AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกเราควรไปโรงเรียนตอนอายุเท่าไหร่?

ควรส่งลูกไปจากเราเมื่อไร?

มีคำถามเสมอว่าควรส่งลูกไปโรงเรียนเมื่อไร น่าจะถามใหม่ว่า ควรส่งลูกไปจากเราเมื่อไร? คำตอบที่ตรงไปตรงมาและไม่เกรงใจกระแสสังคมคืออย่างเร็วที่สุดก็ 6 ขวบ  และควรมีข้อห้ามห้ามส่งลูกไปจากเราก่อนอายุ 3 ขวบ

เป็นที่เข้าใจได้ว่าเราต้านกระแสสังคมได้ยาก  ได้ยินมาว่าคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากส่งลูกไปสถานรับเลี้ยงเด็กเร็วมาก บ้างส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลเร็วมาก อีกทั้งได้ยินเรื่องการกวดวิชาเพื่อเข้าเรียนชั้นอนุบาลและการสร้างห้องอัจฉริยะสำหรับเด็กอนุบาล   จะเป็นอย่างไรก็ตาม   หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจพัฒนาการของเด็กเล็กไว้บ้างก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบาหรือช่วยทุเลาความเสียหายได้บ้าง

สำหรับคนที่ไม่ชอบวิชาการ  ก็ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมาก  เกิดเป็นพ่อแม่  ให้เวลาเขามากที่สุด  เล่นกับเขามากที่สุด  และอ่านหนังสือให้เขาฟังก่อนเข้านอนตั้งแต่แรกเกิด   ทำเท่านี้ทุกอย่างจะดีเอง

เหตุผลที่เราไม่อยากให้ลูกไปจากเราก่อน 3 ขวบเพราะ 3 ขวบปีแรกเขามีภารกิจที่ต้องทำหลายข้อ  แต่ละข้อนั้นอาศัยคุณแม่และ/หรือคุณพ่อ หรือผู้ใหญ่ที่อุทิศตนหนึ่งคนทำหน้าที่ช่วยเหลือเขา   ภารกิจเหล่านี้เขาทำเองไม่ได้และคุณครูที่โรงเรียนก็ช่วยไม่ได้

อ่านต่อ “ภารกิจ 3 ข้อที่ต้องทำก่อนส่งลูกเข้าโรงเรียน” คลิกหน้า 2

3 ภารกิจเหล่านั้นคืออะไร?

ภารกิจที่ 1 คือเรียนรู้ที่จะไว้ใจสิ่งแวดล้อมและโลก (Trust)

เด็กไว้ใจโลกจึงจะพัฒนาต่อไปได้จากที่เอาแต่กินนมไปจนกระทั่งเดินจากแม่สู่โลกกว้าง โลกจะน่าไว้ใจต่อเมื่อโลกนั้นปลอดภัยอย่างยิ่งใน 12 เดือนแรกของชีวิต จึงเป็นหน้าที่ของแม่ที่จะเลี้ยง อุ้ม กอด ให้นม ห่มผ้า เปลี่ยนผ้าอ้อม เปิดพัดลม เปิดแอร์ หยิบมดออกจากตัวเขา ไล่แมลงและยุง ฯลฯ นี่คืองานของแม่หรือพ่อหรือใครหนึ่งคนที่รักเขาประหนึ่งลูกของตนเอง ไม่ใช่งานของครู

อ่านเพิ่มเติม ทำไม “อุ้มกอด” จึงเป็นสิ่งที่อุ่นใจที่สุดของเบบี๋

ภารกิจที่ 2 คือเรียนรู้ว่าแม่มีอยู่จริง (object constancy) สร้างสายสัมพันธ์กับแม่ (attachment) และสร้างตัวตน (self) ตามลำดับ

