ในดุลยพินิจของสูติแพทย์)
วางแผนอยากมีลูก อย่าเพิ่งนำสุนัขมาเลี้ยง จริงหรือ?
ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่พบเชื้อโรคที่อาจทำให้แม่ท้องแท้งโดยมีสุนัขเป็นพาหะ แต่ในอุจจาระแมวจะมีเชื้อปรสิตที่อาจทำให้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้จริง แต่อย่าลืมว่า “โรคพิษสุนัขบ้า” เป็นโรคที่ติดต่อสู่คนได้ ซึ่งหากแม่ท้องถูกสุนัขกัด สามารถฉีดวัคซีนกันพิษสุนัขบ้าได้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการแท้ง
อ่านเรื่อง “อยากท้อง แต่เลี้ยงน้องสุนัขได้ไหม?” คลิกหน้า 2
รู้ใจพันธุ์เจ้าตูบน้อย
ข่าวสุนัขกัดเด็กมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่สุนัขก็ไม่ใช่สัตว์ที่น่ากลัวเสมอไป ก่อนจะนำสุนัขมาเลี้ยง (หรือมีอยู่แล้ว) ต้องเข้าใจลักษณะนิสัยตามสายพันธุ์ของสุนัข ซึ่งบางสายพันธุ์ตัวเล็ก แต่ชอบขบกัด และข่วน ก็อาจจะทำให้ผิวหนังของผู้เลี้ยงเป็นแผลซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อโรคบาดทะยัก บางสายพันธุ์ก็เป็นมิตรกับเด็ก บางพันธุ์ก็มีความรู้สึกขี้น้อยใจเหมือนถูกแย่งความรัก
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า
1. เชื่อว่าโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น
2. เชื่อว่าเมื่อถูกสุนัขกัดต้องใช้รองเท้าตบแผล หรือใช้เกลือขี้ผึ้งบาล์ม หรือยาฉุนยัดในแผล
3. หลังถูกกัดต้องรดน้ำมนต์จะช่วยรักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้
4. เมื่อถูกสุนัขกัด การฆ่าสุนัขให้ตายแล้วนำตับสุนัขมากิน คนก็จะไม่ป่วยเป็นโรคนี้
5. เมื่อถูกสุนัขกัด การตัดหูตัดหางสุนัขจะช่วยให้สุนัขไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
6. คนท้องไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
7. โรคพิษสุนัขบ้าเป็นเฉพาะในสุนัขเท่านั้น
8. วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าฉีดรอบสะดือ 14 เข็ม หรือ 21 เข็ม ถ้าหยุดฉีดต้องเริ่มใหม่ เป็นต้น
ความเชื่อเหล่านี้ทำให้ผู้ที่ถูกสุนัขที่มีเชื้อไวรัส โรคพิษสุนัขบ้ากัดไม่ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลและดีที่สุด ทำให้โอกาสตายมีร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยขณะนี้วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้ามีความปลอดภัยสูง ฉีดเพียง 5 เข็ม และไม่ต้องฉีดทุกวัน
โอกาสที่จะเป็นโรคพิษสุนัขบ้าจากสัตว์กัด ถ้าไม่ทราบว่าสัตว์เป็นโรคหรือไม่ ให้ถือว่าเป็นไว้ก่อน สัตว์ที่มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าที่พบมากที่สุด คือ สุนัข รองลงมา คือ แมว ม้า ลิง และปศุสัตว์ (วัว, ควาย) สัตว์แทะจำพวกหนู กระรอก ผู้ที่ถูกสุนัขหรือสัตว์ที่เป็นโรคกัด โอกาสเป็นโรคโดยเฉลี่ยประมาณ 35% ขึ้นกับบริเวณที่ถูกกัด ถ้าถูกกัดที่ขา โอกาสเป็นโรคประมาณ 21% ถ้าถูกกัดที่ใบหน้า โอกาสเป็นโรคประมาณ 88% ถ้าเป็นแผลตื้น แผลถลอก โอกาสเป็นโรคจะน้อยกว่าแผลลึกหลายๆ แผล
โดยธรรมชาติคนหรือสัตว์จะไม่เกิดโรคพิษสุนัขบ้าขึ้นเองได้ นอกจากจะถูกสัตว์ที่เป็นโรคนี้กัดจนเป็นแผล ตั้งแต่เป็นรอยขีดข่วนมีเลือดออก เป็นแผลฉีกขาดหรือแผลรูลึก หรือถูกเล็บที่ถูกน้ำลาย สัตว์ป่วยขีดข่วนจนเป็นแผลเลือดออก จึงจะเกิดโรคนี้ได้ มีรายงานทางวิชาการกล่าวไว้ว่า เชื้อที่อยู่ในน้ำลายคนป่วย ถ้าเข้าไปในเยื่อที่ปาก จมูกหรือตา จะสามารถทำให้ผู้รับเชื้อเกิดโรคนี้ได้ แต่รายงานภายในประเทศไทยยังไม่พบว่ามีใครติดเชื้อจากผู้ป่วยโดยทางนี้
สาเหตุ
