ทดลองวิทยาศาสตร์ ใครว่ายาก เด็กอนุบาลก็ทำได้ !! คุณพ่อแชร์ไอเดียสุดเจ๋ง ชวนลูกชายวัย 3 ขวบ เปิดห้องทดลองของตัวเองจากอุปกรณ์ และของเหลือใช้ในบ้าน ทั้งสนุกและได้ต่อยอดความรู้นอกห้องเรียน คุณพ่อคุณแม่บ้านไหนอยากชวนลูกเล่นบ้าง ทำตามได้ไม่มีหวงเลยค่ะ
5 การ ทดลองวิทยาศาสตร์ สุดเจ๋ง ชวนลูกเปิดห้องทดลองเองได้ที่บ้าน
เพราะความรู้ไม่จำกัดอยู่แค่ห้องเรียนหรือหนังสือเล่มหนา สำหรับเด็กวัยอนุบาลที่สนใจสำรวจสิ่งรอบตัวและได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ทดลองวิทยาศาสตร์ แบบง่ายๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีช่วยส่งเสริมให้ลูกน้อยเข้าใจสิ่งรอบตัว และความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ตามวัยอย่างเหมาะสม มีทัศนคติที่ดีกับการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อต่อยอดในอนาคต
คุณพ่อท่านหนึ่งมาแชร์ประสบการณ์ชวนลูกชายวัยใกล้สี่ขวบทำการ ทดลองวิทยาศาสตร์ แบบง่าย ๆ ที่บ้าน เพื่อสอนลูกเกี่ยวกับน้ำ ไว้ในเว็บไซต์ pantip พร้อมกับถ่ายภาพนักวิทยาศาสตร์กำลังทำการทดลองทั้ง 4 อย่างให้เห็นทุกขั้นตอนโดยระบุว่า
“แชร์ประสบการณ์ชวนลูกชายวัยใกล้จะสี่ขวบ (อนุบาล 1) ลองทำการทดลองวิทยาศาสตร์แบบง่ายๆที่บ้านเมื่อช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์
ที่ผ่านมาครับเนื่องด้วยโรงเรียนของลูกชายจัดงานวันวิทยาศาสตร์ แต่ลูกชายผมไม่ค่อยสบายเลยให้หยุดโรงเรียนเพราะกลัวจะไปติดเพื่อนๆและมีโอกาสได้เห็นภาพกิจกรรมวันวิทยาศาสตร์ของทางโรงเรียนทาง Facebook เพื่อนๆของลูกชายดูสนุกและสนใจกับกิจกรรมวิทยศาสตร์มากๆ เลยคิดว่าจะปล่อยผ่านไปแบบนี้ไม่ได้ น่าจะต้องจัดการทดลองวิทยาศาสตร์แบบง่ายๆให้ลูกชายที่บ้านบ้างครับ
เป็นการทดลองวิทยาศาสตร์แบบง่ายๆ ที่พอจะหาอุปกรณ์ได้เองภายในบ้านครับ
(ยกเว้นการทดลองสุดท้ายที่ต้องออกไปซื้อเบกกิ้งโซดาครับ)
การทดลองที่ 1: ไข่ลอยน้ำ
อุปกรณ์: ไข่ 2 ฟอง, แก้วน้ำ 2 ใบ, น้ำเปล่า และเกลือ
วิธีทดลอง: เทน้ำเปล่าลงในแก้วใบที่หนึ่งและสอง ใส่เกลือลงไปในแก้วใบที่ 2 ประมาณ 5-6 ช้อนโต๊ะ คนให้ละลาย จากนั้นค่อยๆใส่ไข่ฟองแรกลงในแก้วน้ำใบที่หนึ่ง ไข่ร่วงลงไปที่ก้นแก้วทันที แล้วจึงค่อยๆใส่ไข่อีกใบลงในแก้วใบที่สอง ไข่กลับลอยขึ้นมา
การทดลองนี้ใช้สอนเรื่องของความหนาแน่นของน้ำ ให้ลูกรู้ว่าถึงน้ำจะจับกำไว้เหมือนสิ่งของไม่ได้ แต่น้ำก็มีน้ำหนัก แก้วที่ไม่ใส่เกลือ น้ำหนักของไข่มากกว่าน้ำ ไข่จึงจม แต่แก้วที่ใส่เกลือลงไป เมื่อเกลือละลายทำให้น้ำมีความหนาแน่นมากกว่าไข่ ไข่จึงลอยได้ แต่ลูกชายผมยังไม่เข้าใจครับ เขาาคิดแค่ว่าเกลือทำให้ไข่ลอยน้ำได้
การทดลองที่ 2: แก้วสีรุ้ง
อุปกรณ์: น้ำผลไม้, น้ำมันพืช, แอลกฮออล์ และแก้ว 1 ใบ
