ลูกฉลาดเหมือนใคร …เชื่อว่าคงมีหลายบ้านที่ต้องมีความคิดอยู่บ้างว่า นอกจากเพศ หรือรูปร่างหน้าตาแล้ว คงจะสงสัยว่า ลูกจะฉลาดเหมือนใครกันนะ ระหว่างพ่อกับแม่?
ซึ่งในเรื่องของการสืบทอดสติปัญญา หรือการรับยีนแห่งการเรียนรู้ ของทารกนั้น ทาง รศ.ดร.นัยพินิจ คชภักดี ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ยีนแห่งการเรียนรู้ หรือยีนความฉลาด คือ ศักยภาพความเฉลียวฉลาดที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เป็นเด็กฉลาด และมีความใฝ่รู้เป็นพื้นฐานของชีวิต ทำให้มีความกระตือรือร้นอยากที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆตลอดเวลา อยากรู้อยากเห็น และช่างสังเกตเรื่องราวรอบๆ ตัวเสมอ ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่พ่อแม่เป็นคนเก่ง มีสายพันธุ์ที่ดี เด็กที่เกิดมาก็จะมีศักยภาพที่ดีติดตัวมาด้วย ความฉลาด แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ
- ด้านคณิตศาสตร์การคำนวณ คือมีความเข้าใจและสามารถคิดคำนวณเลขระดับพื้นฐาน ไปจนถึงแคลคูลัส และเลขระดับขั้นสูงต่างๆ
- ด้านภาษาการสื่อสารที่ดี พูดภาษาได้คล่องแคล่ว สามารถสื่อสารกับผู้คนได้อย่างว่องไว รู้ความหมาย และรู้คำศัพท์ได้ดี
- ด้านมิติสัมพันธ์คือมีความเข้าใจเรื่องมิติความสัมพันธ์ของสถานที่ กาลเวลา รู้ว่าอะไรมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างไรในมิติสัมพันธ์ของกาลเวลา สถานที่ โดยผ่านการทดสอบแบบการต่อรูปภาพ เข้าใจรูปภาพหรือเรื่องราวในรูปแบบ 2 มิติ 3 มิติ 4D รวมไปถึงเข้าใจโจทย์ปัญหาทางวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ด้วย
ทั้งนี้ โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ยังบอกอีกว่าความเฉลียวฉลาดในตัวเด็กๆ นอกจากทักษะข้างต้นแล้ว ยังสังเกตได้จากความสามารถทางด้านดนตรี ความสามารถทางศิลปะ การมีวาทศิลป์ในการจูงใจคน เช่น ครอบครัวหนึ่ง คุณพ่อเป็นนักดนตรีที่เก่งมาก หรือร้องเพลงได้ไพเราะ สังเกตได้ว่าลูกที่เกิดมา ก็จะมีความสนใจในเรื่องดนตรี หรือการร้องเพลงเป็นพิเศษ หรือที่เรียกว่ามีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีได้ดีร้องเพลงได้เพราะ เป็นต้น
ปัจจัยสิ่งแวดล้อม ช่วยสร้างยีนการการเรียนรู้ได้
นอกจากยีนการเรียนรู้ หรือยีนความฉลาดจะถูกถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Nature) มีมาโดยกำเนิดแล้วความฉลาด และการเรียนรู้ของเด็กๆ ยังมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Nurture) เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การอบรมเลี้ยงดู การมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง รับประทานอาหารที่ดี รวมไปถึงการมีโอกาสที่ได้รับประสบการณ์การกระตุ้นพัฒนาการที่ดีในวัยเด็ก หรือได้รับการศึกษาที่ดี ก็สามารถกระตุ้นให้เด็กๆ เกิดกระบวนการการเรียนรู้ที่ดี และนำไปสู่ความเฉลียวฉลาดได้เหมือนกัน โดยมีการศึกษาในเด็กที่ไม่มียีนการเรียนรู้ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ในช่วงวัยเด็ก พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างดี มีการกระตุ้นพัฒนาการที่ดี ให้ความดูแลเอาใจใส่ และให้โภชนาการที่ดีนั้น จะทำให้ยีนในตัวเด็กเกิดการเปลี่ยนรหัส และสามารถเติมลักษณะบางอย่างเข้าไป เรียกว่า Epi Genetic คือ ปรากฏการณ์ที่เหนือกว่าพันธุกรรมแสดงว่ายีนสามารถปรับเปลี่ยนให้มีการเรียนรู้ และฉลาดขึ้นได้
ลูกฉลาดเหมือนใคร ? นักวิจัยพิสูจน์แล้ว ลูกจะสืบทอดสติปัญญาจากคนนี้มากกว่า!!
