หลักสูตรโรงเรียน อนุบาลอัจฉริยะ ญี่ปุ่น เป็นแบบนี้นี่เอง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า…ทำไม “เด็กญี่ปุ่น” ถึงได้เก่ง และโตมาเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ พาประเทศเจริญได้ขนาดนี้
ตามไปเจาะลึกลงพื้นที่ถึงโรงเรียนกันเลย …มาดูว่าโรงเรียนเด็กเล็กในประเทศญี่ปุ่น เขามีวิธีการสอนทั้งด้านวิชาการและจิตใจอย่างไร กับวิธีการฝึกเด็กน้อยอนุบาลให้เป็นอัจฉริยะ
หลักสูตรโรงเรียน อนุบาลอัจฉริยะ ญี่ปุ่น เป็นแบบนี่เอง!
เพราะ ระยะเวลาสำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของมนุษย์คือแรกเกิดจนถึง 7 ปี เพราะการพัฒนาสมองของมนุษย์ในช่วงวัยนี้จะพัฒนาไปถึง 80% ของผู้ใหญ่ ซึ่งเด็กจะเติบโตมาเป็นประชากรที่มีคุณภาพดีหรือไม่ มาจากระบบการศึกษาและหลักสูตรการเรียนการสอนที่ดีหรือเหมาะสมนั่นเอง
ซึ่งก็มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่สอนเด็กให้เป็นอัจฉริยะ ในทางของตัวเอง จนมีโรงเรียนมากกว่า 400 แห่ง ที่ขอหลักสูตรนี้ไปใช้โดยโรงเรียนนี้ปล่อยให้เด็กๆ เผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง เพื่อให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
โรงเรียนแห่งนี้อยู่ทางเกาะทางใต้ของญี่ปุ่น โดยมีแนวการสอนให้สร้างเด็กเป็นอัจฉริยะ ด้วยการทำให้เด็กๆ แข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ และสมอง ไม่ใช่เก่งแต่ไม่มีหัวใจ ร่างกายอ่อนแอ ซึ่งที่จริงเมืองนี้มีเด็กแค่ 10 คน แต่เด็กๆ ที่มาเรียนย้ายมาจากเมืองอื่นเพื่อที่จะมาเรียนโรงเรียนนี้โดยเฉพาะ
กิจกรรมแรกของวันคือการวิ่ง โดยเด็กวัย 4 ขวบวิ่งกลางแจ้ง ในวันฝนตก ไม่ต้องกลัวเด็กเป็นหวัด หรือหกล้ม สร้างจิตใจเด็กให้สู้อุปสรรค
ห้องเรียนเด็ก 3 ขวบ เริ่มจากพื้นฐานง่ายๆ อาจทำให้เด็กคิดได้เป็นระบบ โดยการขีดเขียน เวลาสอนให้จับจังหวะในการสอน เด็กจะรู้จังหวะด้วย ในหนึ่งปีจะใช้การเรียนสอนภาญี่ปุ่น 13 เล่ม ใครเขียนเร็วกว่าก็ไม่ต้องรอเพื่อน เด็กแต่ละคนมีความสามารถในการอ่านแตกต่างกัน เมื่อ 6 ขวบจะอ่านได้เทียบเท่าเด็ก 10 ขวบ
ห้องเรียนเด็กวัย 5 ขวบ อ่านหนังสือของ ป.2 ได้แล้ว อ่านด้วยความเร็วกว่าเด็กธรรมดาถึง 2 ปี เวลากลับบ้านจะเอาหนังสือไปยืนอ่านต่อหน้าคุณแม่ ทำให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเด็กอนุบาลเริ่มใช้พจนานุกรมกันแล้ว และจะเล่นลูกคิด แทนการใช้คอมพิวเตอร์
เด็กที่นี่ยกตัวด้วยมือได้ทุกคน กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางได้ทุกคน ทำท่ายากๆ ได้ เป็นการฝึกทางด้านร่างกาย เพราะเด็กออกกำลังกายได้ดีในช่วง 6 ขวบ เป็นการฝึกที่สำคัญ ยิ่งโต ร่างกายยิ่งดัดยาก
อ่านต่อ >> หลักสูตร “อนุบาลอัจฉริยะ” ที่ทำให้เด็กญี่ปุ่นเก่งได้ขนาดนี้! คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
เด็กอายุ 5 ขวบสามารถกระโดดขว้างสิ่งกีดขวางที่สูงกว่าตัวเองได้ ส่วนเด็กที่มีปัญหา เช่น พลาด และบาดเจ็บ คุณครูจะไม่ช่วย ปล่อยให้เด็กแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ทำให้เด็กอดทน เมื่อผิดหวังจะเข้มแข็งขึ้นมาด้วยตัวเองได้
