“ความฉลาด” ถือเป็นสมบัติล้ำค่าส่วนหนึ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดกันทุกคน แต่ก็ถือว่าเป็นต้นทุนที่มีไม่เท่ากันของแต่ละคน และยังมีปัจจัยที่ส่งเสริมความฉลาดได้ตั้งแต่เด็กอีกมากมาย ทั้งจากการเลี้ยงดูแลของครอบครัว การเรียนรู้เพิ่มเติม ประสบการณ์ การฝึกฝน การให้ความสำคัญ สภาพแวดล้อมทางสังคม วัฒนธรรม ฯลฯ วันนี้ทีมแม่ ABK มีเทคนิคสร้าง IQ (Intelligence Quotient) พัฒนาสกิลความฉลาดให้ลูกได้ถ้าแม่ทำสิ่งนี้ให้ลูกทุกวัน
7 เทคนิคสร้าง IQ (Intelligence Quotient) ปัญญาดี บูสต์ไอคิวลูก
1.เข้านอนตอนหัวค่ำ
สำหรับเด็กแล้วการนอนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรปล่อยผ่าน เพราะเมื่อร่างกายนอนหลับ สมองก็จะได้พักผ่อนไปด้วย การนอนหลับพักผ่อนที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เด็กมีการเจริญเติบโตที่สมวัย เพราะช่วงที่นอนหลับ Growth Hormone ก็จะเจริญเติบโตทำงานได้เต็มที่ ทั้งยังเสริมสร้างภูมิต้านทานไม่ให้เจ็บป่วยง่าย ขณะเดียวกันในตอนนอนหลับสมองก็เริ่มจัดระบบความคิด เก็บข้อมูลให้เข้าที่เข้าทาง ช่วยพัฒนาการด้านสมอง ส่งผลให้ลูกตื่นเช้ามาอย่างอารมณ์ดี สมองปลอดโปร่ง แจ่มใส ร่าเริง มีความกระตือรือร้น มีสมาธิ ซึ่งจะช่วยทำให้มีการจดจำที่ดีด้วย
การนอนที่มีคุณภาพ ช่วยเพิ่มไอคิวให้ลูกได้นั้น ขึ้นอยู่กับช่วงวัยของเด็กแต่ละคน สำหรับเด็กวัยก่อนเรียน ช่วงอายุ 3-5 ปีที่เริ่มเข้าเรียนอนุบาลกันแล้ว การนอนของลูกวัยนี้ควรจะนอนประมาณ 10-12 ชั่วโมงในช่วงเวลากลางคืน และควรได้นอนกลางวันอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยมีผลจากการศึกษาของ National Institutes of Health กล่าวไว้ว่า “การส่งเสริมให้เด็กวัยก่อนเรียนได้นอนกลางวันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และความจำได้มากกว่าเด็กที่ไม่ได้นอนเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์” และเด็กวัยเรียนที่อายุ 6-12 ปี ควรได้นอนในช่วงกลางคืนประมาณ 9-11 ชั่วโมง และเมื่อถึงช่วงอายุที่มากขึ้น ชั่วโมงการนอนของลูกจะค่อย ๆ ลดลง แต่ถ้าได้นอนเต็มอิ่ม ตื่นมาก็จะสดชื่น สดใส สมองกระปรี้กระเปร่าสำหรับการเรียนรู้ ช่วยบูสต์ไอคิวสำหรับเจ้าตัวเล็กได้
2.กินอาหารบำรุงสมอง สร้างไอคิว
สำหรับเจ้าตัวเล็ก อาหารมีบทบาทในการกระตุ้นพัฒนาการของสมองและยังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม สติปัญญา และความเฉลียวฉลาดของเด็กเป็นอย่างมาก การเลือกรับประทานอาหารที่ดี กินอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารที่ครบถ้วน ในปริมาณที่พอเหมาะ ถูกสุขลักษณะ จะมีส่วนช่วยพัฒนาสมองและความจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับสารอาหารที่จะสามารถช่วยบำรุงสมอง เพิ่มไอคิวสูงปี๊ดให้กับลูกน้อย อาทิเช่น
- ถั่วและธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ที่อุดมไปด้วยกลุ่มวิตามินบี ช่วยพัฒนาเรื่องความจำ และกรดโฟลิคที่จำเป็นต่อการพัฒนาระบบประสาทของเซลล์ ช่วยในเรื่องของความจำและทำให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผักหลากหลายชนิด ผักอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเรื่องกระบวนการคิดการเรียนรู้ เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าเด็กที่ได้รับสารอาหารจากผักหลากหลายชนิดจะมีผลการเรียนที่ดีกว่าเด็กที่กินแต่ผักชนิดเดิมซ้ำๆ กันด้วยนะคะ
- ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ เชอร์รี่นับว่าเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เมื่อได้ทานเป็นประจำจะช่วยในการบำรุงสมอง ให้ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองได้ดี จึงช่วยให้มีระดับไอคิวและการบวนการคิดที่ดีขึ้น นอกจากนี้ผลไม้อย่างมะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะละกอสุก แคนตาลูป แตงโม ฯลฯ ก็เป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงไม่แพ้กัน สามารถหาซื้อมาให้เจ้าตัวเล็กกินเป็นของว่างได้เช่นกันค่ะ