ภารกิจทั้ง 3 ประการนี้จะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่ง 3 ขวบ  จะเกิดอย่างเข้มข้นตั้งแต่ลูกอายุ 6 เดือนจนถึง 2 ขวบครึ่ง  วิธีช่วยให้เขาทำภารกิจ 3 ประการนี้สำเร็จก็ด้วยการให้เวลาอย่างมากที่สุด  เล่นด้วยกันมากที่สุด และอ่านหนังสือนิทานก่อนนอนทุกคืน  ของง่ายๆ  นี่คืองานของแม่หรือพ่อหรือใครหนึ่งคนที่รักเขาประหนึ่งลูกของตนเอง ไม่ใช่งานของครู

การปรากฏตัวของเราเกือบตลอดเวลา  การมีปฏิสัมพันธ์กับเขาหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งการหายตัวไปเป็นบางครั้งเพราะในชีวิตจริงเราก็ไม่สามารถอยู่กับเขาได้ตลอดเวลา  ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรับรู้ว่าโลกนี้มีแม่แน่ๆ  ต่อให้หายตัวไปบ้างเดี๋ยวก็กลับมา  ช่วยให้ลูกรับรู้ว่าเขาสามารถเดินเตาะแตะไปจากแม่ได้  อย่ากลัวว่าแม่จะหายไป  หันมาดูเมื่อไรแม่ก็อยู่ตรงนั้นแหละ  ครั้นเขาใกล้ 3 ขวบ เขาจะเป็นคนขึ้นมาจริงๆ เสียที  เป็นมนุษย์ที่มีตัวตนของตนเองและเริ่มต้นที่จะเป็นอิสระจากคุณแม่   ระหว่าง 2 ขวบครึ่งถึง 3 ขวบนั้นเองจะเกิดกระบวนการที่สำคัญมากที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิตมนุษย์นั่นคือกระบวนการแยกตัวเป็นบุคคลอิสระ (separation-individuation) และพร้อมจะไปจากเรา

อ่านต่อ “สิ่งที่สำคัญยิ่งของภารกิจที่ 2 คืออะไร?” คลิกหน้า 3

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ เรื่องสำคัญที่สุดน่าจะเป็นสายสัมพันธ์ สายสัมพันธ์คือสายใยที่มองไม่เห็นโยงลูกไว้กับแม่  สายใยนี้ทอดไปได้ไกลแสนไกล และอยู่เหนือกาลเวลา นั่นแปลว่าถึงเวลาเขาไปโรงเรียน ไปหอพัก ไปเรียนต่างประเทศ  สายใยนี้ยังคงยึดโยงลูกไว้กับแม่ แม้ว่าแม่ตายแล้ว สายใยนี้ก็ยังยึดโยงลูกไว้กับแม่ พูดสั้นๆ คือ แม่อยู่ในใจเสมอ

สายสัมพันธ์ทำหน้าที่ดึงลูกมิให้ออกนอกลู่นอกทาง และทำหน้าที่ประหนึ่งสมอเรือที่คอยยึดโยงเรือมิให้ล่มยามพบพายุร้าย   ที่เราห่วงคือสร้างสายใยนี้ยังไม่ทันเสร็จก็ส่งลูกไปโรงเรียนคล้ายๆ ส่งเรือกระดาษออกทะเล

บัดนี้ลูก 3 ขวบแล้วก็จริง แต่ถ่วงเวลาไว้อีกอย่างน้อย 2 ปีก็ดีเหตุเพราะเขายังต้องการเวลาทำภารกิจที่ 3

ภารกิจที่ 3 คือเตรียมความพร้อมของสมอง

หมายถึงเตรียมสมองและวิธีคิดขั้นพื้นฐานให้พร้อมก่อนที่จะไปโรงเรียน   วิธีคิดเหล่านี้คือวิธีคิดแบบเด็กๆ  แต่วิธีคิดแบบเด็กๆ  มิใช่เรื่องเหลวไหลดังที่คนส่วนใหญ่ประมาทกัน  วิธีคิดแบบเด็กๆ  คือวิธีทำงานขั้นพื้นฐานของสมอง  เปรียบเสมือนระบบปฏิบัติการที่ดีและจะเป็นแพล็ตฟอร์มสำหรับวิธีคิดระดับสูงในวันข้างหน้า

