พบกับอีกหนึ่งโรคของเด็กยุคใหม่ “โรคภาวะขาดธรรมชาติ” ที่จิตแพทย์เป็นห่วงมากถึงขนาดต้องออกโรงเตือน
ด้วยเทคโลโยที่ก้าวหน้าและทันสมัย ทำให้โลกใบนี้ของเราก้าวไกลไปมากกว่าเดิมจนเด็กสมัยนี้เกิดรักความสบายจนวัน ๆ ไม่อยากจะทำอะไร นอกจากเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหรือมัวแต่จ้องหมอจอสี่เหลี่ยมที่มีภาพวิ่งไปวิ่งมาประกอบกับเสียงเพลงที่เป็นแรงจูงใจ
จนทำให้เกิดภาวะโรคใหม่ที่นักจิตแพทย์ทุกคนรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยอนาคตของชาติ นั่นก็คือ “โรคภาวะขาดธรรมชาติ” นั่นเองค่ะ ฟังดูแล้วคุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่า มีด้วยเหรอโรคนี้?!?
คำตอบคือ มีค่ะ! โดยโรคภาวะขาดธรรมชาติหรือ Nature Deficit Disorder (NDD) นั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถูกระบุในทางการแพทย์จริง ๆ แต่ก็เป็นคำที่ Richard Louv ผู้เขียนหนังสือ Last Child in the Woods ได้กล่าวถึงอาการของเด็กที่เติบโตมาโดยขาดการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แน่นอนค่ะว่า มีการศึกษารองรับมากมายเกี่ยวกับภาวะดังกล่าวของเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ ซึ่งเด็กที่ป่วยภาวะนี้นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรได้นาน ๆ บางคนก็มีภาวะซึมเศร้าหรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ และแน่นอนค่ะว่า ภาวะทั้งหมดนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีปัญหากับการเข้ากับสังคมในอนาคต
อ่านสาเหตุของโรคภาวะขาดธรรมชาติเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไป
ทำความรู้จักกับ โรคภาวะขาดธรรมชาติ
คุณพ่อคุณแม่ทุกคนมักจะห่วงและกังวลเกี่ยวกับการรับประทานอาหารของลูก กลัวว่าลูกจะขาดสารอาหาร กลัวว่าลูกจะรับประทานของที่ไม่มีประโยชน์ และแน่นอนค่ะ กลัวลูกรับประทานอาหารไม่เยอะมากพอ กลัวลูกลำบาก กลัวลูกได้รับอันตราย กลัวสารพัดกลัว แต่แปลกที่คุณพ่อคุณแม่กลับไม่กลัวหรือกังวลที่ลูกของเราติดเทคโนโลยีมากเกินไป
สาเหตุหลัก ๆ ของเด็กที่ป่วยเป็นภาวะดังกล่าวนั้น เกิดมากจากความรักและความห่วงใยของคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงดูลูกด้วยความใกล้ชิดและปกป้องมาเกินไป จนเด็ก ๆ ทำอะไรเองไม่เป็น หรือในบางครั้งเด็ก ๆ แทบไม่ได้ออกจากบ้านไปสัมผัสกับธรรมชาติเลย เพราะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูหรือเล่นคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน
จริงอยู่ที่การหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกนั้น ทำให้ลูกของเรามีความสุข ไม่ซน นั่งอยู่กับที่ได้นาน ๆ โดยไม่กวนคุณพ่อคุณแม่เลย อีกทั้งทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าลูกรับประทานอาหารได้เยอะมากขึ้น แต่หารู้ไม่ว่า การให้ลูกได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้มากเกินไปนั้น เท่ากับเป็นการยื่นเอายาพิษให้กับลูกได้รับประทานไปทุก ๆ วัน จนสั่งสมอยู่ในร่างกายมากเกินไป ก็จะสามารถส่งผลร้ายกับเด็กโดยที่คุณพ่อคุณแม่อาจไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ เด็กที่ป่วยโรคนี้ ยังมีสาเหตุอันเกิดมากจาก การเรียนหนักมากเกินไป การบ้านเยอะ เรียนพิเศษทุกวันจนแทบไม่มีเวลาทำกิจกรรมอย่างอื่นเลยด้วยเช่นกัน
โรคนี้ส่งผลกับเด็กอย่างไร?
-
สมาธิสั้น
-
ใจร้อน ก้าวร้าว ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด
-
โรคอ้วน
-
เห็นแก่ตัว ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
-
เป็นโรคเครียด ซึมเศร้า
-
เก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร เป็นต้น
วิธีการบำบัดโรคดังกล่าว คลิก!
วิธีการบำบัดและป้องกันลูกให้ห่างไกลจากโรคนี้
จริง ๆ แล้วโรคนี้สามารถแก้ไขได้ง่ายไม่ยากเลยละค่ะ ซึ่งคุณหมอก็ไม่ได้ห้ามว่าไม่ให้ลูกสัมผัสกับอุปกรณ์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เลย เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ แต่อยากให้การสัมผัสนั้นควบคู่ไปกับการเรียนรู้ธรรมชาติได้อย่างสมดุล ไม่ควรให้ลูกได้สัมผัสกับอุปกรณ์เหล่านี้เร็วและมากจนเกินไป จนกระทั่งขาดโอกาสที่จะเรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว ยกตัวอย่างเช่น คน สัตว์ สิ่งของต่าง ๆ เป็นต้น
เด็ก ๆ นั้นด้วยวัยของพวกเขาจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้กับการอยู่ร่วมกันในสังคม รู้จักการพึ่งพากันและกัน แบ่งปันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ได้มีงานวิจัยบอกว่า การให้เด็กไปสัมผัสธรรมชาติรอบตัวอย่างเหมาะสมนั้น จะทำให้ได้รับผลดีต่าง ๆ ตามมา ได้แก่
-
สุขภาพที่ดีเพรา
ะได้ออกกำลังกาย -
มีภาวะอารมณ์และ
พฤติกรรมในเชิงบ วกมากขึ้น -
รู้จักปรับตัวกั
บสิ่งรอบข้างในส ถานการณ์ใหม่ๆได ้ดี -
เห็นอกเห็นใจคนอ
ื่น -
เข้าใจและรับรู้
อารมณ์ของตัวเอง อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้การให้ลูกรู้จักถึงความสมดุลระหว่างธรรมชาติกับเทคโนโลยีนั้น ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของพัฒนาการด้านต่าง ๆ ให้กับลูกของเราอีกด้วยเช่นกันนะคะ ดังนั้น อยากให้ลูกเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีคุณภาพ การปลูกฝังเรื่องของเทคโนโลยีและความรู้แต่เพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่เพียงพอ ควรสนับสนุนให้ลูกได้รู้และสัมผัสกับธรรมชาติให้มากด้วยเช่นกันนะคะ
เครดิต: หมอมินบานเย็น และ เพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา
เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
-
6 ยาสามัญประจำบ้าน ที่ควรพกตอนไปเที่ยวด้วยทุกครั้ง
-
ผลวิทยาศาสตร์ยืนยัน ลูกนอนหลับ มากน้อยมีผลกับสมอง
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่