ผ่าคลอด กับ คลอดเอง แม่ท้องจำนวนไม่น้อยนึกสงสัยและลังเลใจว่า ตัวเลือกไหนที่จะปลอดภัยและดีกว่า ระหว่างการผ่าคลอด หรือ คลอดธรรมชาติ ซึ่งแต่ละวิธีต่างก็มีข้อดี ข้อเสีย และประโยชน์ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อเท็จจริงของทั้งสองตัวเลือกในการคลอดลูกมาฝากกันค่ะ
ผ่าคลอด กับ คลอดเอง – คลอดลูกอย่างไรให้ปลอดภัย?
การคลอดลูกที่ดีที่สุดคือการคลอดตามธรรมชาติ ถือเป็นมาตรฐาน และมีความปลอดภัยสูง ในขณะที่การผ่าตัดคลอดก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดีมากสำหรับการทำคลอดเช่นกัน ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการทำคลอดคือ “แม่รอด ลูกปลอดภัย” ดังนั้นการเลือกวิธีจึงต้องขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ต้องพิจารณาเป็นสำคัญ
แต่ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าอัตราการผ่าคลอดทางหน้าท้องมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน เนื่องจากมีการร้องขอจากคุณแม่และญาติในการกำหนดวันเวลาที่จะคลอดตามฤกษ์ หรือตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ ซึ่งในตอนนี้กลายเป็นค่านิยมไปเสียแล้ว ถึงแม้คุณแม่มีสิทธิ์เลือกได้ว่าอยากจะคลอดแบบไหน แต่ในฐานะสูตินรีแพทย์ หรือแม้กระทั่งนโยบายของภาครัฐ ก็ยังคงสนับสนุนให้ทำคลอดโดยยึดตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์มากกว่าความเชื่อเรื่องดวงหรือโหราศาสตร์อยู่ดี
สำหรับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่กล่าวถึงนั้น ยกตัวอย่างเช่น ครรภ์เป็นพิษ เด็กตัวใหญ่เกินไป อุ้งเชิงกรานของคุณแม่เล็ก ความดันโลหิตสูง เด็กเจริญเติบโตช้าในครรภ์ น้ำคร่ำน้อย ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดเป็นเวลานานๆ หรือแม้กระทั่งมีภาวะการคลอดผิดปกติอย่างปากมดลูกเปิดช้า ฯลฯ เหล่านี้คือข้อบ่งชี้ที่แพทย์มักแนะนำให้คุณแม่ผ่าตัดคลอดทั้งสิ้น ซึ่งการผ่าตัดคลอดในปัจจุบันค่อนข้างปลอดภัยกว่าในอดีต เพราะเทคโนโลยีด้านเวชศาสตร์และทารกในครรภ์ก้าวหน้ามากขึ้น รวมถึงเทคนิคการผ่าตัด เครื่องมือทันสมัย และบุคลากรที่มีฝีมือด้วย ส่วนคุณแม่ที่มีสุขภาพดีและไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ ก็สามารถคลอดธรรมชาติได้อย่างไม่มีปัญหา หากไม่กลัวเจ็บไปเสียก่อน
อ่านต่อ >> “ข้อดี ข้อเสีย ของการผ่าคลอด กับ คลอดธรรมชาติ” หน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ผ่าคลอด และ คลอดธรรมชาติ กับ ข้อดีและข้อเสีย มีอะไรบ้าง?
คลอดเอง |
||
ข้อดี |
|
|
ข้อเสีย |
|
|
ก่อนถึงกำหนดคลอดคุณแม่ควรศึกษาข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละวิธีให้ละเอียดเสียก่อน เช่น ค่าใช้จ่าย การสูญเสียเลือด ความเจ็บปวดของแผลผ่าตัด การดูแลตัวเองหลังคลอด ภาวะแทรกซ้อนหรือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้สิ่งที่คุณแม่ควรให้ความสำคัญคือ การวางแผนการคลอด (Birth Plan) กับคุณหมอสูติฯ ล่วงหน้า เพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือความรู้กัน ซึ่งจะส่งผลให้การคลอดออกมาดีที่สุดและเป็นที่น่าพอใจของทุกฝ่าย
ไม่ว่าจะเลือกคลอดแบบใด อย่าลืมคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองและลูกเป็นหลัก ศึกษาหาข้อมูลให้รอบด้าน จัดทำแผนการคลอด เลือกสถานบริการที่มีความพร้อมและความสามารถในการวินิจฉัยของทีมแพทย์และพยาบาล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือการสูญเสียใดๆ ตามมานะคะ
อ่านต่อ >> “เด็กผ่าคลอดเสี่ยงเป็นภูมิแพ้จริงหรือไม่?” หน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
เด็กที่ผ่าคลอด เสี่ยงเป็นภูมิแพ้มากกว่า
