มีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่อยากให้ลูกได้ดี พบกับ 9 วิธี เลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ งานนี้บอกเลยใคร ๆ ก็ทำได้!
ลูก คือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อเป็นแม่ … ใคร ๆ ก็อยากเห็นลูกของตัวเองได้ดี ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หาเลี้ยงตัวเองได้ ที่สำคัญยังต้องเป็นคนดีอีกด้วย ขอแค่คุณพ่อคุณแม่มีคุณสมบัติตามข้อใดข้อหนึ่งของ 9 ข้อ ความสำเร็จในอนาคตของลูก ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วละค่ะ
ได้มีมีข้อมูลที่น่าสนใจจาก นิตยสารออนไลน์ Business Insider เขียนโดย เรเชล จิลเลตต์ และเดร้ค แบเออร์ ได้รวบรวมคุณลักษณะของพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกที่ประสบความสำเร็จ โดยพ่อแม่เหล่านี้มีคุณลักษณะที่คล้ายคลึงกันอยู่หลายประการ ซึ่งได้อ้างอิงถึงผลงานวิจัยของนักวิจัย และนักวิชาการที่สนับสนุนข้อสรุปเกี่ยวกับแต่ละคุณลักษณะดังนี้
เลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ ได้ถ้าพ่อแม่ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้
1. พ่อแม่ที่สามารถสอนให้ลูกมีทักษะทางสังคม เรเชลและเดร้ค อ้างว่ามีผลงานวิจัยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดุ๊ค (Duke University) และมหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลเวเนีย (PennsylvaniaState University) ที่ได้ทำการศึกษาติดตามวิวัฒนาการของเด็กจำนวน 700 รายทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เด็กเหล่านี้อยู่ในวัยอนุบาลจนถึงอายุ 25 ปี จากการศึกษาติดตามเด็กเหล่านี้ตลอดระยะเวลาประมาณ 20 ปี ทำให้นักวิจัยค้นพบว่า เด็กที่ได้รับการอบรมสั่งสอนทักษะทางสังคมจากพ่อแม่เป็นอย่างดี จะประสบความสำเร็จในสังคมที่เขาใช้ชีวิตอยู่ โดยเด็กที่มีทักษะทางสังคมดีจะสามารถใช้ชีวิตร่วมหรือทำงานร่วมกับเพื่อนฝูงของเขาได้ดี ทำตัวเป็นประโยชน์กับสังคมและคนรอบข้าง เข้าใจและตระหนักถึงอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่น มีแนวโน้มสูงที่จะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นต้นไป และมีงานประจำทำเมื่ออายุได้ 25 ปี ในทางตรงกันข้าม เด็กที่ไม่มีหรือมีทักษะทางสังคมต่ำมีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้ต้องหาถูกจับตัวตั้งแต่เป็นผู้เยาว์ ติดเหล้า และไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ต้องอยู่สถานสงเคราะห์มากกว่าจะอยู่กับครอบครัว
คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คน เลือกที่จะเอาเวลาไปทำมาหากินสร้างเงินก้อนโตมาจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับลูก โดยหลงลืมไปว่า ลูกของเรา ๆ ต้องสอนเขาเอง เราจะต้องไม่หวังหรือปัดความรับผิดชอบไปให้สถาบันการศึกษาทั้งหมด เพราะพ่อแม่คือครูคนแรกของลูก ดังนั้น ครอบครัวจึงเป็นสังคมแรกที่ลูกได้พบเจอ ทักษะในการเข้าสังคมนั้นจึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่เป็นผู้วางรากฐานให้แข็งแรง