และสำหรับคำถามที่ว่าแล้วลูกจะฉลาดเหมือนใคร? โดยเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นพบมานานแล้วว่า ยีนความฉลาดของมนุษย์เรา จะอยู่ในโครโมโซม X ซึ่งเป็นโครโมโซมที่ผู้หญิงจะมีสองตัว ส่วนผู้ชายจะมีแค่โครโมโซมตัวเดียว
ทำให้อาจได้ข้อสรุปว่าระดับสติปัญญาจากแม่ จะตกทอดสู่รุ่นลูกได้มากกว่าจากพ่อ ซึ่งงานวิจัยชิ้นล่าสุดของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ก็ได้ออกมาช่วยยืนยันแล้วว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องจริง!
โดยทีมนักวิจัยได้ทำการสำรวจจากกลุ่มคนอายุ 14 – 22 ปี จำนวน 30,000 คน เป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ปี 1994 โดยจะมีการทดแบบทดสอบ และการสัมภาษณ์ต่างๆ ระหว่างลูก แม่และพ่อของผู้เข้าร่วมวิจัย ซึ่งพวกเขาก็ได้คำตอบว่าสติปัญญาของลูกจะได้จากแม่ มากกว่าพ่อเป็นเรื่องจริง!!
อ่านต่อ >> “ข้อพิสูจน์ ลูกได้รับความฉลาดจากแม่มากกว่าพ่อจริงหรือ?” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ การเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับยีนสติปัญญาของหนูทดลอง โดยทีมวิจัยได้ค้นพบว่าหนูที่มียีนตกทอดจากแม่มากกว่า จะมีขนาดสมองที่ใหญ่กว่า แต่ลำตัวจะเล็กกว่า ตรงกันข้ามกับหนูที่มียีนจากพ่อมากกว่า ซึ่งจะมีขนาดสมองที่เล็กกว่า แต่ลำตัวจะใหญ่กว่า
และยีนความฉลาดที่ตกทอดจากแม่มาสู่ลูกจะพบได้มากในบริเวณ Cerebral Cortex (เปลือกสมอง) ซึ่งเป็นส่วนที่คอยสั่งการใช้ความคิดเชิงตรรกะ เช่น การเรียนรู้ภาษาหรือการวางแผน
และเมื่อเปรียบเทียบกับ ยีนที่ตกทอดมาจากรุ่นพ่อแล้ว นักวิจัยพบว่ายีนชนิดนี้จะพบได้มากในบริเวณระบบลิมบิค (Lymbic System) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับกลไกการสืบพันธุ์ อาหาร และความโกรธเกรี้ยว
จากการค้นพบดังกล่าวทำให้ทฤษฏีที่ว่า ลูกได้รับความฉลาดจากแม่มากกว่าพ่อ ก็ดูว่าจะเป็นเรื่องจริง ที่ไปในทางเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.catdumb.com
ที่มา: Independent, psychology-spot
ยีนการเรียนรู้ถูกเปิด ถูกปิด ตอนไหน?
มีการวิจัยระบุว่ายีนแห่งการเรียนรู้ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั้น มีโอกาสที่จะถูกปิดลงได้ ซึ่งเกิดขึ้นได้ถ้าช่วงระหว่างตั้งครรภ์ 3 เดือนก่อนคลอด แม่มีภาวะเครียดมีระดับฮอร์โมนความเครียดมาก จะส่งผลให้ยีนที่สร้างอารมณ์แจ่มใส ร่าเริง และยีนที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ของลูกถูกปิดลง และยีนหลายตัวจะถูกเปิดออก เช่น ยีนทำให้เด็กมีความอ่อนไหวด้านอารมณ์ของความเครียดสูง กลายเป็นเด็กที่ไวต่อความเครียดได้ง่าย แต่ถ้าเด็กๆ ได้รับการดูแลที่ดี ส่งเสริมพัฒนาการดีได้รับความรัก ความอบอุ่น และ ให้โภชนาการที่ดี
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมที่จะทำให้เกิดยีนการเรียนรู้ หรือยีนความฉลาด ขึ้นอยู่กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่มีผลไม่ว่าลูกของเราจะมียีนการเรียนรู้อยู่ในตัวหรือไม่ถ้าพ่อแม่ส่งเสริมพัฒนาการให้เหมาะตามวัย กระตุ้นในสิ่งที่ลูกชอบ ก็จะเกิดการพัฒนา และนำไปสู่การเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดี เป็นเด็กฉลาดสมวัยได้
กระตุ้นพัฒนาการสมองเมื่อไรดี?