- นม โยเกิร์ต และชีส ซึ่งเด็ก ๆ ควรจะได้ดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ดีต่อการพัฒนาเยื่อประสาท ช่วยในการทำงานของสมอง หากลูกแพ้นมวันก็สามารถชดเชยด้วยการดื่มนมที่ทำจากถั่วเหลืองหรืออัลมอนด์แทนได้นะคะ
- เนื้อสัตว์ เนื้อปลา มีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์สมองในเวลาที่เกิดความเครียด โดยเฉพาะในเนื้อปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสมอง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองในส่วนความจำและการเรียนรู้
- ไข่ไก่ อาหารที่ให้โปรตีนและมีคุณค่าสูง มีโคลีน (Choline) ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเซลล์สมอง ช่วยควบคุมความจำ และช่วยให้การทำงานของสมองเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากสารอาหารต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ร่างกายของเด็กก็ยังคงต้องการสารอาหารทั้ง 5 หมู่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่ แม่ ๆ จึงควรจัดสรรอาหารในแต่ละมื้อให้กับเจ้าตัวเล็กได้สารอาหารอย่างหลากหลายและไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
อ่านต่อ 7 เทคนิคสร้างลูกฉลาด ปัญญาดี ไอคิวสูง คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
3.ให้ลูกได้เล่นและออกกำลังกาย
สำหรับเด็ก ๆ “การเล่น” ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมพัฒนาการในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการทางกายในด้านการฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้เจริญเติบโต พัฒนาการทางอารมณ์ที่ทำให้ลูกรู้จักการแบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การสร้างมิตรภาพระหว่างเพื่อนในวัยเดียวกัน รู้จักการเข้าสังคม การเล่น ที่แม้จะเป็นแค่เกมง่าย ๆ ก็ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา ผ่านกระบวนการคิดที่ซับซ้อนจากสมอง ส่วนการออกกำลังกายในขณะที่เล่นกีฬาใด ๆ จะเพิ่มการทำงานของสมองด้วยการปล่อยสารเอ็นโดรฟิน เป็นสารเคมีที่ทำให้สมองเกิดความรู้สึกดี กระตุ้น
4.อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
อยากให้ลูกฉลาดเพียงแค่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง หรือให้ลูกดูภาพประกอบในหนังสือ จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านสมองของลูกได้ดี มีผลจากการศึกษาจากทั่วโลก ชี้ชัดมานานแล้วว่า การอ่านหนังสือให้ลูกฟังมีประโยชน์หลายอย่าง ไม่เพียงช่วยในการพัฒนาภาษาที่ช่วยเพิ่มคลังคำศัพท์ของลูก ยังรวมถึงการสื่อสารและการเรียนรู้ การสะกดคำ การอ่าน ที่จะช่วยให้ลูกฉลาดขึ้นได้ เพราะในขณะที่ลูกฟังนิทานที่แม่อ่าน เซลล์สมองจะมีการแตกแขนงของเส้นใยประสาท ยิ่งเส้นใยสมองเพิ่มขึ้นมาก เด็กจะยิ่งฉลาดมาก การอ่านทำให้มีการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น ทางตา ทางหู การจับสัมผัส กระตุ้นจินตนาการและความคิดรวบยอด เมื่อฟังแล้วเด็กจะมีการคิดตามสิ่งที่ได้ยินเป็นการฝึกมโนภาพ และนอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถทางปัญญาที่กว้างขึ้น การที่คุณพ่อคุณแม่ได้เริ่มอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่เล็ก ๆ ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกๆ ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเด็กได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
5.เรียนรู้การเล่นเครื่องดนตรี
มีงานวิจัย ผลทดลอง และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากศึกษาถึงประโยชน์ของดนตรีต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าการให้ทำกิจกรรมทางดนตรี อย่างการร้องเพลงหรือเล่นเครื่องดนตรีตั้งแต่ยังเล็ก มีส่วนช่วยเสริมพัฒนาการและทักษะความสามารถด้านต่าง ๆ ของเด็กได้มาก โดยมีผลการวิจัยจากหลายสถาบันได้แสดงให้เห็นว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากหลากหลายอาชีพมีวัยเด็กที่ผ่านการเรียนดนตรีมาแทบทั้งสิ้น มีผลการศึกษาพบว่า การเล่นดนตรี ให้ผลโดยตรงต่อสมอง ซึ่งได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ด้วยการสแกน MRI ระหว่างที่เล่นดนตรีนั้นทำให้เกิดกระบวนการคิดสร้างสรรค์ เมื่อเด็กๆ ได้ฟังเพลง เนื้อร้องก็จะเกิดการจินตนาการเป็นภาพตามบทเพลง ครีเอทสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นได้ดี และการเรียนรู้การเล่นเครื่องดนตรียังเป็นกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มระดับ IQ โดยตรงได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีผลมาจากการฝึกสมองผ่านการเรียนรู้โน๊ตดนตรี แยกประสาท เช่น การเล่นเปียโนที่ต้องใช้มือซ้าย-ขวา การตีกลองที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสตา มือ แขน ขา ที่เชื่อมโยงทุกส่วนกัน ดังนั้นกิจกรรมดนตรีก็เป็นส่วนหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยที่จะช่วยพัฒนาไอคิวให้เจ้าตัวเล็กนะคะ
บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : 6 ข้อที่บอกว่าให้ลูก เรียนร้องเพลงดียังไง เพิ่มไอคิว ช่วยลูกฉลาด!
6.ฝึกหายใจลึก ๆ
หนี่งในเทคนิคสร้างความฉลาดให้ลูกแบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใด ๆ เลยนั้นคือ การฝึกให้ลูกได้หายใจลึก ๆ ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้รับออกซิเจนทั่วถึง โดยสมองใช้ออกซิเจน 20.25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมองนั่นเอง ซึ่งวิธีหายใจอย่างถูกต้อง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น หรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ ที่สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เวลา 10-15 นาทีในแต่ละวันกับลูกในตอนเช้าหรือก่อนนอนฝึกหายใจลึก ๆ กันดูนะคะ
อ้างอิงข้อมูลจาก www.sanook.com
7.สร้างอารมณ์ขันกับลูก
ในปี 2010 มหาวิทยาลัยนิวแม็กซิโกได้ทำการศึกษานักศึกษามหาวิทยาลัย 400 คนและพบว่าคะแนนสูงในการทดสอบความฉลาด (IQ) มีความสัมพันธ์ระหว่างสติปัญญาและอารมณ์ขันอย่างมาก การได้เล่นกับลูกและสร้างเสียงหัวเราะให้กับเจ้าตัวเล็กนั้น ทุกครั้งที่ได้ยิ้มและหัวเราะบ่อย ๆ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา เป็นการกระตุ้นให้สมองได้คลายจากความตึงเครียด ซึ่งจะเป็นการลดภาระของสมอง ส่งผลให้ลูกรู้สึกอารมณ์ดี และนำไปสู่การเรียนรู้ที่ดีได้
ท้ายที่สุดความฉลาดที่สร้างได้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความรู้ทางวิชาการเท่านั้น ความฉลาดของมนุษย์นั้นไม่ได้วัดจากการทดสอบที่ได้มาตรฐานเพียงอย่างเดียว การมีสมองที่ดีขึ้นอยู่กับการเรียนรู้และฝึกฝนด้วย นอกจากเทคนิค 7 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถเพิ่ม IQ ของลูก โดยการแนะนำให้ลูกได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่หลากหลาย สังเกตความถนัดของตัวลูก ถ้าสามารถหาสัดส่วนที่ลงตัวของความฉลาดด้านต่าง ๆ ของลูกได้ และให้การส่งเสริมพัฒนาในแนวทางที่เหมาะสม ก็จะเป็นส่วนช่วยพัฒนาไอคิวให้ลูกเป็นเด็กฉลาดในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง และสามารถพัฒนาอย่างต่อเนื่องไปในอนาคต คุณภาพชีวิตก็จะดีตามได้.
ขอบคุณข้อมูลจาก www.news18.com, www.gsbgen.com, www.happyhomeclinic.com
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :
ทดสอบไอคิวลูก แบบง่ายๆ ด้วย Gesell drawing test ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 2-12 ขวบ
สารพัดความฉลาด 10 ด้าน 10Q คืออะไร ทำไมเด็กต้องมีให้ครบ!
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่