2. พ่อแม่ที่มีความคาดหวังและให้ความมั่นใจแก่ลูกสูง มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียที่ลอส แองเจลิส (University of California at Los Angeles หรือ UCLA)ได้ทำการสำเร็จเด็กจำนวน 6,600 รายที่เกิดในปี ค.ศ. 2001 โดยค้นพบว่าความคาดหวังที่ผู้ปกครองมีต่อเด็กมีผลกระทบสูงต่อความสำเร็จในชีวิตของเด็ก อาจารย์นีล ฮาล์ฟฟอน หัวหน้าโครงการสำรวจวิจัยกล่าวว่า พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีความคาดหวังและมีความเชื่อมั่นว่า ลูกของตนจะต้องเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้ มักจะสามารถดำเนินการให้ลูกสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้สำเร็จ ต่างจากพ่อแม่ที่แม้อาจจะคาดหวังว่าลูกน่าจะเข้ามหาวิยาลัยได้ แต่มีเพียงความคาดหวัง ไม่มีความเชื่อมั่นว่าลูกจะทำได้ ซึ่งเมื่อพ่อแม่ไม่เชื่อมั่น ลูกก็จะรู้สึกได้และทำให้ลูกขาดความเชื่อมั่นในตัวเองไปด้วย
3. แม่เป็นผู้หญิงทำงาน เรเชลและเดร้ค ได้อ้างถึงงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ออกมาแสดงให้เห็นว่า เด็กที่เติบโตขึ้นมากับแม่ที่ทำงานนอกบ้านได้รับประโยชน์จากการที่มีแม่ทำงานนอกบ้านอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งงานวิจัยยังพบอีกว่า ลูกสาวที่มีแม่ทำงานนอกบ้านจะใช้เวลาศึกษาในสถานศึกษานานกว่ากลุ่มที่ไม่มีแม่ที่ทำงานนอกบ้าน นอกจากนี้ พวกลูกสาวกลุ่มที่มีแม่ทำงานนอกบ้านยังมีแนวโน้มที่จะได้งานในตำแหน่งหัวหน้างาน และมีรายได้สูงกว่าพวกที่มีแม่อยู่กับบ้านถึง 23% (เดาว่าลูกสาวคงได้รับแรงบันดาลใจจากแม่ที่เป็นหญิงเก่งก็เป็นได้ โดยงานวิจัยยังเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจอีกด้วยว่า ลูกชายที่มีแม่ทำงานนอกบ้านใช้เวลาในการดูแลลูกมากกว่าอีกกลุ่มถึง 7.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และใช้เวลาทำงานบ้านมากกว่าสัปดาห์ละ 25 นาที อาจารย์แคธลีน แม็กกินน์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องการมีแม่ที่ทำงานนอกบ้านว่า มันเป็นปัจจัยหนึ่งที่แสดงถึง “บทบาท” ที่เป็นแบบอย่างในสังคมครอบครัวที่ลูกเรียนรู้จากแม่ซึ่งมีผลต่อแนวคิดและพฤติกรรมของเขาในอนาคต แต่ทีมงานเชื่อว่า การจะเป็นมีแม่ที่ทำงานนอกบ้าน หรือแม้แต่แม่ที่เป็นแม่บ้านเต็มตัวละก็สามารถทำให้ลูกประสบความสำเร็จได้อยู่ดี ตราบใดที่เราอบรมสั่งสอนและชี้นำลูกไปในทางที่ถูกที่ควร จริงไหมละคะ
4.พ่อแม่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับสูงกว่า โดยมีฐานะสูงกว่าพ่อแม่ของเด็กที่เรียนไม่ค่อยดีและไม่ค่อยประสบความสำเร็จชีวิต ซึ่งข้อนี้เราคงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร เพราะผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่าย่อมมีโอกาสอื่น ๆ ในชีวิตที่สูงกว่า มีมุมมองและทางเลือกมากกว่า ทั้งนี้เรเชลและเดร้คอ้างผลงานวิจัยของนักวิจัยชื่อ ฌอน แรร์ดอน จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่พบว่า