เมื่อพ่อแม่ ยัดเยียดการเรียนให้ลูก มากเกินไปจนลูกไม่มีโอกาสใช้ช่วงเวลาของวัยเด็ก สุดท้ายจบลงอย่างน่าเศร้า
เมื่อความฝันของพ่อแม่เป็นจริงได้ด้วย การยัดเยียดความปวดร้าวให้กับลูก หนึ่งในปัญหาสังคมไทยที่เกิดขึ้นจริง ในยุคของการแก่งแย่งชิงดี จนหลายต่อหลายครั้งที่พ่อแม่และผู้ปกครองเผลอหลงลืมไปว่า บางสิ่งบางอย่างไม่สามารถหวนกลับคืนมาได้ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวนั้น ก็สายเกินไปเสียแล้ว
พบกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับครอบครัว ๆ หนึ่ง ที่พ่อและแม่พยายามมอบสิ่งที่ตนเองคิดว่าดีที่สุดให้กับลูก โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่ตนคิดว่าดีที่สุดนั้น คือสิ่งที่ทำร้ายจิตใจลูกจนถึงขนาดลูกสติหลุด ปิดกั้นทุกอย่างรอบตัว และเลือกหาทางออกด้วยการอยู่ในโลกของจินตนาการส่วนตัวแทน ซึ่งแม้แต่คุณหมอที่เป็นผู้ดูแลเอง ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า เมื่อไหร่ลูกถึงจะยอมเปิดใจ และก้าวออกจากโลกดังกล่าวมาสู่โลกของความเป็นจริง และนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่บอกเลยว่า คุณพ่อคุณแม่อาจจะเสียน้ำตาโดยไม่รู้ตัว ภายหลังจากที่ได้อ่านเรื่องราวนี้
อ่านต่อเรื่องราวนี้ ได้ที่หน้าถัดไปค่ะ >>
ผู้โพสต์เรื่องราวดังกล่าวนี้ ต้องการที่จะแชร์ประสบการณ์ที่ตนเองได้รับรู้มา เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกครอบครัว ที่พยายาม ยัดเยียดการเรียนให้ลูก เพื่อให้ความฝันของตัวคุณพ่อคุณแม่เองนั้นเป็นความจริง จนมองข้ามบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญที่สุดในชีวิต … หากพร้อมแล้ว ไปอ่านเรื่องราวนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ
ก่อนอื่น จะเล่าเรื่องให้ฟัง เพิ่งได้รับทราบมาเหมือนกันจากปากของเพื่อนทั้งน้ำตา และคิดว่ามีประโยชน์ไม่มากก็น้อย เพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อมานานประมาณ เกือบ ๆ 4 ปีเห็นจะได้ คือไม่สนิทเท่าไร แต่พูดคุยกันได้ และตอนนี้เพื่อนมีลูกแล้ว แต่มีเพื่อนน้อย เพื่อนแต่งงานกับวิศวกร (สามี)ที่เก่งมาก และตัวเพื่อนเองก็จบมหาลัยเอกชน ก็เกียรตินิยมอันดับ 2 ด้านภาษาต่างประเทศ คือเหมาะสม ถึงไม่รวยมาก แต่ก็เกินปานกลาง พอแต่งงานก็ไม่ได้ติดต่อใคร แต่ทราบว่ามีลูก ณ ปัจจุบันก็จะ 7 ขวบกว่าแล้ว ได้โทรไปหาเพื่อน เพราะตอนนี้เรามีลูก 4 ขวบกว่า ก็หาข้อมูลเรื่องการเรียนเป็นหลัก และอาศัยถามคนอื่นด้วย และไม่อายที่จะถามด้วย เพราะคิดว่ายิ่งรู้มาก ก็ยิ่งดี จึงได้โทรไปหาเพื่อน และถามเรื่องลูก สิ่งที่ได้รับ คือ การปล่อยโฮอย่างแรง ร้องไห้จะเป็นจะตายเดี๋ยวนั้น เราก็ตกใจ เฮ้ย! แกเป็นไร?
