สร้างพลังสมองให้ลูก …เพราะลูกน้อยช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3 ขวบ เป็นช่วงที่สมองของเด็กมีการเจริญเติบโตมากกว่าช่วงวัยอื่นๆ หากสมองได้รับการกระตุ้นด้วยกิจกรรมที่เหมาะสมและได้รับโภชนาการที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้สมองมีการพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แม้สมองจะมีความสำคัญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวิธีการที่ทำให้สมองมีพัฒนาการ มีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์จะมีความสลับซับซ้อนและยุ่งยากแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ทุกอย่างเป็นไปตาม หลักธรรมชาติ อะไรที่ฝืนธรรมชาติ อะไรที่เกินธรรมชาติ อาจส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของสมองได้
ต่อไปนี้คือตัวอย่างของกิจกรรมง่ายๆ และโภชนาการที่ดีตามหลักธรรมชาติที่พ่อแม่สามารถลงมือทำเพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของสมองของลูกได้ด้วย ดังนี้
17 กิจกรรมเสริม สร้างพลังสมองให้ลูก
- พูดคุยเล่นกับลูก แม้เขาจะยังพูดไม่ได้ เสียงสูงๆ ต่ำๆ ของพ่อแม่จะกระตุ้นประสาทการได้ยิน ท่าทางประกอบคำพูดจะบ่งบอกความหมายของคำพูด มันคือจุดเริ่มต้นของการรู้ภาษา รวมทั้งความสามารถในการสื่อสาร
- เล่นกับลูกบ่อยๆ จับปูดำขยำปูนา ตบแผะ จ้ำจี้ ฯลฯ การเล่นเช่นนี้ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวมือ ขา ร่างกาย ส่งผลต่อพัฒนาการของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
- ฝึกอ่านใจลูก และตอบสนองต่อความต้องการของลูกให้ถูก การชี้นิ้วมือแบบนี้หมายถึงอะไร เสียงแบบนี้เขาต้องการอะไร การตอบสนองตรงกับความต้องการจะทำให้เขารู้สึกว่าตนเองมีค่า สิ่งนี้ช่วยพัฒนาสมองส่วนอารมณ์และความรู้สึกของเขาให้มีความสมบูรณ์
- ใช้หนังสือภาพ (Picture Book) หมั่นชวนลูกดูหนังสือภาพ เพราะนอกจากจะช่วยกระตุ้นสายตาและการมองแล้ว ยังช่วยให้เขาได้เรียนรู้ภาษา เรียนรู้สิ่งรอบตัวผ่านหนังสือภาพได้อีก
- ร้องเพลงกล่อมลูก เสียงสูงๆ ต่ำๆ แถมมีจังหวะด้วยช่วยกระตุ้นสมองได้ดี พัฒนาการของภาษา สมาธิ การคิด ความจำจะถูกกระตุ้นจากเสียงเพลง ข้อสำคัญยังตอกย้ำว่าเรารักเขา
- หาของเล่นที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ของเล่นที่ช่วยพัฒนาความคิด จินตนาการ ฝึกความอดทน ฝึกการแก้ปัญหามาให้ลูกเล่น ไม่จำเป็นต้องเป็นของแพงหรือมีกลไกซับซ้อน ขอเพียงช่วยสร้างสิ่งที่กล่าวไว้ให้ลูกเราได้ก็พอ
- การโอบกอด สัมผัส ลูบผม หอมแก้ม ดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ช่วยกระตุ้นการหลั่ง Nerve Growth Factor ซึ่งจะไปกระตุ้นสมองให้มีพัฒนาการและเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ ข้อสำคัญคือส่งสัญญาณให้เขารับรู้ว่าเรารักเขา
- เวลาลูกร้อง ตอบสนองให้ไว เพราะเด็กทุกคนต้องการความปลอดภัย เมื่อเขารู้สึกว่าตนเองปลอดภัย สมองของเขาก็จะพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ ในสภาวะที่ไม่ปลอดภัย สมองจะพัฒนาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการหนีภัยเท่านั้น
อ่านต่อ >> วิธีเสริมสร้างพลังสมองให้ลูกน้อย ข้อ 10 – 18 คลิกหน้า 2
- การนวดตัว เวลาที่เด็กเครียดช่วยให้เด็กผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี เวลาเขาไม่สบาย เวลาที่เขาเสียใจ ลองช่วยนวดก็น่าจะดี อย่าลืมว่าเวลาเด็กเครียดสมองของเขาจะไม่พัฒนา
- เล่นก่อกองทรายพาลูกน้อยไปเที่ยวทะเล หรือมีบ่อทรายขนาดเล็ก ๆ หน้าบ้าน เพื่อให้ลูกได้เล่นก่อกองทราย ซึ่งการก่อกองทรายจะได้ฝึกใช้จินตนาการได้อย่างดีเยี่ยม ได้คิดว่าก่อกองทรายเป็นรูปอะไร ได้ฝึกการคิดวางแผนว่าต้องไปตักทรายมาก่อน จะทำอย่างไรให้ทรายแข็งตัว ไม่ล้ม และที่สำคัญยังได้ฝึกการสัมผัส ได้จับทราย ขยำทราย เป็นการบริหารกล้ามเนื้อมืออีกด้วย
- ชวนติดสติ๊กเกอร์ในห้องน้ำ ลองหาซื้อสติ๊กเกอร์ลายการ์ตูนรูปสัตว์ตัวโปรดของลูกน้อยมา แล้วชวนลูกติดในห้องน้ำ เพื่อให้บรรยากาศการอาบน้ำมีความสุข ระหว่างการอาบน้ำได้เรียนรู้สัตว์ชนิดต่าง ๆ และที่สำคัญยังเป็นการฝึกให้ลูกน้อยมีวินัยในการอาบน้ำที่ดี