นับตั้งแต่ไข่จากแม่และตัวอสุจิจากพ่อมาผสมกัน เกิดเป็นหน่วยชีวิตเล็กๆที่เรียกว่า เซลล์ จากเซลล์เพียงเซลล์เดียวก็จะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยเกิดเป็นเซลล์ที่สร้างระบบอวัยวะต่างมากมายจนเกิดเป็นลูกน้อยอยู่ในท้องของคุณแม่ เซลล์สมองก็เช่นเดียวกับเซลล์ของระบบอวัยวะอื่น กล่าวคือจะเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์เช่นเดียวกันและจะมีการเพิ่มทั้งจำนวนและขนาด เกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองและเชื่อมโยงกันเองเกิดเป็นข่ายใยเส้นประสาทอย่างมากและรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่ลูกน้อยมีอายุประมาณ 8 สัปดาห์ เรื่อยไปจนถึงคลอดออกมาแล้วมีอายุ 2 ขวบ หลังจากนั้นพัฒนาการของสมองก็จะลดลง ดังนั้นช่วงทองที่ควรจะกระตุ้นพัฒนาลูกน้อยจึงควรเป็นช่วงเวลาดังกล่าว
√ ทางลัดวิธีกระตุ้นลูกน้อยให้สมองดีตั้งแต่อยู่ในท้องแม่
การที่คนเราจะมีสมองดีหรือมีความเฉลียวฉลาดมีปัจจัยที่มาเกี่ยวข้องหลายประการ ปัจจัยที่สำคัญมี 3 ประการ คือ กรรมพันธุ์ อาหารการกินของแม่ขณะตั้งครรภ์และของลูกภายหลังคลอด และประการสุดท้ายคือสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กทั้งขณะที่อยู่ในท้องและภายหลังคลอด
ปัจจัยทางกรรมพันธุ์เป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ พ่อแม่ที่เฉลียวฉลาดก็จะถ่ายทอดลักษณะที่ดีนี้มาให้ลูกได้ เหมือนกับโรงงานไหนที่ผลิตสินค้าที่คุณภาพดี ก็จะผลิตแต่สินค้าคุณภาพดี แต่บางโรงงานที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าได้แค่เพียงสินค้าคุณภาพต่ำ ผลิตอย่างไรสินค้าก็คุณภาพดียาก คุณแม่คงจะเห็นได้ว่าเด็กบางคนพ่อแม่ไม่ได้ให้การดูแลอะไรเป็นพิเศษทั้งขณะตั้งครรภ์หรือหลังคลอดแล้ว ก็ยังฉลาดได้เลย
พ่อแม่ที่คิดว่าตัวเองสมองไม่ค่อยดีก็อย่าเพิ่งสิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะความเฉลียวฉลาดของคนเรายังขึ้นกับ อาหารการกินและสิ่งแวดล้อมดังกล่าวแล้วอีกด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้นำมาซึ่งแนวคิดในการกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั่นเอง
อ่านต่อ >> 5 ทางลัดวิธีกระตุ้นลูกน้อยให้สมองดี แบบง่ายๆ คลิกหน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
การกระตุ้นพัฒนาการของสมองลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งมีวิธีที่ทำได้ง่ายๆ ไม่สิ้นเปลือง และไม่เป็นอันตรายให้คุณแม่ลองนำไปปฏิบัติดูนะคะ
1. แม่ท้องต้องทำให้อารมณ์ดีอยู่เสมอ
คนอารมณ์ดีย่อมมีความสุขกว่าคนอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่าคุณแม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอนดอร์ฟิน ออกมาผ่านไปทางสายสะดือไปยังลูกทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) ในทางตรงกันข้ามคุณแม่ที่มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความเครียดที่เรียกว่า อะดรีนาลิน (adrenalin) ออกมาผ่านไปยังลูก ผลดังกล่าวจะทำให้ลูกคลอดออกมาเด็กงอแง เลี้ยงยาก พัฒนาการช้า ฟังดูแล้วจะว่าทำได้ง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะบางคนไม่ใช่คนที่จะปล่อยวางอะไรได้ง่ายๆ หรือเป็นคนเครียดตลอดเวลา ถ้าต้องมาปรับอารมณ์ให้ดี อาจจะเครียดจากการปรับอารมณ์หรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
2. ฟังเพลง อ่านหนังสือ และพูดคุยกับลูก
ระบบประสาทการรับฟังของลูกน้อยในครรภ์จะเริ่มทำงานตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน การใช้เสียงกระตุ้นจะทำให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น เสียงที่ดีที่ควรใช้ในการกระตุ้นก็คือ เสียงเพลง โดยเฉพาะเพลงที่มีความไพเราะและคุณแม่ชอบฟัง ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงคลาสสิคอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะบางเพลงถ้าฟังไม่ดีอาจจะประสาทรับประทานก็ได้ เวลาคุณแม่ฟังเพลง ควรจะเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดังพอประมาณเพื่อลูกในครรภ์จะได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย การที่ลูกในครรภ์ได้รับฟังเสียงเพลงคลื่นเสียงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินมีการพัฒนาระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมา มีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆได้ดี
♥ Must read : แม่ท้องฟังเพลง คลาสสิค-โมสาร์ท ช่วยให้ทารกฉลาดขึ้นจริงหรือ?