อ่านต่อ “วิธีคิดแบบเด็กๆ ที่ลูกเราควรมีก่อนเข้าโรงเรียน มีอะไรบ้าง” คลิกหน้า 4

วิธีคิดแบบเด็กๆ  ที่สำคัญได้แก่

  1. animism คิดว่าอะไรเคลื่อนไหวได้ล้วนมีชีวิต ดังนั้นให้เขาเล่นตุ๊กตุ่นตุ๊กตาให้อิ่ม
  2. ego-centricism คิดว่าเรื่องราวรอบตัวล้วนเกี่ยวพันกับตัวเอง ดังนั้นเรายังต้องใช้เวลาช่วง 2-5 ขวบทำให้เขารู้ว่าเขามีบ้านและกติกาของบ้าน มีสังคมและกติกาของสังคมที่จะต้องเรียนรู้ เขามิใช่ศูนย์กลางของจักรวาลดังที่เข้าใจ
  3. magical thinking คิดเชิงเวทมนตร์ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่นี่คือวิธีคิดที่เปี่ยมล้นจินตนาการและไร้ขอบเขต เปรียบเสมือนทำสนามฟุตบอลกว้างไว้ก่อน อย่างอื่นว่ากันทีหลัง
  4. phenomenalistic causality คิดว่าเหตุการณ์สองอย่างที่เกิดพร้อมกันเป็นเหตุผลซึ่งกันและกัน พูดง่ายๆ ว่าจับแพะชนแกะ ปล่อยเขาจับแพะชนแกะให้พอก่อนที่จะต้องไปพบเหตุและผลจริงๆ ที่โรงเรียน

ในทางปฏิบัติ ช่วง 4-5 ขวบเป็นเวลาที่เด็กจะได้ฝึกช่วยตนเองอย่างจริงจัง  กินข้าว แปรงฟัน แต่งตัว ฝึกทำงานบ้านส่วนที่เป็นเรื่องของตัวเอง เก็บที่นอน เทกระโถน เก็บจานของตนเอง ฝึกทำงานบ้านส่วนที่เป็นของสาธารณะ ช่วยกวาดบ้านถูบ้าน ล้างถ้วยล้างจาน ซักผ้าตากผ้า และฝึกทำตามกติกาสังคมนอกบ้าน รู้จักรอคอย รู้จักเข้าคิว รู้จักแบ่งปัน เรื่องเหล่านี้ที่จริงแล้วเราควรทำมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เขาใช้มือใช้เท้าได้ดี และเข้มข้นขึ้นทุกปีที่ผ่านไป  ผลลัพธ์สุดท้ายที่เราจะได้คือเขาภูมิใจที่ช่วยตนเองและควบคุมอารมณ์ตนเองได้  นี่จึงเป็นความพร้อมที่แท้ก่อนไปโรงเรียน

ในทางทฤษฎี เด็กๆ จะพร้อมปะทะมนุษย์คนอื่นได้อย่างดีคือเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเมื่ออายุมากกว่า 6 ขวบขึ้นไป  เรียนรู้วิธีปะทะสังสรรค์ ทะเลาะเบาะแว้งตบตี และคืนดีช่วยเหลือกันและกัน   ธรรมชาติของพัฒนาการจะเป็นผู้ดูแลพฤติกรรมเหล่านี้ให้เองเพราะเด็กๆ  อยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอยู่แล้ว   ส่งไปโรงเรียนเร็วเกินไปเขาทำเรื่องพวกนี้ไม่เป็น  เกิดปัญหาอารมณ์แทรกซ้อนเสียเปล่าๆ

 

เรื่อง : นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

ภาพ : Shutterstock