เพื่อนบอกว่า อึดอัด จะบ้าอยู่แล้ว ปรึกษาใครก็ไม่ได้ ทุกวันนี้มันถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิด “ผิดอย่างร้ายกาจ” จากครอบครัวสามี และแม่ตัวเอง ปรึกษาใครก็ไม่ได้ เพราะพื้นฐานคือ ทั้งสามีและเพื่อน เป็นคนเสียเงินเท่าไรเท่ากัน แต่อายหรือไม่สมบูรณ์ไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่ปรึกษาใครเลย เพราะอายและไม่อยากให้ใครดูถูก เรื่องของเรื่องก็คือ
ลูกชายเข้าเรียนตอน 3 ขวบกว่านิด ๆ ได้เข้าเรียนในระดับโรงเรียนดังเลย ค่าเทอมเป็นแสน เพื่อนดี สังคมดูดี เพอร์เฟค และโรงเรียนเป็นที่หมายตากันมาก ที่นี้โรงเรียนดัง พ่อแม่ต่างก็ผลักและดันกันสุดฤทธิ์ เงินพร้อมซะอย่าง ก็คุยกันต้องติวอย่างนั้น ต้องครูคนนี้ ฝรั่งคนนี้ ต้องเรียนนี้เสริม เพื่อนก็เป็นเช่นนั้น และบอกว่าก็มีการเก็บที่เด็ด ๆ ไว้ไม่บอกใครก็มี……..ฮื่อ….
ที่นี้ ลูกเรียนวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เช้ายัน 6 โมงเย็น และเป็นอย่างงี้ มาตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึง 3 เข้านอน ไม่เกิน 3 ทุ่ม เพราะต้องตื่นเช้าไปส่ง ตื่นตอน ตี 5 ครึ่ง เพราะเพื่อนมีบ้านในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเขตและห่างจากโรงเรียนค่อน ข้างมาก ออกจากบ้านไม่เกิน 6 โมงเช้าเท่านั้น และไปถึงโรงเรียนประมาณ เกือบ 7 โมง
วันเสาร์เรียนพิเศษเสริม เริ่ม 8 โมงเช้าถึงบ่ายโมง และตอนบ่าย 3 เรียนว่ายน้ำ จึงได้กลับบ้าน ส่วนวันอาทิตย์ ครึ่งวันเช้าเรียนที่สถาบันคุมองเสริม ครึ่งวันหลังผักผ่อน และตอน 1 ทุ่มของวันอาทิตย์ ต้องทบทวนงานและเตรียมความพร้อมเพื่อไปเรียนวันจันทร์ และรับคำแนะนำจากพ่อและแม่ต่อ เสร็จแล้วไม่เกิน 3 ทุ่มต้องเข้านอน
อ่านต่อ >> เรื่องราวดังกล่าว คลิก!
และเหตุการณ์ที่มันเล่าแบบสะเทือนใจตอนหลังคือ ลูกไม่มีเพื่อนในหมู่บ้านเลยสักคนเดียว … เพราะไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้ว สังคมเมืองของแท้ ปั่นแต่จักรยานของเค้าเท่านั้น
วันนั้น วันอาทิตย์ ลูกก็ปั่นจักรยานไม่ยอมเข้าบ้าน แม่ก็เรียก ให้มาอาบน้ำได้แล้ว 6 โมงเย็นแล้ว เตรียมกินข้าว และทบทวนการบ้าน ลูกก็ไม่ฟัง จนเพื่อนของเจ้าของโพสต์และสามีโมโห ตะโกนเสียงดังว่า
“เข้าบ้านเดียวนี้ เข้าบ้านเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ ยิ่งโตยิ่งดื้อ (เพื่อนว่าลูก) จะไม่ให้ขี่จักรยานอีกต่อไป ตัวสามีก็ไปดึงจักรยานออกจากลูก และแม่มาจับลูก พร้อมกับบอกว่า ป๋าจะโยนจักรยานทิ้งซะ ถ้าทำอย่างนี้อีก!”