รวมไปถึงการพูดคุยกับลูกในครรภ์บ่อยๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อยๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย อย่าไปเล่าเรื่องทุกข์ใจ เช่น เป็นหนี้เขาอยู่ หรือส่งแชร์ไม่ทัน ให้ลูกฟังนะครับ เพราะเดี๋ยวลูกจะเครียดเสียตั้งแต่อยู่ในท้อง
3. ลูบหน้าท้อง และส่องไฟที่หน้าท้อง
การลูบหน้าท้องจะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น การลูบท้องควรลูบเป็นวงกลม จะจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน บริเวณไหนก่อนก็ได้
♥ Must read : 5 วิธี สัมผัสผิวท้อง ลูกจะตอบสนองเก่ง!
ลูกน้อยในครรภ์สามารถกระพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน การส่องไฟที่หน้าท้องจะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นภายหลังคลอด การส่องไฟที่หน้าท้องไม่จำเป็นต้องไปเล็งว่าแสงจะเข้าตรงกับนัยน์ตาของลูกหรือเปล่าหรอก คุณแม่บางคนมาขอให้หมอตรวจอัลตราซาวด์เพื่อหาตำแหน่งของนัยน์ตาลูกก็มี เอาแค่ให้ลูกรู้ว่ามีแสงส่องเข้ามาก็น่าจะพอแล้ว
♥ Must read : ไฟฉายส่องท้อง กระตุ้นการมองเห็นของลูกได้จริงหรือ???
4. ออกกำลังกาย
เวลาคุณแม่มีการออกกำลังกาย ลูกที่อยู่ในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก ผลดังกล่าวจะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น
5. รับประทานอาหารที่เหมาะสม
เนื้อสมองของลูกน้อยในครรภ์มีองค์ประกอบเป็นไขมันโดยเฉพาะไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 60 กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ความสำคัญต่อพัฒนาการสมองของลูกน้อยในครรภ์คือ กรดไขมันที่มีชื่อว่า DHA ซึ่งมีมากในอาหารปลาพวกปลาทะเลและสาหร่ายทะเล และ ARA ซึ่งมีมากในอาหารพวกน้ำมันพืช เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเม็ดทานตะวัน และน้ำมันข้างโพด การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารดังกล่าวให้เพียงพอจะทำให้ลูกในครรภ์ได้รับวัตถุดิบคุณภาพดีในการสร้างเนื้อสมองและระบบเส้นใยประสาทให้มีคุณภาพดีตามไป
♥ Must read : 13 สารอาหารสำคัญ เพื่อลูกรักฉลาด ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่า ลูกจะฉลาดเหมือนใคร หรือมีรูปร่างหน้าตาเหมือนใคร เมื่อคุรพ่อคุรแม่ได้ทำให้ลูกน้อยเกิดมาแล้ว ก้ขอเพียงให้ความรักและเลี้ยงดูลูกน้อยให้เป็นคนดี เพียงเท่านี้เด็กๆ ก็จะสามารถเติบโตและใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีความสุขได้ แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนโชคดีมีลูกน่ารักและเฉลียวฉลาดสมดังที่ตั้งใจนะคะ
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!
- 7 พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในครรภ์ฉลาด
- ลูกฉลาด หรือไม่ ดูที่พ่อแม่จริงหรือ!?
- วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว พ่อแม่ที่มีลูกเก่งและฉลาด ต้องมีสิ่งเหล่านี้!
ขอบคุณข้อมูลจาก : รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา Faculty of Medicine Siriraj Hospitalคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล www.si.mahidol.ac.th