ความแตกต่างทางฐานะของพ่อแม่ของเด็กมีผลกระทบต่อการประสบความสำเร็จของเด็ก นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอื่นที่ชี้ว่าเด็กที่มีผลสอบ SAT สูง (Scholastic Assessment Tests หมายถึงผลการสอบมาตรฐานของเด็กที่เรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในสหรัฐอเมริกา) มักเป็นเด็กที่มีพ่อแม่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงกว่า แต่ในทางกลับกันผู้เขียนเองคิดว่า ในชีวิตจริง ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมก็ไม่สามารถเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จของเด็กได้ทุกครอบครัว บางครอบครัว มีฐานะทางการเงินดี สังคมเด่น แต่สุดท้ายลูกเรียนไม่จบ เอาแต่เที่ยวเตร่ใช้เงินพ่อแม่ไปวัน ๆ ก็มี ผิดกับบางครอบครัว ที่พ่อแม่มีฐานะปานกลาง แต่กลับสามารถเลี้ยงดูลูก ให้ประสบความสำเร็จ มีตำแหน่ง มีหน้าที่การงานดีไม่แพ้คนอื่น ทีมงานเชื่อว่า ฐานะทางเศรษฐกิจอาจมีส่วน แต่นั่น ก็ไม่ได้หมายความว่า เด็กจะประสบความสำเร็จได้ ทุกอย่างนั้น ล้วนอยู่ที่การเลี้ยงดู การใส่ใจ และเด็กรู้จักไขว่คว้าหาโอกาสมากกว่า
5.พ่อแม่มีการศึกษาสูง ซานดร้า ตั้ง นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนพบว่า จากกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจำนวน 14,000 คน เด็กที่มีแม่เป็นวัยรุ่น อายุต่ำกว่ายี่สิบที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาลงมามักจะไม่ค่อยมีโอกาสได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัย ประมาณว่าแม่เรียนได้แค่ไหน ลูกก็เรียนได้แค่นั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับระดับสติปัญญาของแม่หรือของเด็กแต่อย่างใด แต่มันเป็นเรื่องของ “แรงบันดาลใจ” มากกว่า หมายความว่าการที่ลูกจะได้เรียนระดับมหาวิทยาลัยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับแรงบันดาลใจจากพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่มีแรงบันดาลใจอยากเรียนระดับมหาวิทยาลัย แม้ว่าอาจจะไม่ได้เรียนด้วยสาเหตุใดก็ตาม ลูกมักจะได้รับถ่ายทอดความบันดาลใจนั้นด้วย แต่สำหรับข้อนี้ ถ้าหากมองกลับกัน พ่อแม่ที่ไม่มีการศึกษาสูงหลายคน ต้องการให้ลูกได้เรียนที่ดี ๆ และจบปริญญามากกว่าที่ตัวเองศึกษาเล่าเรียนมา เพื่อหวังที่จะเห็นลูกประสบความสำเร็จในอนาคต
6.พ่อแม่สอนเลขเบื้องต้นให้ลูกตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ เรื่องนี้คงไม่ต้องอาศัยฐานะ เพราะพ่อแม่คนไหน ๆ ก็สามรถทำได้ เพราะมันเป็นเรื่องการเอาใจใส่ พ่อแม่ควรใช้เวลาสอนความรู้ต่าง ๆ เช่น การคิดเลขง่าย ๆ ซึ่งทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ นี้มีผลต่อการพัฒนาทักษะของลูกเมื่อพวกเขาโตขึ้นอย่างที่พ่อแม่คาดไม่ถึงเลยค่ะ เกร็ค ดันแคน นักวิจัยของมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเธิร์นที่โด่งดังกล่าวว่า “การมีทักษะทางคณิตศาสตร์เบื้องต้นของเด็กมันสามารถสะท้อนถึง หรือพยากรณ์ได้ถึงความสำเร็จในทางคณิตศาสตร์ในตอนโตได้เลย และมันยังคาดการณ์ได้ถึงความสามารถในการอ่านในอนาคตของเด็กด้วย”