- เล่นนิทานประกอบท่าทาง โดยให้ลูกคิดเรื่องที่จะเล่าเกี่ยวกับตัวเอง เช่น หนูอยากเป็นเจ้าหญิง แล้วให้ลูกแต่งตัวเป็นเจ้าหญิง เปิดเพลงให้เขาได้เต้น หรือให้ลูกเล่าว่าเจ้าหญิงเป็นอย่างไร ทำไมหนูถึงอยากเป็นเจ้าหญิง ให้เขาได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ และบอกว่าเรื่องที่ลูกเล่าน่าสนใจจังเลย ทำให้ลูกได้ใช้จินตนาการในการคิดเรื่องราว รู้จักการเชื่อมโยงเรื่องราว และยังทำให้ลูกมีความมั่นใจ กล้าแสดงออก
- ช่วยกันจัดบรรยากาศบ้านให้โล่ง ปลอดภัยเพราะลูกน้อยวัยนี้เป็นวัยที่อยากเรียนรู้ อยากที่จะเดินสำรวจสิ่งต่างๆ ในบ้าน การจัดสถานที่ให้โล่ง เป็นสัดส่วน มีระเบียบ จะทำให้ลูกน้อยรู้ว่าสิ่งของต่าง ๆ อยู่ตรงไหน ต้องเอาของไปเก็บตรงไหน ฝึกการคิดวางแผนได้ดี และการที่บ้านมีระเบียบเรียบร้อยยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะได้รับอุบัติเหตุ ทำให้ลูกน้อยเล่นได้อย่างอิสระ อยากเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ภายในบ้านมากขึ้น
- มีความคงเส้นคงวา ตอบสนองต่อเด็กอย่างชัดเจนและในทัศนะท่าทีแบบเดิมต่อพฤติกรรมแบบเดิมของเด็ก ความคงเส้นคงวาของเราจะทำให้เด็กสามารถคาดการณ์สิ่งต่างๆ ได้อย่างไม่สับสน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเรียนรู้ของเขา
- เป็นต้นแบบในการแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นให้ลูกเห็น และในจังหวะที่เหมาะที่ควร การสอนให้ลูกรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นสอนได้ด้วยการทำให้เห็น ไม่ใช่สอนด้วยคำพูด
- ทำตัวของเราให้สนุกไปกับกิจกรรมของลูก เพราะการช่วยบอกเขาว่า “เรื่องของหนู น่าสนใจจริงๆ” ทำให้เขาเกิดความมั่นใจ ซึ่งจะเป็นแรงเสริมต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็ก
- ทำทุกอย่างที่ว่ามาทั้งหมดด้วยความรัก และความเข้าใจในตัวเขา อย่าเอาลูกไปเทียบกับคนโน้นคนนี้ เพราะเขาก็คือเขา ไม่มีทางที่จะเหมือนคนอื่นไปทั้งหมด
อ่านต่อ >> 3 โภชนาการดี เพิ่มพลังสมองให้ลูกน้อย คลิกหน้า 3
นอกจากกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว การเสริมโภชนาการที่ดีจะช่วยให้สมองน้อย ๆ มีการพัฒนาที่สมบูรณ์ และต่อยอดจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัดค่ะ
3 โภชนาการดี เพิ่มพลังสมอง
1. นม คือ โภชนาการที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย
อย่างไรก็ตามเมื่อลูกเริ่มโตขึ้นคุณแม่ควรเสริมสร้างพลังสมองและพลังการเรียนรู้ของลูกน้อยด้วยการให้ลูกน้อยดื่มนมผงอย่างต่อเนื่องและนานที่สุด เพราะนมผงเป็นโภชนาการที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นเพื่อให้เหมาะสมต่อพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย ด้วยการเสริมสารอาหารที่จำเป็นและมีประโยชน์มากมาย ซึ่งจะช่วยให้ลูกน้อยทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่
2. เรื่องอาหารการกินให้เป็นไปตามธรรมชาติของวัย
เด็กควรได้รับสารอาหารอะไร ควรเพิ่มสารอาหารอะไร แต่สิ่งที่อยากจะย้ำเกี่ยวกับเรื่องอาหารก็คือ “อย่าให้ลูกกินหวาน” โดยเฉพาะรสหวานที่มาจากน้ำตาลซึ่งเป็นสารโมเลกุลเล็ก เพราะมันจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงเกินความพอดี ทำให้ร่างกายต้องขับสารบางอย่างออกมาเพื่อขจัดน้ำตาลที่เกินพอดีนี้ ผลก็คือทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติภายในเวลาอันรวดเร็ว ในการทำงานของสมองนั้น สมองต้องการน้ำตาลในระดับที่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป ส่วนรสหวานที่มาจากผลไม้ ผัก หรือธัญพืช เป็นสารที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ ซึ่งจะค่อยๆ ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อพัฒนาการของสมอง
3. เวลาอาหารของลูกอย่าทำให้เป็นเวลาแห่งความทุกข์
หรือเป็นการบังคับขู่เข็ญเพราะจะทำให้เขาปฏิเสธอาหาร ซึ่งจะมีผลเสียต่อพัฒนาการของสมอง ต้องทำให้ลูกรู้สึกว่าเวลาอาหารคือเวลาแห่งความสุข
การจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัยของเด็กจะช่วยให้สมองมีการพัฒนาที่สมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้และต่อยอดจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัดค่ะ…หวังว่าคงช่วยให้พ่อแม่เกิดความสบายใจว่า การพัฒนาสมองลูก การช่วยให้สมองของลูกมีความสดใสกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลานั้น ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงเราเข้าใจหลักธรรมชาติ ของสมองเท่านั้นเอง