จากกรณีดัง สู่ความรู้ที่คุณแม่ท้องทุกคนต้องใส่ใจ พร้อมบอกต่อวิธีสังเกตเบื้องต้น ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือไม่?
วิธีสังเกต ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือไม่
ตอนเช้ามาตรวจตามนัดเจาะเลือดไปตรวจ หมอแจ้งว่า “ลูกผมน่าจะหลุด” หมอจึงลงความเห็นในใบรับรองแพทย์ว่าแท้ง
ผมและภรรยาเสียใจมาก ผมเครียด นอนก็ไม่ค่อยหลับ ทั้งที่อาการที่มีเลือดออก ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดท้องเลยแม้แต่นิดเดียว และได้นัดมาตรวจอีกครั้งในสัปดาห์ต่อมา ตรวจเลือดอย่างเก่า แฟนผมบอกว่า มีอาการแพ้ท้อง ซึ่งก็แพ้จริง ๆ ครับ อ้วกทุกวัน กินอะไรก็ไม่ได้ หมอตรวจผมเลือดและผลฉี่ ก็เลยวินิจฉัยมาอีกว่า ตั้งครรภ์ ผมกับภรรยา รู้สึกดีใจ แต่ก็ยังงง ๆ กับคำวินิจฉัยของหมอท่านนี้
ซึงเป็นหมอคนเดียวที่ตรวจอาการทุกครั้ง และนัดอีกครั้ง ในวันที่ 27 มีนาคม 61 (เมื่อวาน) ผมไปกับภรรยาด้วยครับครั้งนี้ เนื่องจากผมยังมีข้อสงสัยหลายอย่างอยากจะสอบถามหมอ วันนี้หมอนัดเจาะเลือดเหมือนเดิม และปัสสาวะ พอถึงเวลาตรวจประมาณ 13.30 ผมขอเข้าไปรับฟังด้วย ทีแรกหมอก็แจ้งว่าปกติแล้ว ไม่ให้ญาติเข้าร่วมรับฟัง และให้ผมออกมารอข้างนอก ประมาณ 10 นาที ให้พยาบาลเรียกผมเข้าไปฟัง หมอแจ้งว่า “แท้ง” ผมก็เลยถามหมอ
” สรุปลูกผมแท้งหรือครับ แต่ท้องมันโตขึ้น และคลำพบก้อนที่ท้องด้วย “
คุณหมอก็เลย พูดว่า มันไม่เกี่ยว อาจจะเป็นไขมัน เพราะเราอ้วน (ทั้ง ๆ ที่แฟนผมเป็นคนตัวเล็กน้ำหนักแค่ 42-43 เองครับ) นี่ล่ะที่สาเหตุไม่ให้ญาติ เข้ารับฟัง เพราะมาซักถาม ก็ไม่จบสักที ผมแจ้งว่า อยากอัลตร้าซาวด์ แต่คุณหมอบอกว่า ซาวด์ยังงัยก็ไม่เจอ เพราะฮอร์โมนมันไม่ถึง
และก็เชิญให้ผมออกนอกห้อง โดยที่ผมไม่ได้รับความชัดเจนอะไรเลย หลังจากผมออกมาจากห้อง แฟนผมเล่าให้ฟัง คุณหมอแจ้งว่า เด็กหลุดแล้ว แต่จะหลุดตั้งแต่ช่วงไหน อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ตรวจฉี่ยังไงมันก็เจอการตั้งครรภ์ เพราะจะต้องให้ฮอร์โมน มันถึง 0 ก่อนถึงจะตรวจไม่เจอ
ผมนี้ทั้งเสียใจและคลางแคลงใจว่าทำไมหมอไม่ตรวจ ไม่ซาวด์ดูเพื่อความแน่ใจ ว่าท้องปกติมั้ย หลังจากที่ให้ผมออกมาจากห้องตรวจ ผมได้เดินไปบอกพยาบาลที่เคาท์เตอร์ว่า “ผมขอผลตรวจเลือดและฮอร์โมนทั้งหมดนะครับ ผมจะไปตรวจต่อที่อื่น เพราะที่นี่คุณหมอบอกว่าแท้ง และไม่ซาวด์ให้ผมได้รับความชัดเจน”
พอพยาบาลออกใบผลตรวจเลือดให้มาครบทุกใบตั้งแต่เริ่มเข้ามารักษา ผมจึงไปตรวจที่อีกโรงพยาบาล ผลปรากฏว่า แฟนผมยังตั้งครรภ์อยู่ และลูกผมดิ้นเก่งมาก หัวใจเต้น 167 มีอวัยวะครบทุกส่วน ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 12 สัปดาห์ แต่มีเนื้องอกในมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มีเลือดออกในระหว่างตั้งครรภ์
คุณหมอที่นี่ แนะนำดีมาก และให้ผมอยู่ร่วมรับฟังและดูการตรวจตลอดเวลา พร้อมทั้งให้ผมสอบถามได้ทุกเรื่อง และอธิบายให้ผม เข้าใจอย่างชัดเจน ตอนนี้ผมยิ้มได้ ที่ได้เห็นได้รับรู้ ว่าลูกผมยังอยู่สบายดี หลังจากที่ผมเครียดมานาน