วิธีทดลอง: เทน้ำผลไม้ใส่ในแก้วที่เตรียมไว้ ตามด้วยน้ำมันพืช และแอลกอฮอล์ ทิ้งไว้พักสักจะเห็นว่าของเหลวทั้งสามชนิด แยกตัวออกจากและแบ่งเป็น 3 ชั้น (แต่ลูกชายผมหนักมือ ฉีดไซริงค์แรงไปหน่อยครับเลยดูไม่ค่อยออกครับว่าแยกตัวออกเป็น 3 ชั้น 555)
การทดลองนี้สอนเรื่องความหนาแน่นของน้ำและของเหลว ลูกชายผมพอจะเข้าใจนิดหน่อยครับ ว่าน้ำคนละชนิดกันเลยไม่ผสมกัน ^^
การทดลองที่ 3: เทียนไขดูดน้ำ
อุปกรณ์: เทียนไข, แก้วน้ำ,สีผสมอาหารหรือน้ำหวาน และจานใส่น้ำ
วิธีทดลอง: หยดสีผสมอาหารลงในน้ำที่เตรียมไว้ (ที่บ้านผมเลยเลือกผสมกับน้ำหวานเฮลบลูบอยแทนครับ) วางเทียนลงกลางจาน จุดไฟ แล้วก็เอาแก้วมาครอบเทียนไว้ จากนั้นเทน้ำผสมสีลงในจาน สักพักเทียนจะดับและสังเกตเห็นว่าน้ำที่อยู่รอบๆแก้วค่อยไหลเข้าไปในแก้ว
การทดลองนี้สอนเกี่ยวกับออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจนที่มีอยู่ภายในแก้วถูกใช้ในการเผาไหม้ของเทียนจนหมด ทำให้น้ำและออกซิเจนที่อยู่ด้านนอกของแก้วถูกดันเข้าไปแทนที่อากาศภายในแก้ว ลูกชายผมไม่เข้าใจ เพราะยากเกินไปสำหรับเด็กวัยนี้ แต่ตอนที่ลูกเห็นน้ำค่อยๆไหลเข้าไปในแก้ว มันน่าตื่นเต้นมาก
อ่าน การทดลองของนักวิทย์ตัวจิ๋วต่อ หน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
การทดลองที่ 4: การเดินทางของน้ำ
อุปกรณ์: แก้วน้ำ 2 ใบ สีผสมอาหาร หรือน้ำหวาน และกระดาษทิชชู
วิธีทดลอง: ผสมสีกับน้ำในแก้วใบหนึ่ง นำไปวางคู่กับแก้วเปล่าอีกใบ จากนั้น ม้วนกระดาษทิชชูให้หนาๆและยาวพอที่จะจุ่มปลายทั้งสองข้างลงในแก้ว ที่เหลือแค่รอให้น้ำเดินทางครับ
หลังจากทิ้งไว้นานเกือบ 2 ชั่วโม (ผมใช้วิธีตั้ง Time lapse แล้วให้ลูกชายดูผ่านวีดีโอ Time lapse เอาครับ) ลูกเข้าใจได้เลยครับว่าน้ำจากแก้วหนึ่งไปยังแก้วอีกใบได้อย่างไร
การทดลองที่ 5: เป่าลูกโป่งด้วยปากขวด
อุปกรณ์: ลูกโป่ง, ขวดพลาสติก, น้ำส้มสายชู และเบกกิ้งโซดา
วิธีทดลอง: ใส่เบกกิ้งโซดาลงในลูกโป่งสัก 2-3 ช้อนชาครับ จากนั้นเทน้ำส้มสายชูลงในขวดพลาสติกประมาณเศษ 1-2 ส่วน แล้วเอาลูกโป่งมาครอบไว้บนปากขวดครับ ค่อยๆจับลูกโป่งตั้งขึ้นเพื่อให้เบกกิ้งโซดาลงไปผสมกับน้ำส้มสายชู ไม่นานลูกโป่งก็จะค่อยๆพองตัวใหญ่ขึ้นครับ
การทดลองนี้สอนให้ลูกรู้จักปฏิกิริยาทางเคมีแบบง่ายๆ ผ่านการ ทดลองวิทยาศาสตร์ ในบ้านที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นการทำปฏิกิริยากันระหว่างเบกกิ้งโซดากับน้ำส้มสายชู ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซที่เบากว่าอากาศ เมื่อมีก๊าซปริมาณมากๆจึงดันให้ลูกโป่งพองตัวใหญ่ขึ้น ซึ่งแน่นอนลูกชายผมไม่เข้าใจครับ เค้าเข้าใจแค่ว่า ฟองๆในขวดพลาสติกน่ะมันทำให้ลูกโป้งใหญ่ขึ้น
จากกิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์ที่บ้าน ลูกชายผมดูสนุกและสนใจมากๆครับ ก็ดีใจที่ลูกชายให้ความสนใจ แต่ความยากของกิจกรรมไม่ใช่การทดลองครับ แต่เป็นการจะอธิบายวิทยาศาตร์แบบนี้ให้ลูกชายผมเข้าใจในวัยของเค้าได้ง่ายที่สุดครับ
สอนลูกให้สนุกกับวิทยาศาสตร์ดีอย่างไร
ภาพของนักวิทยาศาสตร์ในชุดกราวสีขาว ใส่แว่นหนาเตอะอาจทำให้การทดลองวิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องวิชาการและดูไม่น่าสนุก แต่ความจริงแล้วการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จะช่วยพัฒนความคิด กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นรอบตัว ซึ่งเหมาะกับเด็กวัยอนุบาล เพื่อช่วยให้ลูกเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว แถมหลายเรื่องยังเป็นสิ่งมหัศจรรย์สุดว้าวจนต้องตะลึง มาดูกันดีกว่า การชวนลูก ทดลองวิทยาศาสตร์ ช่วยเสริมทักษะด้านใดบ้าง
- ทักษะการสังเกต เด็กๆจะใช้ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสหลายอย่างรวมกัน ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง สอนให้ลูกน้อยเป็นคนช่างสังเกตและตั้งคำถาม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนเมื่อโตขึ้น
- ทักษะแยกประเภท เด็กๆ จะได้ฝึกจัดกลุ่ม แยกประเภทสิ่งต่างๆรอบตัวว่ามีความเหมือน แตกต่างกัน หรือมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น ลักษณะ รูปทรง สีสัน แสง เสียง ขนาด เป็นต้น ต่อยอดไปเป็นทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล
- ทักษะการวัด เด็กจะได้ลองชั่ง ตวง วัดสิ่งต่างๆ ซึ่งสร้างประสบการณ์ให้ลูกน้อยรู้ว่าของที่แตกต่างกันนั้น หนัก เบา ใหญ่ เล็กอย่างไร
- ทักษะการสื่อความหมาย เมื่อเด็กได้ทดลองวิทยาศาสตร์ด้วยตัวเองแล้ว พวกเขาจะต้องหัดถ่ายทอดผลการทดลองให้คนอื่นได้รับรู้ ช่วยความสามารถด้านการรับรู้ข้อมูล การแสดงอารมณ์ สีหน้า ความรู้สึกอย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้ลูกได้ทดลองทำอะไรด้วยตัวเองจนสำเร็จช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ กล้าแสดงออก และกล้าตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ที่สำคัญยังเป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัวได้ทำกิจกรรมสนุกๆร่วมกันมากขึ้นด้วย
บทความน่าสนใจอื่นๆ
ลูกมีแววเป็นนักตรรกศาสตร์ : คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ รึเปล่า
10 ข้อ เลี้ยงลูกให้ฉลาด วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว
คณิตศาสตร์ สอนลูกน้อยอย่างไรให้เรียนเก่ง?
ขอบคุณข้อมูลจาก คุณพ่อเจ้าของกระทู้ในเว็บไซต์ pantip http://www.108kids.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่