ในยุคดิจิตอลที่ผู้คนชอบสะสมความเครียดแทนการใช้สอยความสุข แน่นอนว่าสมองต้องรับบทหนัก คิด วิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งกับเด็กก็ตาม ก็ได้รับผลกระทบจากสิ่งรอบ ๆ ข้างนี้อยู่มิใช่น้อย
ด้วยรูปแบบพฤติกรรมการเลี้ยงดูของพ่อแม่ในยุคแห่งความเจริญนี้ มีพ่อแม่หลายคนเปิดโอกาส หรือสร้างช่องทางให้สมองลูกถูกทำลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะจากสื่อ สภาพแวดล้อม อาหารการกิน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อสมองของลูกไม่มากก็น้อย Amarin Baby & Kids จึงได้รวบรวม “วายร้าย ทำลายสมองลูก” มาฝากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตระหนักกันค่ะ
โทรทัศน์
เริ่มกันที่ “โทรทัศน์” เพราะมีบทความเผยแพร่งานวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำการเปรียบเทียบระดับไอคิวของเด็กที่ดูโทรทัศน์วันละ 1 ชั่วโมงกับเด็กที่ไม่ดูโทรทัศน์เลยพบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ระดับพัฒนาการของเด็กที่ดูโทรทัศน์จะต่ำกว่าเด็กที่ไม่ดูอย่างชัดเจน นักวิจัยจึงออกข่าวแนะนำพ่อแม่ไม่ให้เลี้ยงลูกด้วยโทรทัศน์จนกว่าจะพ้นระยะปฐมวัยไปแล้ว นั่นก็คือ หลัง 6 ขวบ
- ดังนั้น หากต้องการให้สมองของลูกพัฒนาไปตามธรรมชาติ ไม่ถูกกระตุ้นด้วยภาพและเสียงมากเกินไปจนทำให้ลูกกลายเด็กสมาธิสั้น สิ่งหนึ่งที่ห้ามเด็ดขาด คือ ไม่ควรดูโทรทัศน์ในระหว่างตั้งครรภ์ และระหว่างเลี้ยงลูกวัยก่อน 6 ขวบ เพราะต้องไม่ลืมว่า เวลาดูโทรทัศน์ เด็กจะใช้ประสาทสัมผัสเพียง 2 ส่วนคือ ตารับภาพ กับหูรับเสียงเท่านั้น จึงขัดแย้งกับกระบวนการเรียนรู้ในเด็กเล็ก ซึ่งจะต้องเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสที่ 6 ซึ่งโทรทัศน์ไม่สามารถตอบสนองได้เลย ซ้ำยังเป็นการทำลายสมองส่วนรับประสาทสัมผัสอื่นๆ ทางอ้อมอีกด้วย เพราะจะทำให้ค่อยๆ ฝ่อลง เนื่องจากไม่ได้ถูกใช้งานเท่าที่ควร
- นอกจากนี้ การที่เด็กเรียนรู้เพียงภาพ และเสียง เด็กจะไม่เข้าใจถึงการดำรงอยู่จริงๆ ของสิ่งที่เขาเห็นจากโทรทัศน์ เช่น ถ้าเราอยากให้ลูกรู้จักโต๊ะ เก้าอี้ แต่เราให้ดูแต่ภาพ หรือฟังเสียงเคาะโต๊ะ ขยับเก้าอี้จากโทรทัศน์เท่านั้น เขาก็จะรู้จักแค่ว่า โต๊ะ เก้าอี้ มีลักษณะแบนๆ เหมือนในภาพ แต่ไม่รู้ว่ามีความลึก หนา บาง หรือมีผิวสัมผัสอย่างไร ร้อนเย็นแค่ไหน เพราะฉะนั้น ถ้าลูกไม่เคยจับโต๊ะเก้าอี้เลย ความทรงจำของลูกเกี่ยวกับโต๊ะเก้าอี้ก็ไม่จริง แต่เป็นความทรงจำที่จำลองขึ้น
นอนดึกบ่อย ๆ
- เด็ก แต่ละวัยก็มีชั่วโมงการนอน หลับพักผ่อนแตกต่างกัน ตามนาฬิกาในสมอง (Biological clock) ลูกน้อยในวัยนี้ ควรนอนตั้งแต่ 2 ทุ่มหรือ 2 ทุ่มครึ่งช้าที่สุด นอนหลับลึกช่วงกลางคืน 10-12 ชั่วโมง ถ้าหากนอนดึก ตื่นเช้าบ่อย ๆ แล้วล่ะก็นอกจากร่างกายจะไม่สูงใหญ่แล้ว ก็จะทำให้เซลล์สมองไม่ได้รับการทดแทนจากการฟักตัวของเซลล์ใหม่ เซลล์สมองที่ตายแล้วจะสะสมจนมีปริมาณมาก ทำให้สมองไม่พัฒนาเท่าที่ควรค่ะ
อ่านต่อ >> “วายร้าย ทำลายสมองลูก !!” คลิกหน้า 2
อาหารขยะ