“ลูกชายเข้าไปกอดขาพ่อ และยกมือไหว้ ป๋าอย่าทำ หนูไม่มีเพื่อนที่ไหน จักรยานคือ เพื่อนของหนู หนูมีจักรยานเป็นเพื่อนเท่านั้น ป๋าอย่าทำนะ”
ทั้งเพื่อนและสามีก็ไม่ใส่ใจอะไร เพียงต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ถัดมาคือ
ลูกกลับจากบ้าน คุยกับพ่อและแม่ อยากดู อุลตร้าแมน มดเอ๊กซ์ บ้าง เพื่อน ๆ คุยกันที่โรงเรียน เค้าไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนที่โรงเรียนเลยบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรือไง ทำให้เค้าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ เค้าได้ดูแต่การ์ตูนเสริมความรู้ เช่น ถ้าดู ก็ประมาณ ดอร่า หมาบลู ประมาณนี้ สามีและเพื่อนบอกว่า
“ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้หรือเปล่า ตอนนี้เพื่อน ๆ ลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้าไป การ์ตูนมีแต่ความรุนแรงไม่เสริมความรู้อะไรเลย เราได้เปรียบ เราใช้เวลาทบทวนและเรียน ในขณะที่คนอื่นเค้าไร้สาระ ลูกลองคิดดู โตขึ้นลูกก็จะเป็นนายของคนพวกนี้ และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด”
ทั้งเพื่อนและสามีจะคอยสอนลูกจะประมาณนี้ตลอด แต่เพื่อนบอกว่า เค้าและสามีทำดีที่สุดและ ให้ในสิ่งที่ดีที่สุด ที่คนทั่วไปบางทีก็ให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป
อ่านต่อ >> เรื่องราวดังกล่าว คลิก!
ทีนี้หนักสุด ต้องติว เข้า ป. 1 เวลาเล่นแทบน้อยมาก แต่ก็ได้ ติดที่ ป. 1 ตามที่หวังไว้ แต่ก็ต้องเรียนเสริมเหมือนเดิม จนถึงวันที่ลูกทนไม่ได้ จนลูกโกรธจนตัวสั่น และพูดว่า
“เค้าจะไม่เป็นคนดี เค้าเบื่อที่สุดแล้ว เค้าอยากเล่นฟุตบอล เค้าอยากวิ่งเล่น อยากดูการ์ตูน อยากอ่านขายหัวเราะ ให้พ่อแม่อนุญาตให้อ่าน เค้าเกลียดพ่อและแม่ ทำไมต้องบังคับ ทำไมต้องอาย ทำไม เค้าจะเป็นคนชั่ว”
เพื่อนของเจ้าของโพสต์เล่าต่อว่า ลูกพูดจนลิ้นพันกัน ตัวสั่นไปหมด จับลำดับคำพูดยาก อะไรก็พูด ๆๆ ออกมา ร้องไห้ หน้าแดง กำหมัด ขว้างข้าวของ เสียงดัง ในระหว่างนั้น สามีและเพื่อนก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรม แต่ไม่เป็นผล ยิ่งดัง ก็ยิ่งดังใส่ จนเด็กเป็นลม เพราะคงสะสมมานาน
พอผ่านไปสักระยะ ทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึงเพื่อเชิญผู้ปกครองไปพบ พอไปถึงโรงเรียน ทางครูบอกว่า
“ตอนนี้น้องมีอาการเหม่อลอย ไม่มองกระดาน และไม่มีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ให้ทำอะไรทำได้หมด แต่ทำไปอย่างให้จบไป ไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อ แต่ไม่ไหลออกมา เป็นระยะ และพูดน้อยลง ใช้สายตาและท่าทางคิดมากขึ้น”
