เชื่อว่าหลายๆ บ้านยังคงใช้วิธีทำโทษด้วยการ ตีลูก หรือลงไม้ลงมือกับลูกกันอยู่ ซึ่งหากลองนึกย้อนกลับไปสมัยคุณยังเป็นเด็ก คุณคงจำตอนที่ถูกพ่อแม่ตีได้เป็นอย่างดี สมัยนั้นไม่มีใครคิดว่าการตีเด็กเป็นเรื่องผิด อันที่จริงการตีถือเป็นวิธีสั่งสอนที่ดีที่สุดด้วยซ้ำไป
ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่มองว่าการตีเป็นวิธีสั่งสอนที่ดีที่สุด และยังคงปฏิบัติกันทั่วไปในบางแห่ง แต่ด้วยกาลเวลาที่เปลี่ยนไป คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักเห็นว่าการตีเป็นวิธีสอนเด็กแบบผิด ๆ แน่นอนว่าบางคนอาจจะไม่เห็นด้วย แต่ต้องยอมรับว่าโลกเรามีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้เปลี่ยนไป และก็มีเหตุผลที่น่าสนใจ
การอบรมสั่งสอนลูกโดยการลงโทษ ถือเป็นการฝึกระเบียบวินัยให้ได้ผลดีก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีบังคับลงโทษให้เจ็บตัว หรือดุว่าให้เจ็บใจเสมอไป เพราะวิธีดังกล่าวจะยิ่งทำให้พฤติกรรมดีๆ ไม่ปรากฏ แต่กลับได้พฤติกรรมไม่พึงประสงค์มาแทน ทั้งยังเป็นการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก และถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษย์อีกคนหนึ่ง ในประเทศไทย คนไทยจำนวนมากยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงว่า เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ สอนให้เด็กรู้ถูกรู้ผิด . . . ซึ่งความเชื่อผิดๆ ยังมีอีกมากมาย ดังนี้
ความเชื่อผิดอย่างที่ 1
“ฉันก็เคยโดนตีมาแล้ว และก็ไม่เห็นจะเป็นผลร้ายตรงไหน”
พ่อแม่ที่ใช้เหตุผลนี้มักอ้างทำเพื่อพยายามลดความรู้สึกผิดของตัวเอง ที่ใช้การลงโทษแบบนี้กับลูกของตนเอง ซึ่งสิ่งที่เขาทำอยู่นี้เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า การถูกลงโทษในวัยเด็กนั้นเป็นผลร้ายกับเขาจริงๆ เพราะเขากำลังถ่ายทอดความรุนแรงนั้นไปสู่ลูก และในทำนองเดียวกันเด็กเหล่านี้ก็จะต้องสืบทอดความรุนแรงต่อไปอีกอย่างไม่สิ้นสุด
ความเชื่อผิดอย่างที่ 2
“ฉันลองใช้วิธีอื่นมาหมดแล้วไม่เห็นได้ผล!” หรือ “เด็กหาเรื่องให้โดนตีเอง”
ความจริงก็คือ การสร้างวินัยเชิงบวกนั้นต้องอาศัยการพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีความไว้วางใจให้เกียรติซึ่งกันและกัน ระห่างผู้ดูแลและเด็ก หากเราใช้ความรุนแรงลงโทษเด็กมาโดยตลอด ย่อมต้องใช้เวลาและความพยายามที่จะให้วิธีการใหม่นี้ได้ผล หากเราใช้วิธีการจ้ำจี้จ้ำไช ดุด่า ข่มขู่ หรือเฆี่ยนตีมาเป็นเวลานาน ย่อมเป็นการยากที่จะสร้างความไว้วางใจขึ้นมาใหม่ภายในช่วงเวลาข้ามคืน สภาพการณ์เช่นนี้อาจทำให้บางคนรู้สึกว่า ไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะได้ผลอีกแล้วนอกจากการตี หรือความรู้สึกที่ว่า “เด็กวอนหาเรื่องโดนตีเอง” เป็นการพยายามที่ที่จะทำให้ผู้ตีรู้สึกผิดน้อยลง