มีการศึกษาวิจัยจากทีมกุมารแพทย์ที่ดูแลเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อพบว่า เด็กที่คลอดด้วยการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง เสี่ยงต่อการเป็นภูมิแพ้หรือเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าเด็กที่คลอดธรรมชาติ ในช่วงตั้งแต่แรกเกิดถึง 2 ขวบปีแรก เนื่องจากเด็กที่คลอดธรรมชาติจะได้รับจุลินทรีย์หรือจุลชีพที่เป็นประโยชน์ผ่านทางช่องคลอดของแม่ โดยจุลินทรีย์ตัวนี้จะไปช่วยสร้างภูมิต้านทาน ทำให้เด็กที่คลอดธรรมชาติมีสุขภาพแข็งแรงและไม่เจ็บป่วยง่าย ขณะที่เด็กผ่าคลอดจะไม่ได้รับจุลินทรีย์ตัวนี้ ทำให้ร่างกายขาดการกระตุ้นภูมิต้านทาน แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถให้เด็กได้รับจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์นี้ด้วยการกินนมแม่อย่างเพียงพอ
คำถาม-คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ “คลอดธรรมชาติ VS ผ่าคลอด”
Q: หากท้องแรกผ่าคลอด ท้องสองต้องผ่าคลอดไหม
A: ในต่างประเทศหรือประเทศที่พัฒนาแล้ว สามารถให้คุณแม่กลับมาคลอดธรรมชาติได้ในท้องที่สอง โดยไม่ต้องผ่าคลอด เรียกวิธีนี้ว่า Vaginal Birth After Cesarean (VBAC) การคลอดแบบนี้ต้องเฝ้าระวังเรื่องแผลมดลูกปริแตกอย่างใกล้ชิด ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายสูง ในขณะที่บ้านเรา โรงพยาบาลส่วนมาก มักจะให้ผ่าคลอดในท้องที่สอง เพราะบุคลากรหรือเครื่องมือเรามีไม่เพียงพอ หากดูแลไม่ใกล้ชิดพอ ก็เสี่ยงต่อการเสียชีวิตของคนไข้เนื่องจากแผลมดลูกปริแตกได้ แต่ปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งสามารถทำวิธีนี้ได้แล้ว
Q: การผ่าคลอด มีผลต่อการให้นมแม่หรือไม่
A: พบว่าไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ในรายที่ผ่าคลอดอาจมีปัญหาเรื่องการเจ็บแผล เพลียและเหนื่อยง่ายเนื่องจากเสียเลือดมาก ทำให้เป็นอุปสรรคในการให้นมบ้าง
Q: การคลอดเอง ทำให้ช่องคลอดหย่อนยานจนต้องทำรีแพร์จริงหรือไม่
A: กรณีนี้อาจมีผลต่อคุณแม่ที่มีลูกมาก คือคลอดลูกเกิน 4 คน และคุณแม่ที่มีอายุมาก อาจทำให้คอลลาเจนลดน้อยลง ถือเป็นความเสื่อมตามอายุ นอกจากนี้อาจเกิดได้จากขนาดตัวเด็กขณะคลอด การเบ่งคลอดไม่ถูกวิธีก็มีผลเช่นกัน ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
Q: ผลจากการบล็อคหลังทำให้คุณแม่ปวดหลัง แม้จะผ่านไป 10 ปีแล้วจริงหรือไม่
A: การบล็อคหลังไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่มีอาการปวดหลังเลย อาจเป็นปัญหาเก่าของร่างกายคุณแม่มากกว่า อาการปวดหลังหรือปวดหัวนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ขณะที่คุณแม่อยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 24-48 ชั่วโมง แต่หากคลอดไปเป็นปีแล้วมีอาการปวดหลังคงไม่ใช่จากการบล็อคหลังแน่นอน
การคลอดลูก ไม่ว่าจะด้วยวิธีการเบ่งคลอดธรรมชาติ หรือด้วยวิธีการผ่าคลอด ล้วนแล้วก็มาจากความตั้งใจที่แม่คนหนึ่งต้องการให้ลูกมีความปลอดภัยมากที่สุด คลอดออกมาด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ครบ 32 ประการ และถึงแม้ว่าการคลอดลูกทั้งสองวิธีนี้จะมีข้อดี ข้อเสีย ซึ่งเมื่อถึงเวลาคลอดหนึ่งในสองวิธีที่ใช้ในการคลอดลูก จะต้องเป็นไปตามคำแนะนำจากแพทย์ที่ดูแลการคลอดให้เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยกับตัวคุณแม่และลูกน้อย …ด้วยความใส่ใจและห่วงใยค่ะ
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อบทความเรื่องอื่นที่น่าสนใจคลิก!
อาการหนาวสั่นหลังคลอดลูก เกิดจากอะไร?
คลอดลูกแล้วประคบร้อนทันที เสี่ยงตกเลือด?
น้ำคาวปลา หลังคลอดลูก คืออะไร ?
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ผศ.นพ. มานพชัย ธรรมคันโธ หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อทางนรีเวชและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สตรี ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสาร Amarin Baby & Kids