เพื่อนและสามีไม่ยอมรับและไม่เชื่อ ก็สักพักใหญ่ ๆ จึงไปพบหมอที่สมิติเวช คุณหมอแจ้งว่า น้องกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรง บวกกับเก็บกดภายในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เค้าไม่ได้บ้า หรือพิการทางสมอง แต่เค้าปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง ไม่รับเอง ไม่เอาเอง ซึ่งตรงนี้น่าวิตกคือ แล้วเมื่อไรเค้าจะรับ และเปิดใจกลับมาเหมือนเดิม สมาธิและจิตใจได้ถูกตัดด้วยตัวเค้าเอง เค้าอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เค้าคิดว่านั้นคือความสุขของเค้า ไม่อยากออกมาเลยด้วยซ้ำ
คุณหมอกล่าวต่อว่า คงต้องใช้เวลามาก เพราะถ้าเรารู้ว่าเค้าสมาธิสั้น เรามีทางแก้ ถ้าเค้าเป็นดาวน์ เรารู้วิธี แต่เค้าเลือกเองที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทาง ความคิดในอนาคต
ทุกวันนี้ผลคือ สามีก็ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ก็เริ่มโทษภรรยามากกว่าโทษตัวเอง ตอนนี้เพื่อนเจ้าของโพสต์กลายเป็นคนที่ต้องรับกรรมเต็ม ๆ เพราะลูกไม่สามารถเรียนได้แล้ว ต้องพบจิตแพทย์เด็กโดยตรง ถึงตรงนี้ มันบอกว่ามันเรียกลูกกลับมาไม่ได้แล้วจริง ๆ มันเศร้ามาก มันก็กำชับไม่ให้บอกใครเพราะรู้สึกอาย …
แพทย์เผย! ยัดเยียดการเรียนให้ลูก มากเกินไปส่งผลให้ลูกเป็น โรคซึมเศร้า
เครดิต: Pantip
ยัดเยียดการเรียนให้ลูก มากไปส่งผลเสียกับลูกจริงหรือ?
แพทย์หญิงอัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ได้เปิดเผยข้อมูลว่า ปัจจุบันพ่อแม่นิยมส่งเสริมความฉลาดทางไอคิวจนลืมส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิวให้ลูก ซึ่งการเรียนที่มากเกินไป ทำให้เด็กมีปัญหาทางอารมณ์
“จากการตรวจรักษาผู้ป่วยเด็กที่มาหาจิตแพทย์พบว่าเด็กที่ถูกพ่อแม่ยัดเยียดให้เรียนหนังสือมากเกินไป เพราะกลัวลูกเรียนไม่เก่ง มีอาการซึมเศร้า เครียดง่าย งอแง ฉุนเฉียวง่าย หงุดหงิดง่าย ร้องไห้ไม่มีสาเหตุ นอนไม่หลับ เป็นต้น โดยพบในเด็กที่เรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล อายุ 4-5 ขวบ ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งคนที่เครียดมาก ๆ สมองจะหลั่งสารบางอย่างออกมา ทำให้เซลล์สมองฝ่อ ไม่เจริญเติบโต แทนที่เรียนมากจะฉลาดขึ้น บางที่อาจตรงกันข้ามก็ได้ เพราะเครียดมาก”
การที่คุณพ่อคุณแม่จะหวังดีและเลือกที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วค่ะ แต่ในบางครั้งก็ควรที่จะต้องตระหนักถึงวัยและความเหมาะสมของลูก ๆ ด้วย เพราะถึงอย่างไร เด็กก็คือเด็ก พวกเขามีสิทธิที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบข้าง เพื่อให้เติบโตมาฉลาดได้อย่างสมวัย มากกว่าการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จตามความฝันของคุณพ่อคุณแม่เอง มิเช่นนั้น อาจจะเข้าข่ายกลายเป็น “พ่อแม่รังแกฉัน” เอาได้
เครดิต: Kapook
อ่านต่อเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่