AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ยัดเยียดการเรียนให้ลูกมากเกินไป จนลูกน้อยสติขาด

ยัดเยียดการเรียนให้ลูกมากเกินไป ทำให้ลูกเครียด

การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดี ทำให้ลูกได้ศึกษาสิ่งต่างๆ มากมายบนโลกใบนี้ และความรู้สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่บางครั้งการเรียนรู้ที่มากเกินพอดี ก็อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีให้กับลูกด้วยเช่นกัน อย่า!! ยัดเยียดการเรียนให้ลูกมากเกินไป เพราะทำให้ลูกเครียดจนสติขาด

ลองอ่านเรื่องราวเหล่านี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้คุณพ่อคุณแม่ และยอมปล่อยให้ลูกเรียนรู้อย่างพอดีนะคะ

สามีภรรยาคู่หนึ่ง มีลูกน้อยด้วยกัน 1 คน คุณพ่อเป็นคนเฉลียวฉลาด เป็นวิศวกรที่เก่งมาก ส่วนคุณแม่ก็เรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ด้านภาษาต่างประเทศ คุณพ่อคุณแม่คู่นี้ถูกตราหน้าว่าทำผิดอย่างร้ายกาจ ด้วยความที่พ่อแม่คู่นี้รักความสมบูรณ์แบบ จึงส่งให้ลูกชายเข้าเรียนตอนอายุ 3 ขวบ ในโรงเรียนดัง ค่าเทอมหลักแสน มีเพื่อนที่ดี สังคมที่ดี คุณพ่อคุณแม่เลือกครูที่ดีที่สุดให้ลูก และให้ลูกเรียนเสริม

อุทาหรณ์ ยัดเยียดการเรียน

จันทร์ – ศุกร์ เช้าตื่นไปเรียนตอนตี 5 ครึ่ง ถึง 6 โมงเย็นทุกวัน ตั้งแต่อนุบาล 1 – 3 เข้านอนไม่เกิน 3 ทุ่ม

วันเสาร์ เรียนพิเศษเสริม 8 โมงเช้า – บ่ายโมง ต่อด้วยเรียนว่ายน้ำ ตอนบ่าย 3 จึงจะได้กลับบ้าน

วันอาทิตย์ ครึ่งเช้าเรียนพิเศษ ครึ่งเย็นพักผ่อน และตอน 1 ทุ่มต้องทบทวนการเรียน และเตรียมความพร้อม

จากการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ ทำให้ลูกไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ไม่ได้คุยกับใคร วันหนึ่งลูกไปปั่นจักรยานไม่ยอมเข้าบ้าน แม่เรียกให้อาบน้ำ เพราะตอนนั้น 6 โมงเย็นแล้ว เตรียมรับประทานอาหารเย็น และทบทวนการบ้าน แต่ลูกก็ไม่ฟัง จนคุณพ่อคุณแม่โมโหพูดเสียงดังว่า

“เข้าบ้านเดี๋ยวนี้ ทำไมดื้ออย่างนี้ ยิ่งโตยิ่งดื้อ จะไม่ให้ขี่จักรยานอีกต่อไป”

คุณพ่อดึงจักรยานมาจากลูก คุณแม่ดึงลูกเข้าบ้าน และขู่ว่าจะโยนจักรยานทิ้งซะ ถ้าทำแบบนี้อีก

เด็กน้อยเข้าไปกอดขาพ่อ และยกมือไหว้

“พ่ออย่าทำ หนูไม่มีเพื่อนที่ไหน จักรยานคือเพื่อนของหนู หนูมีจักรยานเป็นเพื่อนเท่านั้น พ่ออย่าทำนะ”

คุณพ่อคุณแม่ไม่ใส่ใจคำพูดของลูก เพียงต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้น

วันหนึ่งเด็กน้อยกลับมาบ้าน คุยกับคุณพ่อ คุณแม่ อยากดูการ์ตูนบ้าง เพื่อนๆ ที่โรงเรียนคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เขาไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนยังบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรือไง ทำให้เขาไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน เด็กน้อยได้ดูแต่การ์ตูนเสริมความรู้ พ่อแม่กลับพูดว่า