ผมอยากฝากเรื่องนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นะครับว่า เราควรตรวจให้ละเอียด เพื่อลูกน้อยของเราครับ หากผมไม่ไปตรวจที่อื่น ผมก็คงเครียดไปอีกนาน ซึ่งโรงพยาบาลเดิมนัดอีกครั้งในสองอาทิตย์ข้างหน้า เพื่อตรวจเลือดเหมือนเดิม แต่ในเคสนี้ ผมคงไม่ไปเสี่ยงกับหมอท่านนี้ครับ ชีวิตลูกผมทั้งคน #คุณรับผิดชอบไหวมั้ย กับการตรวจแบบมักง่ายของคุณ ผมมีหลักฐานการรักษาทุกอย่างครับ ทั้งใบนัด และใบรับรองแพทย์ ซึ่งลงความเห็นวินิจฉัย ทุกครั้ง ทุกใบ ตามที่ผมกล่าวมาข้างต้น
ทีมงาน Amarin Baby and Kids รู้สึกดีใจแทนคุณพ่อเลยละค่ะ ที่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูก มิเช่นนั้นละก็ไม่กล้านึกต่อเลยจริง ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น … อย่างไรก็ดี เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้ประโยชน์สูงสุด ทีมงานมีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสังเกตว่า ทารกเสียชีวิตในครรภ์ แล้วหรือไม่มาฝากกันค่ะ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดเป็นความรู้และจะได้ระวังได้อย่างถูกวิธีนั่นเอง
ไม่อยากให้ ทารกเสียชีวิตในครรภ์ รู้ไว้ก่อนป้องกันได้
สาเหตุส่วนใหญ่ที่พบว่า ทารกเสียชีวิตในครรภ์ แล้วนั้นเกิดได้จากสาเหตุดังต่อไปนี้
- สาเหตุจากตัวมารดา ยกตัวอย่างเช่น มารดามีอายุมาก น้ำหนักมากเกินไป มีโรคประจำตัว ได้รับอุบัติเหตุ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และเสพยาเสพติด เป็นต้น
- สาเหตุอันเกิดจากตัวทารกเอง เช่น มีความผิดปกติของโครโมโซม มีความพิการ ติดเชื้อในครรภ์ ทารกเจริญเติบโตช้า และขาดออกซิเจนเรื้อรัง เป็นต้น
- สาเหตุจากรกและสายสะดือ ในระหว่างที่ตั้งครรภ์นั้น สายสะดือของทารกพันกัน หรือรกคลอดตัวก่อนกำหนด
สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้ ทารกเสียชีวิตในครรภ์ โดยวิธีการสังเกตด้วยตัวของคุณแม่เองนั้น สามารถทำได้ดังนี้
- อาการของการตั้งครรภ์ เช่น แพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน เต้านมคัดตึง หายไป
- น้ำหนักตัวมารดาไม่ขึ้น หรือ กลับลดลง
- ทารกที่เคยดิ้นในครรภ์แล้ว หยุดดิ้นไป
- ครรภ์ไม่โตขึ้น (หน้าท้องไม่โตขึ้น) และกลับเล็กลงด้วย
- มีเลือดออกทางช่องคลอด
ไม่มีคุณพ่อหรือคุณแม่ท่านไหนอยากให้ ทารกเสียชีวิตในครรภ์ กันหรอกค่ะ ดังนั้น สิ่งที่จะมาช่วยป้องกันได้ดีที่สุดก็คือ การรู้จักสำรวจตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น การนับลูกดิ้น เป็นต้น หรือถ้าในระหว่างนั้นพบอาการผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ละก็ ไม่ว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อย่าชะล่าใจเด็ดขาดนะคะ รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัยอย่างละเอียดจะดีที่สุด
ขอบคุณที่มา: แหม่มโพธิ์ดำ และ Pobpad
อ่านต่อเรื่องอื่นที่น่าสนใจ:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่