เชื้อไวรัสก่อโรคเรียกว่า Rabies virus จัดอยู่ใน Family Rhabdoviridae, genus Lyssavirus เป็นไวรัสชนิดอาร์เอ็นเอ สายเดี่ยว และมีทั้งหมด 7 types ลักษณะของเชื้อ รูปร่างคล้ายกระสุนปืน ปลายด้านหนึ่งโค้งมนและปลายอีกด้านหนึ่งตัดตรง ถูกทำลายได้ง่ายด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำลาย ทางติดต่อสู่คนที่พบบ่อย คือ ถูกกัด โดยทั่วไปเชื้อจะเข้าทางผิวหนังปกติไม่ได้ แต่อาจเข้าทางผิวหนังที่มีบาดแผลอยู่เดิม หรือรอยข่วน นอกจากนี้ยังเข้าได้ทางเยื่อเมือก ได้แก่ เยื่อบุตา เยื่อบุจมูก เยื่อบุภายในปาก
วิธีการติดต่อของโรค
เชื้อไวรัสออกมากับน้ำลายสัตว์ที่ติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะเข้าสู่ร่างกายคนทางบาดแผลที่สัตว์กัดหรือข่วน หรือน้อยมากที่พบว่าเชื้อสามารถเข้าทางบาดแผลที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ตามผิวหนัง หรือเข้าเยื่อบุของตา ปาก จมูก ที่ไม่มีแผลหรือรอยฉีดขาด การติดต่อจากคนถึงคน สามารถเกิดได้ตามทฤษฎี เนื่องจากมีการพบเชื้อในน้ำลายของผู้ป่วย แต่ไม่เคยมีรายงานยืนยันที่แน่ชัด นอกจากการติดต่อโดยการปลูกถ่ายกระจกตา จากผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า แต่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคของระบบประสาทส่วนกลางการติดต่อโดยการหายใจพบน้อยมาก มีรายงานการติดต่อในถ้ำค้างคาว และในอดีตมีรายงานในห้องปฏิบัติการในต่างประเทศ เนื่องจากมีความเข้มข้นของเชื้อไวรัสในบรรยากาศสูงมากและขณะนั้นไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ การติดต่อโดยค้างคาวดูดเลือด ส่วนใหญ่พบในลาตินอเมริกา สำหรับในสหรัฐอเมริกามีรายงานติดโรคมาสู่คนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม โดยค้างคาวกินแมลง แต่พบได้น้อย
ระยะฟักตัวของโรค
ประมาณ 2-8 สัปดาห์ อาจสั้นเพียง 5 วัน หรือยาวนานเกินกว่า 1 ปี ระยะฟักตัวจะสั้นหรือยาวขึ้นกับปัจจัย บางประการ ได้แก่ ความรุนแรงของบาดแผล ปริมาณของปลายประสาทที่ตำแหน่งของแผล และระยะทางจากแผลไปยังสมอง เช่น แผลที่หน้า ศีรษะ คอ และมือ จะมีระยะฟักตัวสั้น จำนวนและความรุนแรงของเชื้อก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง เครื่องนุ่งห่ม เช่น เสื้อผ้า หรือการล้างแผลจะมีส่วนช่วยลดจำนวนเชื้อลงได้มาก
ระยะติดต่อของโรค
สุนัขและแมวอาจแพร่เชื้อได้ 3 – 10 วันก่อนเริ่มแสดงอาการป่วย (พบน้อยมากที่จะเร็วกว่า 3 วัน) และตลอดเวลาที่สัตว์ป่วย ในสัตว์ป่า เช่น ค้างคาว และสกั้งค์ มีรายงานการปล่อยเชื้อในน้ำลายได้เร็วถึง 8-18 วันก่อนแสดงอาการ
ความไวและความต้านทานต่อการรับเชื้อ
สัตว์เลือดอุ่นที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมทุกชนิดไวต่อโรคนี้ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าคนมีความต้านทานโรคที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
อ่านเรื่อง “อยากท้อง แต่เลี้ยงน้องสุนัขได้ไหม?” คลิกหน้า 3
การแพร่กระจายของโรคพิษสุนัขบ้า
มักเกิดในฤดูหนาวแล้วนำไปสู่การระบาดในฤดูร้อน เนื่องจากหน้าหนาวในประเทศไทย ซึ่งเริ่มประมาณเดือนพฤศจิกายน เป็นฤดูผสมพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด
อาการ
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคที่อันตราย เพราะหากรับเชื้อแล้วไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงที ปล่อยไว้จนปรากฏอาการของโรค ทำให้เสียชีวิตได้ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์เลี้ยงของเราหรือที่พบเห็น โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวอย่าง สุนัขและแมวเป็นโรคนี้ วิธีง่ายๆ คือ หมั่นสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยง ในบ้านของเราเองว่ามีอาการของโรคนี้หรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของพิษสุนัขบ้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นช่วงหน้าร้อน โดยทั่วไปแล้วสุนัขจะแสดงอาการของโรคได้เร็วกว่าคน คือ หลังจากรับเชื้อแล้วประมาณ 1-3 เดือน โดยในสุนัขและแมวที่มีเชื้อนั้น จะมีอาการที่แสดงให้เห็นว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าอยู่ 2 แบบ คือ ชนิดดุร้ายและชนิดเซื่องซึม