อ่านต่อ ยัดเยียดการเรียนให้ลูกมากเกินไป จนลูกน้อยสติขาด คลิกหน้า 2

“ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้รึเปล่า ตอนนี้เพื่อนๆ ลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเขาไป การ์ตูนมีแต่ความรุนแรง ไม่เสริมความรู้อะไรเลย เราได้เปรียบ เราใช้เวลาทบทวน และเรียน ในขณะที่คนอื่นเขาไร้สาระ ลูกลองคิดดู เมื่อลูกโตขึ้นจะเป็นนายของคนพวกนี้ และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด”

คุณพ่อคุณแม่ต่างก็คิดว่าสิ่งที่ทำคือสิ่งที่ดีที่สุด และให้ในสิ่งที่ดีที่สุดกับลูก ที่คนทั่วไปให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป

ระยะเวลาผ่านไป เด็กน้อยต้องติวเข้าเรียนชั้น ป.1 ทำให้เวลาเล่นเหลือน้อยลงไปทุกที ในที่สุดเด็กก็ทนไม่ได้ โกรธจนตัวสั่น และพูดว่า

“หนูจะเป็นคนไม่ดี หนูเบื่อที่สุดแล้ว หนูอยากเล่นฟุตบอล อยากวิ่งเล่น อยากดูการ์ตูน อยากอ่านขายหัวเราะ พ่อแม่ก็ไม่อนุญาตให้ทำ หนูเกลียดพ่อแม่ ทำไมต้องบังคับ ทำไมต้องอาย ทำไม? หนูจะเป็นคนชั่ว”

เด็กน้อยตะโกน รัวคำพูดที่ติดในใจมาตลอดหลายปี ทั้งร้องไห้ หน้าแดง กำหมัดแน่น ขว้างข้าวของเสียงดัง ในระหว่างนั้นพ่อและแม่ก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรม แต่ก็ไม่ได้ผล ยิ่งเสียงดังใส่กันมากขึ้น จนเด็กน้อยเป็นลม

เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง ทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึง เชิญให้พ่อแม่ไปพบ คุณครูบอกว่า เด็กน้อยมีอาการเหม่อลอย ไม่มองกระดาน และไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ให้ทำอะไรทำได้หมด แต่ทำแบบจบๆ ไป ไม่มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อ แต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะๆ พูดน้อยลง ใช้สายตาและท่าทางคิดมากขึ้น

พ่อแม่ไม่ยอมรับ และไม่เชื่อ จึงไปพบคุณหมอ หมอแจ้งว่า เด็กน้อยกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง และเก็บกดภายใน ในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เขาไม่ได้บ้า หรือพิการทางสมอง แต่เขากำลังปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง ไม่รับเอง เรื่องที่น่ากังวลก็คือ เมื่อไหร่เขาจะรับ และเปิดใจกลับมาเหมือนเดิม ในเมื่อสมาธิและจิตใจของเขาได้ถูกตัดขาดด้วยตัวเขาเอง เขาอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เขาคิดว่านั่นคือความสุข ไม่อยากออกมา และคงต้องใช้เวลามาก เพราะถ้าเรารู้ว่าเขาสมาธิสั้น เรายังมีทางแก้ ถ้าเขาเป็นดาวน์ซินโดรมเรายังมีทางรักษา แต่เขาเลือกที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด  ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทางความคิดในอนาคต

ทุกวันนี้คุณพ่อก็ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ก็โทษคุณแม่มากกว่าโทษตัวเอง เด็กน้อยไม่สามารถเรียนได้อีกต่อไปแล้ว ต้องพบจิตแพทย์ และพ่อแม่ไม่สามารถเรียกลูกรักคนเดิมกลับมาได้อีกแล้วจริงๆ

เครดิต: TKpark อุทยานการเรียนรู้

Save