7.พ่อแม่พัฒนาสัมพันธภาพที่ดีกับลูกตั้งแต่วัยเล็ก ข้อนี้คงต้องอาศัยความสัมพันธ์ ความรัก และความใส่ใจ จากคุณพ่อคุณแม่มากกว่า มีการศึกษาพบว่า เด็กที่ได้รับความเอาใจใส่ใกล้ชิดจากพ่อแม่ในช่วงอายุ 3 ปีแรกที่ได้ลืมตาดูโลก จะมีความสามารถในการทำข้อสอบได้ดีกว่าเด็กที่ไม่มีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพ่อแม่ นอกจากนี้ พวกเขายังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น และประสบความสำเร็จทางการศึกษาที่ดีกว่าเมื่อพวกเขามีอายุได้ประมาณ 30 ปีอีกด้วย
8.พ่อแม่มีความเครียดน้อยกว่า บริจิด ชูลต์ที นักเขียนของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ อ้างงานศึกษาชิ้นหนึ่งว่า เราอย่าไปนับจำนวนชั่วโมงที่พ่อแม่หรือที่แม่อยู่กับลูก สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ใช้เวลาอย่างไรต่างหาก ถ้าพ่อแม่อยู่กับลูกทั้งวัน แต่อยู่ด้วยความเครียด เข้มงวดกวดขันดุด่ามากไป มันก็จะกลายเป็นการใช้เวลาที่ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร พ่อแม่ที่ฉลาดและเลี้ยงลูกเป็นต้องมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่สูง ไม่เครียดเกินไปในการเลี้ยงและดูแลลูก จึงจะได้ลูกที่มีสุขภาพจิตดีและมีสติปํญญาที่ดี สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ดี เข้าสังคมกับผู้อื่นได้ไม่มีปัญหา และทำงานได้ประสบความสำเร็จตามสมควร
9.พ่อแม่ที่มีขอบเขตจำกัดหรือผ่อนผันทางด้านความคิด อธิบายได้ว่า พ่อแม่มีวิธีคิดที่มีผลกระทบต่อวิธีคิดและพฤติกรรมของลูก เช่น ลูกจะต้องได้เรียนกับครูคนนั้น หรือเรียนที่โรงเรียนนั้น ๆ แบบนี้เรียกว่ามีวิธีคิดที่จำกัด และเมื่อไรก็ตามที่ไม่สามารถได้เงื่อนไขตามที่ต้องการ พ่อแม่ที่มีความคิดจำกัดแบบนี้ก็จะคิดว่า “ถ้าไม่ได้ตามนี้ เป็นอันว่าหมดหวัง ไม่มีทางดิ้นแล้ว” ซึ่งจะมีผลให้ลูกติดอยู่กับข้อจำกัดต่าง ๆ เหล่านั้นไปด้วย ผิดกับพ่อแม่ที่มีความผิดที่ยืดหยุ่น ปรับวิธีคิดให้ยืดขยายหรือเปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ แบบนี้มันก็เห็นหนทางในการก้าวข้ามหรือแก้ปัญหา หรือลดข้อจำกัดไปได้ พ่อแม่ที่คิดแบบนี้ก็จะหาหนทางใหม่ ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ตลอดเวลา ลูกก็มักจะได้รับอานิสงส์แบบนี้ด้วย ทำให้เขาคิดต่อยอดเก่ง ไม่สิ้นหนทางง่าย ๆ ทัศนะคติแบบนี้จะส่งเสริมให้ตนเราหาทางไขว่คว้าความสำเร็จมาอยู่ในมือจนได้
ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็แล้วแต่ หากแต่คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจ รับฟังความคิดเห็นและไม่กีดกันความคิดเห็นของลูก เท่านี้การ เลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ นั้นก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วละค่ะ
ขอบคุณที่มา: krunoynews
อ่านต่อเรื่องอื่นที่น่าสนใจ:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่