1. ชนิดดุร้าย ในสุนัขจะมีอาการผิดไปจากปกติ ถ้าหากล่ามโซ่หรือเลี้ยงไว้ในกรงก็จะมีอาการเดินไปมา กระวนกระวาย พยายามหาทางออก โดยการกัดโซ่ กัดกรงขังจนเลือดออกโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวด วิ่งไปโดยไร้จุดหมาย กัดคน กัดสัตว์ทุกชนิดที่ขวางหน้า น้ำลายฟูมปาก คางห้อย หางตก แววตาน่ากลัว หลังจากนั้นก็จะเริ่มมีอาการอัมพาต ขาหลังไม่มีแรง วิ่งลำบากขึ้น ขณะวิ่งอาจจะวิ่งไปล้มไป เมื่อมีอาการอัมพาตมากขึ้น ขาหน้าก็จะหมดแรง แล้วค่อยๆ ล้มลงหมดสติและตายภายใน 3-6 วัน หลังจากที่แสดงอาการ ส่วนในแมวจะแสดงอาการดุร้ายมากกว่าสุนัข มีอาการพองขน กางอุ้งเล็บออก มีลักษณะหวาดระแวง เตรียมพร้อมที่จะสู้อยู่ตลอดเวลา ส่งเสียงดังเป็นพักๆ มีอาการราว 2-4 วัน ก็จะเริ่มเป็นอัมพาต เคลื่อนไหวได้ช้าลง หมดสติและตายในที่สุด
- ชนิดเซื่องซึม จะสังเกตได้ยาก เพราะแสดงอาการป่วยเหมือนกับสัตว์เป็นโรคอื่นๆ เช่น โรคหวัด ไข้หัดในระยะต้นๆ สุนัขหรือแมวจะหลบไปนอนในที่เงียบๆ ไม่แสดงอาการดุร้าย จะกัดคนหรือสัตว์เมื่อถูกรบกวน หรือเมื่อเอาน้ำ เอายาหรือเอาอาหารไปให้ เมื่ออาการของโรคกำเริบมากขึ้น จะมีอาการอัมพาต ลุกขึ้นเดินไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ และตายในที่สุดและส่วนมากจะตายภายใน 3-6 วัน หลังจากแสดงอาการเช่นกัน
การเก็บตัวอย่างส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์
ถ้าเป็นสุนัขหรือแมว ที่สามารถกักขังไว้ได้ให้ กักสัตว์นั้นอยู่ในบริเวณไม่ให้หนีไปได้ เพื่อเฝ้าดูอาการประมาณ 10 วัน ถ้าสัตว์ แสดงอาการป่วย หรือไม่สามารถกักขังสัตว์นั้นได้ หรือถ้าเป็นสัตว์ชนิดอื่น ให้รีบทำลายสัตว์นั้น และรับส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการทันที เมื่อสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าตายลง ให้ตัดหัวหรือถ้าสัตว์นั้นมีขนาดเล็กให้ส่งตรวจ ได้ทั้งตัว ตัวอย่างที่ส่งตรวจต้องใส่ถุงพลาสติกให้มิดชิด ห่อด้วยกระดาษหลายๆ ขั้น และใส่ถุงพลาสติก อีกชั้นหนึ่ง ปิดปากถุงให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจาย จากนั้นนำใส่ภาชนะเก็บความเย็น ที่บรรจุน้ำแข็ง ปิดฉลาก ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ผู้ส่งตรวจ และวัน เดือน ปี ที่เก็บตัวอย่างส่งตรวจให้ชัดเจน รีบนำส่งห้องปฏิบัติการทันที
สิ่งที่ต้องระวังคือ ผู้ที่ตัดหัวสัตว์ต้องไม่มีแผลที่มือ และต้องใส่ถุงมือยางหนา ซากสัตว์ที่เหลือให้ฝังดินลึกประมาณ 50 ซม. มีดที่ใช้ตัดหัวสัตว์ เครื่องมือที่ใช้ต้องต้มให้เดือด 30 นาที เพื่อฆ่าเชื้อ และบริเวณที่ตัดหัวสัตว์ต้องล้างทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
หากคิดจะเลี้ยงสุนัขอย่าลืมว่าจะต้องนำไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ตามอายุของสุนัข และสิ่งที่ต้องนำมาประเมินมากที่สุดคือเรื่องความสะอาด ว่าครอบครัวของเราสามารถจัดการพื้นที่ในบ้านและทำความสะอาดทั้งที่อยู่ของเราและของเจ้าสุนัขตัวน้อยได้มากแค่ไหน
ที่มาเรื่องวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า : กลุ่มงานควบคุมโรคสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทรา