AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

อัจฉริยะ หรือมีปัญหาการเรียนรู้ บ่งบอกด้วย 10 สัญญาณ

อัจฉริยะ หรือมีปัญหาการเรียนรู้ บ่งบอกด้วย 10 สัญญาณ - Amarin Baby & Kids

คุณพ่อ คุณแม่หลายคน เคยสังเกตบ้างไหม เวลาที่เราสอน หรือพูดอะไรแล้วเขามีความเข้าใจกับสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พูดมากน้อยแค่ไหน มีคุณพ่อคุณแม่หลายคนมีความกังวลใจกลัวลูกจะมีปัญหาด้านการเรียนรู้ ไม่ฉลาดเหมือนเด็กคนอื่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มาสังเกตสัญญาณว่าลูกจะเป็นเด็กฉลาด อัจฉริยะ หรือมีปัญหาด้านการเรียนรู้กันแน่

5 สัญญาณเด็ก อัจฉริยะ

ความฉลาดทางเชาว์ปัญญาหรือที่เราเข้าใจกันดีนั่นก็คือ IQ ไม่ใช่เกณฑ์วัดความรู้ที่ลูกของเรามีอยู่ แต่เป็นสิ่งที่วัดความสามารถในการรับรู้ข้อมูลใหม่ๆ ได้แก่ การคิด การใช้เหตุผล การคำนวณ และการเชื่อมโยงต่างๆ ซึ่งค่า IQ นี้จะถูกกำหนดมาตั้งแต่ที่ลูกน้อยของเรายังเล็กๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์ การดูแลลูกน้อยขณะอยู่ในครรภ์ และการดูแลลูกน้อยในช่วงวัยทอง 3 ขวบปีแรก แล้วหลังจากนั้นจะไม่สามารถเพิ่ม IQ ได้อีก แต่ว่า IQ ก็ไม่ใช่ตัววัดว่าลูกของเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าใคร  ดังคำพูดที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า “ความแตกต่างระหว่างความโง่เขลาและความเป็นอัจฉริยะนั่นคือความอัจฉริยะมีขีดจำกัด”  แต่ก็มีคุณพ่อคุณแม่หลายคนเชื่อว่า การที่ลูกน้อยมี IQ สูง ย่อมดีกว่าลูกมี IQ ต่ำ ซึ่งสัญญาณที่จะบ่งบอกว่าลูกน้อยของเราเป็นเด็กอัจฉริยะนั้น มีดังนี้

1.มีความวิตกกังวล

จิตแพทย์นามว่า Jeremy Coplan  ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับโรควิตกกังวลของมนุษย์ และเขาพบว่ายิ่งคนที่มีระดับความกังวลสูงยิ่งมี IQ ที่สูงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจาก Interdisciplinary Center Herzliya ที่ประเทศอิสราเอล นักวิจัยพบว่าผู้เข้าร่วมที่มีความวิตกกังวลมากที่สุด เป็นผู้ที่โฟกัสไปที่งานและมีความกระตือรือร้นมากที่สุดเช่นกัน

2.เด็กที่เริ่มหัดอ่านหนังสือได้ก่อนเด็กคนอื่นจะเป็นเด็กอัจฉริยะ

จากการศึกษาของประเทศอังกฤษได้ทำการทดลองจากคู่แฝดทั้งหมด 2,000 คู่ เด็กคนที่เริ่มหัดอ่านหนังสือก่อนจะมีไอคิวสูงกว่าคู่แฝดที่เริ่มทีหลัง นักวิจัยได้กล่าวว่า เหตุผลที่เด็กที่หัดเริ่มอ่านหนังสือก่อนมีไอคิวที่สูงกว่า ก็เพราะว่าการอ่านเป็นส่วนในการช่วยพัฒนาสมองที่สำคัญ ทำให้เด็กที่เริ่มอ่านก่อนฉลาดกว่า จริงๆ ก็คือการเริ่มอ่านหนังสือเร็วช่วยให้เด็กฉลาดนั่นเอง

3.เด็กที่ถนัดซ้ายฉลาดกว่าเด็กถนัดขวา

คุณครูสมัยก่อน ชอบบังคับให้เด็กเขียนหนังสือด้วยมือขวา กลายเป็นเรื่องตรงกันข้ามกับสิ่งที่ควรทำ มีการศึกษาหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ถนัดมือซ้ายจะมีความเกี่ยวข้องกับวิธีการคิดแบบอเนกนัย (Divergent Thinking) ซึ่งหมายความว่า เด็กเหล่านี้สามารถเชื่อมโยง 2 สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันในเชิงที่มีความหมายได้ และนี่ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งความฉลาด

IQ ไม่ใช่เกณฑ์วัดความรู้ที่ลูกของเรามีอยู่ แต่เป็นสิ่งที่วัดความสามารถในการรับรู้ข้อมูลใหม่ๆ

4.ดนตรีเป็นส่วนช่วยในเรื่องการพัฒนาสมองและความฉลาด

จากการวิจัยของนักจิตวิทยา Sylvain Moreno ได้นำเด็กอายุระหว่าง 4-6 ขวบ ทั้งหมด 48 คน มาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 24 คน กลุ่มแรกให้เข้าห้องเรียนดนตรี ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งให้เข้าห้องเรียนทัศนศิลป์ เด็กทั้งสองกลุ่มต้องเรียนวันละ 1 ชม.ต่อวัน ทั้งหมด 5 วันต่อสัปดาห์ เวลาผ่านไป 1 เดือน ผลสรุปออกมาว่า เด็กกลุ่มแรกที่เรียนดนตรีมีการพัฒนาทาง IQ มากกว่าเด็กอีกกลุ่ม ดังนั้น การลงเรียนดนตรีตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กจึงมีส่วนช่วยให้ฉลาดขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยในเรื่องของการโฟกัสและการควบคุมตัวเองอีกด้วย

5.ลูกน้อยเป็นคนตลก

นักวิจัยได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเป็นคนตลก กับการเป็นคนฉลาด มุขหรือการล้อเล่นต่างๆ ที่ถูกผลิตออกมาจากความคิดอันเฉียบแหลม มันไม่ใช่ว่าใครๆ ก็นึกจะเป็นคนตลกก็จะเป็นคนตลกได้

อย่างไรก็ตาม หากคุณพ่อคุณแม่พบว่า หลายครั้งลูกพูดอะไรออกมาแล้วฟังดูจับใจความยังไม่ค่อยได้ พูดอะไรมาก็ฟังไม่รู้เรื่อง หากเป็นเช่นนั้นจริงก็อยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตั้งข้อสังเกตก่อนว่า ลูกของเราอาจจะกำลังประสบกับปัญหาบางอย่างอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาทางด้านของการเรียนรู้ เป็นต้น แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ลูกมีปัญหาด้านการเรียนรู้ ทีมงาน Amarin Baby and Kids ได้รวบรวมเนื้อหาข้อสังเกต สาเหตุ และวิธีการดูแลเอาไว้ให้ที่นี่แล้ว

อ่าน “5 สัญญาณ ลูกมีปัญหาด้านการเรียนรู้” คลิกหน้า 2

5 สัญญาณ ลูกมีปัญหาด้านการเรียนรู้

ก่อนที่จะไปเช็กดู 5 สัญญาณบอกว่าลูกมีปัญหาด้านการเรียนรู้หรือไม่นั้น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนค่ะ ว่าปัญหาที่ว่านี้เกิดจากอะไรได้บ้าง?