การสอนมวยปล้ำสำหรับเด็กผู้ชาย แต่เป็นสิ่งสำคัญกับเด็กผู้ชาย ช่วยให้เด็กอดทนเมื่อเกิดสงคราม เมื่อมีน้ำตา จุก ก็ห้ามมีเสียง เจ็บเอง ร้องเอง ต้องหายเอง หรือเสียใจที่แพ้ เป็นการเรียนเรียนรู้ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย โดยเด็กที่แพ้จะตั้งใจว่าคราวหน้าจะชนะให้ได้
การเรียนว่ายน้ำ จะสอนให้เด็กว่ายในสระผู้ใหญ่ โดยสอนให้เด็กเปิดตาว่ายน้ำ ใช้เหรียญเงิน มาเป็นตัวล่อให้เด็กหยิบเหรียญไปซื้อขนม เป็นการท้าทายให้เด็กมีความพยายาม และสนุก แต่บนความโหดก็ต้องมีความอ่อนโยน เพราะเด็กจะรับอารมณ์ไม่ค่อยได้ ฝึกให้เด็กมีความกล้าฝ่าฟันอุปสรรค เช่นเด็กที่ว่ายน้ำไม่เป็น กลัวการว่ายน้ำ
ห้องเรียนต่อไปเป็นห้องเรียนดนตรี โดยการร้องเพลงให้เด็ก เล่นดนตรีตามเสียงที่ได้ยิน จะเห็นว่าเด็ก 5 ขวบก็สามารถทำได้แล้ว เพราะมีการฝึกมาตั้งแต่ 3 ขวบ
ทางโรงเรียนคิดว่าเด็กทุกคนเป็นเด็กอัจฉริยะ เด็กอนุบาลที่จบจากที่นี่จะมีความรู้เท่ากับเด็ก ป.4 เช่น บวกลบคูณหารในระดับยากๆ ได้ ซึ่งเด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ คือรู้สึกอยากเรียนเอง ช่วยพ่อแม่เอง เช่น มีการแลกเปลี่ยน ทำแบบนี้ทุกวันเด็กๆ จะติดนิสัยเป็นเด็กแข็งแรงเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ สอนให้เด็กเจอกับอันตรายทำให้เด็กอยากเข้มแข็ง เป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจ และไม่ยอมแพ้อุปสรรค รู้จักพึ่งพาตนเอง ทำให้เด็กรู้แพ้ รู้ชนะ และยอมรับคนที่เก่งกว่า เพราะเด็กแต่ละคนมีความเก่งที่แตกต่างกัน เด็กทุกคนบอกว่าสนุก และมีความสุขที่ได้ฝ่าด่าน และทำให้พ่อแม่ภูมิใจ
>> ชมคลิปแบบจัดเต็ม หลักสูตร “อนุบาลอัจฉริยะ” ที่ทำให้เด็กญี่ปุ่นเก่งได้ขนาดนี้! คลิกหน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ชมคลิปจากรายการ ดูให้รู้ : อนุบาลอัจฉริยะ ฉบับเต็มได้ด้านล่างนี้
ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : ThaiPBS
ซึ่งมีผลการวิจัยพบว่าปรัชญาการศึกษาของโรงเรียนในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งครูมีหน้าที่ 3 ประการคือ
1.สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้
2.สร้างสภาพแวดล้อมให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กันเอง
3.เล่นบทบาทหลากหลายในการกระตุ้นให้ เด็กทำกิจกรรมต่างๆ
ประเทศญี่ปุ่น จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับ “การเรียนรู้ผ่านการเล่น” โดยพัฒนาความสามารถในการรู้คิดและพัฒนาการทางอารมณ์ สมรรถนะทางกาย ผ่านกระบวนการเล่น ถือเป็นสิ่งส่งเสริมพัฒนาการเด็ก โดยเฉพาะเด็กปฐมวัย นอกจากนั้นยังสนับสนุนการเล่นเป็นทีม โดยจะให้เด็กเล่นคละอายุและคละเพศ ด้วยกระบวนการ วิธีการที่ไม่จำกัดเวลา สถานที่ ตลอดจนการจัดวางของเล่น ทำให้ระบบคิดและจินตนาการทำงานต่อเนื่องไม่ติดขัด
โดยครูปฐมวัยญี่ปุ่นจะมีบทบาทหน้าที่อย่างเดียวคือ “การสอน” เป็นผู้ให้คำแนะนำและกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ไขสถานการณ์ แต่ไม่ใช่เป็นผู้สั่งการหรือผู้คิดวางแผน
