ยาคุมกำเนิด แบบรับประทานคงเป็นที่รู้จักกันดี และมีคุณแม่หลายคนเคยใช้มาบ้างแล้ว อาจจะด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น เพื่อคุมกำเนิด ลดความมันบนใบหน้าเพื่อลดสิว หรือปรับฮอร์โมนให้สมดุล แต่การรับประทานยาชนิดอื่นๆ ร่วมกับยาคุมกำเนิด อาจส่งผลกับยาคุมได้
ทำความรู้จักกับยาคุมกำเนิด
1.ยาคุมกำเนิดทั่วไป
รับประทานเป็นเวลาแน่นอน มีเป็นรูปแบบแผง ต้องรับประทานทุกวัน หรือจนหมดแผง แล้วหยุด 7 วัน เป็นการคุมกำเนิดที่มีการวางแผนไว้แล้ว
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน เป็นยาคุมกำเนิดที่ใช้รับประทานหลังมีเพศสัมพันธ์ คุมกำเนิดเฉพาะเมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่วางแผน ป้องกันการตั้งครรภ์ เมื่อเกิดความผิดพลาด เช่น ถุงยางอนามัยรั่ว ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดชนิดปกติ ซึ่งยาคุมกำเนิดฉุกเฉินสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้น้อยกว่าชนิดแรก ถึงแม้ว่าจะรับประทานถูกวิธีก็อาจจะทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ และไม่ควรรับประทานยาชนิดนี้บ่อยเกินไป ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
ยาคุมกำเนิดทั้ง 2 ชนิดประกอบด้วยฮอร์โมนหนึ่ง หรือสองชนิด เมื่อรับประทานเข้าไป จะทำให้มีฮอร์โมนในร่างกายสูงขึ้น ส่งผลให้ป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ถ้ามีอะไรที่ทำให้ร่างกายมีฮอร์โมนไม่สูงเพียงพอ ยาก็จะมีฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ลดลง
มียาหลายชนิดที่ทำให้ยาคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพลดลง และมีผลกระทบทำให้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ และอาจทำให้ตั้งครรถ์ได้
อ่านต่อ “ยาที่ทำให้ฤทธิ์ยาคุมกำเนิดลดลง” คลิกหน้า 2
ยาที่ทำให้ฤทธิ์ยาคุมกำเนิดลดลง
- Carbamazepine (Tegretol)
- Oxcarbazepine (Trileptal)
- Phenytoin (Dilantin)
- Primidone
- Topiramate (Topamax)
- Rifampicin
- Griseofulvin
- ยาต้านไวรัสกลุ่ม Protease Inhibitors บางตัว เช่น Ritonavir (Norvir), Nelfinavir (Viracept), Lopinavir (Kaletra), Saquinavir (Fortovase)
- Nevirapine (Viramune)
3.ยาฆ่าเชื้อรากลุ่ม Azole เช่น Fluconazole (Diflucan), Itraconazole (Sporal), Ketoconazole (Nizoral) อาจทำให้ประจำเดือนมากะปริบกะปรอยได้
4.สมุนไพร St John’s Wort เป็นยาที่ทำให้เอนไซม์ที่มีหน้าที่ขับยาฮอร์โมนออกไปจากร่างกายเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ทำให้ฮอร์โมนถูกขับออกจากร่างกาย
5.ยากลุ่ม Penicillins เช่น Ampicillin, Amoxicillin ฯลฯ และยากลุ่ม Tetracyclines เช่น Tetracycline, Doxycycline เป็นยาที่รบกวนเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ที่มีหน้าที่เพิ่มการดูดซึมกลับมาของยาฮอร์โมน จากลำไส้ใหญ่ เข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้ง ทำให้ยาฮอร์โมนมีประสิทธิภาพลดลง มีผลต่อการคุมกำเนิดชนิดที่เป็นยาผสมระหว่างเอสโตรเจน และโปรเจสโตเจนเท่านั้น
อ่านต่อ “ยาที่ทำให้ฤทธิ์ยาคุมกำเนิดเพิ่มขึ้น” คลิกหน้า 3
ยาที่ทำให้ฤทธิ์ยาคุมกำเนิดเพิ่มขึ้น
2.Acetaminophen (Paracetamol) เกิดการแข่งขันแย่งกันทำปฏิกิริยาซึ่งทำให้ยาฮอร์โมนหมดฤทธิ์ ทำให้มียาฮอร์โมนที่เกิดปฏิกิริยาแล้วหมดฤทธิ์ในร่างกายมีน้อยลง และมีฮอร์โมนที่ยังอยู่ในรูปที่ออกฤทธิ์สูงมากขึ้น ไม่มีความสำคัญในแง่ฤทธิ์ยา แต่มีความสำคัญคืออาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงจากยาฮอร์โมนที่มีระดับเพิ่มขึ้นได้ เช่น คลื่นไส้, อาเจียน, เวียนศีรษะ
วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ
ถ้าคุณแม่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้จริงๆ และรู้ดีว่าประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดต้องลดลงอย่างแน่นอน ให้ลองเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อเป็นการป้องกันอีกชั้นหนึ่ง เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือควรเว้นระยะห่างการมีเพศสัมพันธ์ หลังจากที่รับประทานยาที่ทำให้ยาคุมกำเนิดลดลง 4 สัปดาห์
อ่านเพิ่มเติม คลิก!!
กินยาคุม ทำไมยังท้องได้
คุมกำเนิดหลังคลอด ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ให้นม
ความเข้าใจผิด และถูกเรื่องการคุมกำเนิด
Save