อาหารขยะจากแป้งทอด หรือย่างด้วยความร้อนสูง นับวันจะมีมากขึ้นในเมืองไทย ซึ่งการซื้ออาหารเหล่านี้ให้เด็กกินหรือให้เด็กซื้อกินจนติดเป็นนิสัย เป็นสิ่งที่น่าห่วงมาก เห็นได้จากข้อมูลงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า การให้เด็กๆ ที่อายุไม่ถึง 3 ขวบ รับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและไขมัน มีส่วนทำให้กระบวนการพัฒนาของเซลล์สมองด้อยประสิทธิภาพลง และอาจทำให้เด็กมีไอคิวต่ำกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน
- โดยงานวิจัยชิ้นนี้นำระดับไอคิวของเด็กที่รับประทานขนมกรุบกรอบอย่างมันฝรั่งทอด บิสกิต หรือพิซซ่าตั้งแต่อายุน้อยๆ (ไม่เกิน 3 ขวบ) มาเปรียบเทียบกับเด็กที่รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่ทำเองในบ้านพบว่า เด็กกลุ่มแรกมีไอคิวต่ำกว่าเด็กกลุ่มที่สองอย่างน้อย 5 แต้ม และแม้ว่าพ่อแม่จะปรับอาหารให้ดีขึ้นในภายหลัง ก็อาจสายเกินไปที่จะเยียวยาเสียด้วย เพราะกระบวนการพัฒนาของสมองนั้น ในช่วง 3 ขวบปีแรกถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของชีวิต
อย่างไรก็ดี การให้เด็กๆ ในวัยดังกล่าวรับประทานแต่อาหารที่เต็มไปด้วยไขมัน น้ำตาล ไม่เพียงแต่จะทำให้สมองของเด็กเติบโตได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่ยังทำให้เด็กขาดวิตามิน และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองด้วย
ของเล่น
ของเล่นบางชนิดที่ผลิตอาจมีสารพิษ และสารเคมีประเภทตะกั่ว หรือสารปรอทที่ปนเปื้อนมากับของเล่น หากได้รับการสั่งสมเป็นเวลานาน และปริมาณมากก็ส่งอันตรายต่อสมองได้ ซึ่งสารพิษสามารถป้องกันได้โดยการเลือกของเล่นที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรม) รับรองว่าปลอดภัย
อ่านต่อ >> “วายร้าย ทำลายสมองลูก !! ” คลิกหน้า 3
บุหรี่
สำหรับบ้านที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ สภาพแวดล้อมในบ้านไม่ปลอดโปร่ง อาจทำให้สมองของเด็กได้รับสารพิษ และเป็นการสกัดกั้นและบั่นทอนศักยภาพในสมองให้ลดลงได้ เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจน และอากาศที่สดชื่น
- ทั้งนี้ ยังมีข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกประเมินว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรเด็กทั้งโลก ได้หายใจเอาอากาศที่ปนเปื้อนควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กอยู่ในบ้าน จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กมากๆ เพราะยิ่งเด็กหายใจเข้าไปมากเท่าไร สมองก็ยิ่งจะเสื่อมลงไปทุกที ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ควรคิดให้ดีก่อนจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบในบ้าน
ความเครียดสะสม
อ่านต่อ >> “วายร้าย ทำลายสมองลูก !!” คลิกหน้า 4
ไอโฟน ไอแพด
พ่อแม่ในยุคไซเบอร์ที่ชอบเลือกซื้อไอโฟน ไอแพดให้ลูกเล่น พึงตระหนักกันให้ดีๆ ถึงแม้จะยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า เจ้าสองสิ่งนี้จะส่งผลร้ายต่อสมองเด็กโดยตรง แต่ถ้าปล่อยให้เด็กเล่น และอยู่กับเจ้าเครื่องเหล่านี้ตั้งแต่เล็ก โอกาสที่เด็กจะพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ย่อมมีได้น้อย อีกทั้งความเสี่ยงต่อโรคสมาธิสั้นย่อมเกิดได้สูงตามไปด้วย เนื่องจากภาพต่างๆ ในจอ เปลี่ยนเร็วมาก เด็กจะคุ้นเคยกับความเร็ว ทำให้รอคอยไม่เป็น ทางที่ดีควรให้ลูกเล่นเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม และมีกฎกติกาการใช้ที่ชัดเจน
- นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมพบว่า มีผู้ป่วยด้วยอาการปวดแขน ปวดคอจากการใช้งานแท็บเล็ตพีซีเช่นไอแพดเพิ่มมากขึ้น ในเรื่องนี้ ดร.John Pappas ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์จาก Beaumont Centre ในมลรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เผยว่า การใช้แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ โดยเฉพาะบริเวณนิ้วมือและมือ จึงสมควรใช้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น (อ่านต่อบทความน่าสนใจ “มือถือ คอมพิวเตอร์ อันตรายเสี่ยงลูกป่วยทางสายตา” / “แก้ปัญหาลูกติดมือถือใน 7 วัน”)
คลื่นมือถือ
มีรายงานเรื่อง “Cell Phones For Kids Death Traps To Hasten Their Deaths” ที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง จากผลการศึกษาวิจัยของ Dr.Om Ghandhi มหาวิทยาลัยยูทาห์ ในรายงานระบุว่า คลื่นที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือนั้นจะทะลวงเข้าสู่เนื้อเยื่อสมองทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ และอาจทำให้เกิดการดัดแปลงระดับชั้นพันธุกรรม (DNA) และชั้นเซลล์ ซึ่งอาจเป็นเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ (อ่านต่อบทความ “โทรศัพท์มือถืออันตราย กับลูกน้อยจริงหรือไม่?” / “ภัยจากรังสีที่แผ่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือ”)
อ่านต่อ >> “วายร้าย ทำลายสมองลูก !!” คลิกหน้า 5
อาหารมื้อเช้า
ความเร่งรีบของภาวะสังคมในปัจจุบัน อาหารมื้อเช้าของลูกเลยกลายเป็นเมนูจานด่วน แต่ช้าแต่ แค่นมสด 1 กล่อง ขนมปังพวกตระกูลไข่ทั้งหลายแหล่ ตามด้วยผลไม้ที่หาได้ง่าย ๆ อย่าง พวกกล้วยน้ำว้า มะละกอ ส้ม เท่านี้ลูกเลิฟก็ได้รับสารอาหารที่เพียงพอแล้วค่ะ
- แต่ถ้าไม่ได้หม่ำอาหารเช้า หรือหม่ำแต่เพียงเล็กน้อยบ่อย ๆ ก็อาจจะทำให้สมองมึนจนขาดสมาธิการเรียน และมีอาการง่วงซึมตลอดทั้งวัน พอนาน ๆ เข้าก็อาจจะส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหารในร่างกายเป็นอย่างมาก
ความอ้วนตุ๊ต๊ะ
หาก คุณลูกเลือกหม่ำทุกอย่างที่ขวางหน้า จนน้ำหนักตัวเริ่มฉุดไม่อยู่แล้ว กลายเป็นคนอ้วนตุ๊ต๊ะขึ้นมา ก็อาจส่งผลให้เส้นเลือดในสมองหนาขึ้น เพราะการเกาะตัวของไขมันจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้สมองทำงานได้ช้าลงเช่นเดียวกัน
ของหวาน
สมอง ไม่ใช่ความรักที่จะต้องหมั่นเติมความหวานอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเด็กที่ชอบหม่ำของหวานติดเป็นนิสัยแล้ว ซึ่งส่งผลให้น้ำตาลไปขัดขวางการดูดซึมของโปรตีนและสารอาหาร เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมองทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรค่ะ
สุขภาพสมองของลูกจะไปในทิศทางไหน พัฒนาอย่างเต็มศักยภาพหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพ่อแม่เป็นผู้กำหนด
อ่านต่อ >> “วิธีง่ายๆ ช่วยพัฒนาสมองที่ดีให้กับลูกน้อย” คลิกหน้า 6
สมองหนูดีได้ เกิดจาก…
นอกจากพัฒนาการทางกายภาพ เรื่องการกิน อยู่ หลับ นอน ของลูกแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้สมองของเขามีพัฒนาการที่ดี สมองดี คือประสบการณ์การเรียนรู้ และสิ่งแวดล้อมที่คุณพ่อคุณแม่จะจัดให้ดังต่อไปนี้ค่ะ
- ให้ความรักความอบอุ่น การให้ความรักความอบอุ่นและดูแลใกล้ชิดอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ลูกมีความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ มีความสุข และรู้สึกปลอดภัย ซึ่งจะทำให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้
- อาหารดี เมื่อลูกได้กินอาหารที่มีสารอาหารอาหารครบถ้วน และปริมาณเหมาะสม ก็จะช่วยให้สมองเจริญเติบโตและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สื่อสารผ่านประสาทสัมผัส คุณพ่อคุณแม่ต้องพูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใส โอบกอด สัมผัส ร้องเพลงกับลูก หรืออ่านหนังสือให้ลูกฟัง โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรก เพื่อให้เขาได้คุ้นเคยกับเสียงและภาษา ซึ่งโดยรวมแล้วก็คือการกระตุ้นผ่านระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 นั่นเอ
- บรรยากาศดี บรรยากาศในบ้านควรสงบร่มเย็นค่ะ ทุกคนในบ้านต้องมีความรักความเข้าใจให้แก่กัน เพราะเด็กๆ สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกและการกระทำต่างๆ ของผู้ใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเขาอย่างแน่นอน
- พักผ่อนเพียงพอ เด็กๆ ต้องได้รับการนอนหลับที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อน และเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่
- อากาศ สมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจนมากที่สุด ควรหาช่วงเวลาให้ลูกได้รับอากาศบริสุทธิ์อยู่บ่อย ๆ
- จิบน้ำบ่อย ๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85% เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว กลายเป็นคนคิดช้า ก็ควรให้ลูกดื่มน้ำบ่อย ๆ
- หัวเราะและยิ้ม ทุกครั้งที่ยิ้ม หรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา ยิ่งหลั่งออกมามากเท่าไหร่ก็เป็นผลดีต่อสมองเท่านั้น
ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะนำความสำเร็จในเรื่องของการเรียนรู้มาสู่เจ้าตัวเล็ก แต่การที่เด็กจะมีสติปัญญาดี สมองดี ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต คุณพ่อคุณแม่จึงต้องปลูกฝังเรื่องอีคิวหรือการรับรู้อารมณ์ของตนเอง และเรื่องคุณธรรมจริยธรรมด้วยค่ะ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ “สมองอ่าน อ่านสมอง” ของ พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ สำนักพิมพ์แฮปปี้ แฟมิลี่
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.manager.co.th