ความเชื่อผิดอย่างที่ 3
“การตีได้ผลดีที่สุด วิธีอื่นไม่มีประสิทธิภาพ”
ความจริงก็คือ การลงโทษด้วยความรุนแรงดูเหมือนจะได้ผลดี หากดูเพียงผิวเผินหรือในระยะสั้นเท่านั้น วิธีการเช่นนี้สอนให้เด็กทำตามที่สั่ง แต่ทำเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าเท่านั้น เพื่อจะไม่ให้โดนตีหรือลงโทษด้วย วิธีอื่นๆที่ทำให้อับอายขายหน้า เป็นการสร้างความรู้สึกไม่ไว้วางใจและไม่ปลอดภัยขึ้นในใจเด็ก แต่ไม่ได้สอนให้เด็กมีวินัยในตนเอง และรู้จักประเมินว่า สิ่งใดไม่ควรทำ
อ่านต่อ >> ความเชื่อที่ผิดของพ่อแม่คนไทยกับการลงโทษลูกด้วยการ “ตี” คลิกหน้า 2
ความเชื่อผิดอย่างที่ 4
“การตี ทำให้เด็กเป็นคนว่านอนสอนง่าย”
ความจริงก็คือ เราควรสอนเด็กด้วยการกระตุ้นให้เด็กสำรวจค้นคว้า หาความรู้ด้วยตัวเอง ตั้งคำถามและเรียนรู้ถึงความสนุกเพลิดเพลินในการค้นหาคำตอบเป็นส่วนใหญ่ของกระบวนการเรียนรู้และการลงโทษด้วยความรุนแรงทำให้เด็กไม่กล้าถาม ไม่กล้าคิดแบบวิพากษ์วิจารณ์ และไปให้ถึงเป้าหมายของตนเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จะเป็นในการที่จะประสบความสำเร็จในสังคมปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว แข่งขัน และต้องคิดค้นสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
การบังคับให้เด็กเชื่อฟังอย่างไม่ลืมหู ลืมตา โดยใช้ความรุนแรงคุกคาม ย่อมเป็นการสกัดกั้นความริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็ก ซึ่งจะมีผลไปถึงวัยผู้ใหญ่อย่างแน่นอน
ความเชื่อผิดอย่างที่ 5
“ฉันใช้การตีเป็นวิธีสุดท้ายเท่านั้น เพราะไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ”
ความจริงก็คือ การกล่าวอ้างเช่นนี้เป็นความพยายามที่จะหาเหตุมาสนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก เท่านั้นเอง สามีควรจะทุบตีภรรยา เมื่อไม่มีวิธีอื่นๆ ที่จะพูดให้เข้าใจกันได้แล้วหรือไม่? หากไม่สมควร การทำเช่นนี้กับเด็กก็ไม่น่าจะยอมรับได้ ยิ่งไปกว่านั้น เราจะพบบ่อยๆ ว่า พ่อแม่และครูมักจะใช้การลงโทษด้วยความรุนแรงเมื่อเด็กทำผิดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นด้วย
ความเชื่อผิดอย่างที่ 6
“การเฆี่ยนตีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของเรา”
บางคนมักถือว่า การเฆี่ยนตีหรือลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของเรา และความคิดที่จะหาทางเลือกอื่นๆ ในการสร้างวินัยเด็กเป็นการยัดเยียด “วิธีคิดแบบตะวันตก” หรือแบบฝรั่งเข้ามาในวัฒนธรรมไทย ซึ่งใช้ไม่ได้ผลในบ้านเรา
ซึ่งที่จริงการลงโทษเด็กด้วยการเฆี่ยนตีเคยมีอยู่ในวัฒนธรรมตะวันตก แต่ต่อมาเมื่อมีการศึกษาวิจัยเรื่องการเลี้ยงดูเด็กที่มีประสิทธิภาพ แล้วพบว่า การลงโทษเด็กด้วยการลงโทษเด็กด้วยความรุนแรงก่อผลเสียมากกว่าผลดี แต่ความจริงแล้วมีค่านิยมหลักอยู่สองประการในสังคมเอเชียคือ การรักษาความสามัคคีและปรองดองกันในสังคม และการใช้ความสามารถทางจิตใจเพื่อควบคุมหรือสร้างวินัยให้ร่างกาย การใช้ความรุนแรงนั้นขัดแย้งกับค่านิยมทั้งสองอย่างนี้ และยังทลายความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมด้วย
อ่านต่อ >> “วิธีลงโทษลูกที่ได้ผลดีโดยไม่ต้องตี” คลิกหน้า 3
สำหรับบ้านที่เห็นว่า “การตี” คือวิธีการลงโทษที่ได้ผล และสามารถแก้ปัญหาพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของลูกได้ เรื่องนี้เราก็ไม่ได้ห้ามหรือจะสามารถสั่งให้คุณพ่อคุณแม่หยุดตีลูกได้ แต่การตีควรมีการตกลง และทำความเข้าใจกับลูกก่อนว่า เขาจะถูกตีก็ต่อเมื่อทำผิดในเรื่องใด ไม่ใช่ตีสุ่มสี่สุ่มห้า … ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจึงมีทางออกที่ดีกว่าการลงโทษลูกด้วยการตี มาฝากค่ะ ดังนี้
รวมวิธีลงโทษเด็กที่ได้ผลดีโดยไม่ต้องตี
– Time out เป็นการแยกเด็กไปอยู่ตามลำพังโดยไม่ได้รับความสนใจ และไม่มีกิจกรรมใดๆ ประมาณ 1-2 นาที แต่ยังคงต้องอยู่ในสายตาพ่อแม่ซึ่งไม่ใช่การขังเดี่ยว สามารถใช้วิธีนี้กับเด็กที่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ ได้ หรือในช่วงประมาณ 4-5 ขวบ ส่วนในเด็กโตมักใช้ไม่ค่อยได้ผล
– งดกิจกรรมที่ต้องการหรือชื่นชอบ เช่น ทำการบ้านไม่เสร็จอดไปเตะฟุตบอล สามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็ก 6 ขวบเป็นต้นไป เนื่องจากเริ่มเข้าใจเงื่อนไขง่ายๆ ได้แล้ว
วิธีนี้เด็กมีการต่อรองแน่นอน แต่สิ่งสำคัญ คุณพ่อคุณแม่ต้องหนักแน่น และมั่นคงกับวินัยที่เราร่วมกันตั้งขึ้น ไม่ใช่โหดร้าย แต่พยายามใช้หลักของเหตุและผลพูดคุยกัน แล้วเชื่อเถอะค่ะว่า ลูกจะเติบโตเป็นเด็กที่ใช้เหตุและผล ไม่ใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหาทั้งต่อตัวเอง และผู้อื่น” จิตแพทย์กลุ่มงานจิตเวช สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่นอธิบายเสริม
– ฝึกให้ลูกรับผิดชอบ และชดเชยในสิ่งที่ทำผิด เช่น ให้คัดลายมือ หรือทำน้ำหกก็ต้องเช็ดเอง เป็นต้น
นอกเหนือจากวิธีในข้างต้นแล้ว บ้านไหนพอจะมีวิธีอื่นๆ ที่น่าสนใจ และเห็นควรแก่การแบ่งปัน เข้ามาแลกเปลี่ยนกันได้ทางกล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างนี้ เผื่อว่าจะเป็นแนวทางให้แก่ผู้อ่านท่านอื่นๆ กันได้บ้างไม่มากก็น้อย
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.isranews.org