ทั้งนี้ หลักสูตรของญี่ปุ่นจะจัดให้เด็กเรียนแค่ 6 ด้าน ดังนี้ คือ
1.พลานามัย
2.สังคมศึกษา
3.ธรรมชาติศึกษา
4.ภาษา
5.ดนตรีและจังหวะ
6.การวาดภาพและงานฝีมือ
นอกจากนี้หลักสูตรการสอนระดับชั้นอนุบาลของญี่ปุ่นยังไม่เน้นวิชาการหนักๆ แต่เน้นความสำคัญที่จินตนาการและการเล่น โดยถือว่าการเรียนนั้นเรียนเพื่อให้รู้ ไม่ใช่เรียนไปเพื่อสอบ ในส่วนของของเล่นในชั้นเรียนก็เน้นให้เด็กเล่นแต่ชิ้นที่เรียบง่าย และกระตุ้นให้เกิดจินตนาการด้วย เช่น การต่อบล็อก การวาดภาพศิลปะ การประดิษฐ์ของจากเศษวัสดุเหลือใช้ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบว่าประเทศญี่ปุ่นมีวิธีการการสร้างคนที่ต่างกันคือ เรื่อง “จิตสาธารณะ”โดยในหลักสูตรทุกด้านของญี่ปุ่นจะเน้นสร้างให้เด็กมีความคิดคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อนการเห็นประโยชน์ส่วนตน และสามารถสร้างให้เกิดได้จริงด้วยกระบวนการเล่น การเล่นที่ถูกออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ด้วยการคละอายุ เพศ และกิจกรรมของเด็ก จะสอนให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อรุ่นพี่รุ่นน้อง และเพื่อนต่างเพศ เด็กจะถูกสอนให้เข้าใจกระบวนการวางแผนโดยธรรมชาติ สอนให้รู้จักการบริหารจัดการการเล่นของตนให้มีทั้งความสนุกและความรับผิดชอบต่อผู้เล่นคนอื่น สอนทักษะการเข้าสังคม การอยู่ร่วมกัน การใช้ภาษา ความเมตตาต่อกัน และที่สำคัญคือการทำงานเป็นทีม
วิธีการดังกล่าวจึงแตกต่างจากของไทย และทำให้การศึกษาในประเทศไทยมาผิดทาง เพราะมีการประเมินผลการเรียนของเด็ก ทั้งๆ ที่ควรประเมินวิวัฒนาการในตัวเด็ก นอกจากนี้ยังเห็นว่าต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติคนในสังคม ว่าความสำเร็จของเด็กไม่ใช่เกิดจากการแข่งขันด้านการศึกษา แต่ทำอย่างไรให้เด็กสามารถอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข
จะเห็นได้ว่าการสอนเด็กอนุบาลในญี่ปุ่นนั้นจะต่างจากการสอนแบบไทย ที่ให้นักเรียนนั่งโต๊ะเรียน พยายามให้เด็กอ่านหนังสือให้ดี จำให้ได้ กวดวิชาตั้งแต่ยังเล็กเพื่อสอบเข้าชั้น ป.1 ซึ่งเป็นการปิดกั้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เด็ก เด็กไทยจะพัฒนาอย่างมีคุณภาพได้หรือไม่อยู่ที่การเปลี่ยนระบบความคิดของพวกเราทุกคน ทั้งรัฐบาลและผู้ปกครองร่วมกันเปลี่ยนรูปแบบการสอน โดยใช้เด็กเป็นที่ตั้ง ประเมินผลงานของครูโดยดูจากพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็ก ความสำเร็จของครูจะอยู่ที่ตัวเด็กนั่นเอง
อ่านต่อ “บทความน่าสนใจ” คลิก!
- นี่คือ “อาหารกลางวัน ของโรงเรียนในประเทศญี่ปุ่น” ที่ได้ชื่อว่า มีคุณภาพดีเป็นอันดับ 1 ของโลก!
- เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น อย่างไร? ให้พึ่งพาตัวเองได้ มีวินัย ไม่งอแง
- 7 เรื่องพื้นฐานที่ควรสอนลูกให้ติดเป็นนิสัย! ตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น
- รีวิว ผลิตภัณฑ์ดูแลเด็ก สินค้าเด็ดส่งจากญี่ปุ่น ที่คุณแม่ต้องห้ามพลาด!!
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.ryt9.com