ปัญหาความบกพร่องด้านการเรียนรู้นั้น คือลักษณะพิเศษของเด็กที่มีปัญหาในด้านการพัฒนาศักยภาพของการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านภาษา วิชาการ และการเขียน เป็นผลมาจากระบบการทำงานที่ผิดปกติของสมอง ในขั้นตอนของการรับรู้และสื่อสารข้อมูล ทำให้ลูกอาจจะติดปัญหาเรียนยาก หรือเรียนได้ช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน ซึ่งเด็กที่มีปัญหานี้ จัดอยู่ในกลุ่มของเด็กที่ต้องการได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งไม่ได้แปลว่า พวกเขาไม่ฉลาด หรือขี้เกียจกว่าเด็กคนอื่นๆ  แต่เป็นเพียงระบบความคิด การจัดเก็บ และสื่อสารข้อมูลนั้นแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ มากกว่า ซึ่งในความเป็นจริงนั้นลูกมีระดับไอคิวเทียบเท่าเด็กคนอื่น หรือบางทีอาจจะมีมากกว่า โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเช็กว่า ลูกมีปัญหาด้านการเรียนรู้ด้วยการดูจาก 5 สัญญาณเหล่านี้

1.ลูกรับรู้ หรือมีการตอบรับช้าผิดปกติ

หากคุณพ่อคุณแม่เห็นว่า ลูกของเรานั้นเวลาพูดอะไรไป ทำไมดูเหมือนไม่ค่อยมีการสอบสนองทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ รวมถึงบางทีดูเหมือนลูกไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบตัวเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือนานกว่าที่จะตอบรับความรู้สึกนั้น หากเป็นเช่นนั้นบ่อยๆ ละก็ แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่พาน้องไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดค่ะ จะได้รับทราบว่า สาเหตุที่แท้จริงนั้น เป็นเพราะลูกไม่ได้ยินที่เราพูด หรือเป็นเพราะลูกมีปัญหาด้านการเรียนรู้กันแน่

2.ลูกสื่อสารไม่ค่อยรู้เรื่อง

ลองสังเกตดูค่ะว่า เวลาที่เราถามคำถามลูกๆ สามารถตอบคำถามแล้วเราฟังเข้าใจหรือไม่ เพราะเด็กที่มีปัญหาด้านการเรียนรู้นั้น มักจะไม่สามารถใช้เชื่อมโยงคำกับการเสียงอ่านของคำนั้นได้ ไม่สามารถผสมเสียงพยัญชนะกับสระให้เป็นคำพูดได้ หรืออาจจะมีปัญหาในการพูดคำบางคำ เป็นต้น

เด็กที่มีปัญหาด้านการเรียนรู้นั้น มักจะไม่สามารถใช้เชื่อมโยงคำกับการเสียงอ่านของคำนั้นได้

3.มีปัญหาด้านการเรียน

ลูกรู้สึกตึงเครียดกับการทำความเข้าใจกับโจทย์หรือคำถามที่ยาก และมีการแสดงออกอย่างเด่นชัดว่าไม่อยากที่จะเรียน หรือรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับวิชานั้น รวมถึงมีการแสดงออกด้านอื่น ยกตัวอย่างเช่น มีปัญหาด้านการรับรู้ หรือเรียนรู้ตัวอักษร ตัวเลข สี รูปร่าง วัน รวมถึงไม่สามารถบอกแม้แต่เวลาได้

4.ใช้ชีวิตประจำวันไปด้วยความยากลำบาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การช่วยเหลือตัวเอง ไม่สามารถติดกระดุม รูดซิป หรือแม้แต่ผูกเชือกรองเท้าได้เอง จับดินสอ ปากกา หรือกรรไกรไปในทิศทางที่ต้องการไม่ได้ หรือเขียนหนังสืออ่านไม่รู้เรื่อง เป็นต้น

5.จำอะไรไม่ค่อยได้

ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะพยายามพูดหรือบอกอะไรไป ลูกไม่สามารถจำได้เลย หรือถ้าหากจำได้ก็จำได้เพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น ไม่นานก็ลืม และหากถามซ้ำอีกก็แสดงท่าทีเหมือนกับว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน

อ่านต่อ “สาเหตุของปัญหาด้านการเรียนรู้” คลิกหน้า 3

สาเหตุของปัญหาด้านการเรียนรู้

1.พันธุกรรม

ได้มีนักวิจัยกลุ่มหนึ่งสังเกตเห็นว่า ปัญหาทางการเรียนรู้นั้นถ่ายทอดต่อกันมาในครอบครัว และพวกเขาคิดว่า พันธุกรรมน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่ง อย่างไรก็ตามยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า อาจจะไม่ใช่พันธุกรรมที่เป็นตัวถ่ายทอดลักษณะมาในเด็ก แต่อาจเป็นที่ลักษณะการเลี้ยงดูที่เหมือน ๆ กันจากรุ่นสู่รุ่นก็เป็นได้

2.พัฒนาการทางสมอง

นักวิจัยบางคนเชื่อว่าปัญหานี้เกิดจากขั้นตอนการพัฒนาของสมองทั้งก่อนและหลังการคลอด ตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัวของเด็กที่น้อยเกินไป ขาดออกซิเจนระหว่างคลอด หรือสภาพแวดล้อมระหว่างตั้งครรภ์ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อปัญหาการเรียนรู้ให้กับเด็ก เด็กเล็ก ๆ บางคนที่ได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะ หรือส่วนที่ส่งผลกระทบสู่สมอง อาจจะมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาทางการเรียนรู้ได้

3.ผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม

ทารกหรือเด็กเล็กเป็นวัยที่อ่อนไหวต่อสิ่งแวดล้อม และไวต่อสารพิษหรือมลพิษเป็นอย่างมาก เช่น เรามักจะได้ยินมาว่าตะกั่ว (มักพบได้ในบ้านหลังเก่าๆ หรือในสีบางชนิด) อาจส่งผลกระทบต่อสมองได้ สภาพโภชนาการในการเลี้ยงดูเด็กจึงมีผลสำคัญในการเจริญเติบโต

นักวิจัยบางคนเชื่อว่าปัญหานี้เกิดจากขั้นตอนการพัฒนาของสมองทั้งก่อนและหลังการคลอด

ปัญหาด้านการเรียนรู้ ควบคุมได้

1.หาให้เจอว่าลูกถนัดเรียนแบบไหน เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความถนัดที่แตกต่างกัน การเรียนก็เช่นกันค่ะ ทุกคนจะมีความถนัดที่ไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ เด็กบางคนชอบที่จะเรียนจากภาพ เด็กจะเข้าใจได้ดีขึ้นเมื่ออธิบายเป็นกราฟหรือแผนภูมิ จากการอ่าน หากเด็กถนัดเรียนจากการฟัง เด็กจะทำได้ดีกับการเรียนในห้องเรียน และมีแนวโน้มจะชอบฟังเพลงหรือเล่นละคร หรือเด็กบางคนจะถนัดเรียนแบบปฏิบัติ พวกเขาจะทำได้ดีในการสร้างสรรค์ผลงาน หรือทำอะไรที่ได้ค้นหา

2.สอนให้ลูกรู้จักภูมิใจในตัวเอง โดยให้ลูกรู้ว่าสิ่งที่ลูกชอบและถนัดคืออะไร และส่งเสริมเขาในจุดนั้น ให้กำลังใจลูกเมื่อต้องพูดถึงทักษะที่ตัวเองมีปัญหา

3.สอนให้ลูกรู้จักขอความช่วยเหลือ และรู้จักช่วยเหลือคนอื่นเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

4.สอนให้รู้จักควบคุมตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ สอนให้ลูกได้รู้จักกับอารมณ์ในรูปแบบต่าง ๆ และทำความเข้าใจกับมัน เพื่อที่จะได้รู้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ และถ้าหากลูกรู้ว่าเครียด ก็แนะนำให้หากิจกรรมที่จะมาช่วยลดความเครียดให้ลดลงได้ เป็นต้น

5.ดูแลสุขภาพให้ดี แน่นอนว่าสุขภาพที่ดีจะนำมาสู่สุขภาพจิตที่ดี และจะทำให้เด็กมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น ง่ายๆ แค่ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนเพียงพอ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วละค่ะ

ขอบคุณที่มา: SUMREJ.COMMomjunction และ Taamkru

อ่านต่อเรื่องอื่นที่น่าสนใจ คลิก!!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids