พัฒนาการลูกเสีย เพราะพ่อแม่มัวแต่เล่นมือถือ - amarinbabyandkids
พัฒนาการลูกเสีย

เตือน! พัฒนาการลูกเสียจากมือถือของพ่อแม่

event
พัฒนาการลูกเสีย
พัฒนาการลูกเสีย
ลูกเล่นโทรศัพท์มาก
คุณแม่ที่มีลูกอายุไม่เกิน 9 ขวบไม่ควรปล่อยให้ลูกใช้โทรศัพท์มากเกินไป

รวมถึงในบางครั้งการให้ลูกรับโทรศัพท์ให้หรือให้ลูกเล่นเกมในโทรศัพท์ทั้งวันจะทำให้พัฒนาการของลูกหยุดนิ่ง เพราะในขณะที่มือถือทำงานอยู่นั้น จะมีรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นรังสีเดียวกันกับรังสีคลื่นวิทยุ และรังสีไมโครเวฟ รังสีตัวนี้จะทำให้ระบบการทำงานของ ดีเอ็นเอ เสียหายได้ เมื่อใช้มือถือบ่อย ๆ เด็ก ๆ อาจจะมีอาการปวดหัว มึนงง อ่อนเพลีย หรือนอนไม่หลับ หรือที่ร้ายแรงที่สุดคือ อาจเกิดเนื้องอกตรงประสาทหู ประสาทตา ลูกตา ต่อมน้ำลาย และสมอง

คุณแม่ที่มีลูกอายุไม่เกิน 9 ขวบไม่ควรปล่อยให้ลูกใช้โทรศัพท์มากเกินไป เพราะระบบประสาทของลูกยังทำงานไม่สมบูรณ์ คลื่นรังสีนี้อาจเข้าไปทำลายได้ เนื่องจากกะโหลกศีรษะของลูกยังไม่หนาพอที่จะผลกระทบจากรังสีตัวนี้ (อ่านต่อ >> อย่าฆ่าลูกน้อย!! ด้วยโทรศัพท์มือถือ คลิกเลย)

นอกจากจะทำลายระบบประสาทของลูกแล้ว การใช้มือถือมากเกินไปยังทำให้ พัฒนาการของเด็ก เสียอีกด้วยค่ะ ถ้าคุณแม่ปล่อยให้ลูกใช้มือถือบ่อย ๆ ลูกจะชินอย่างเช่นลูกเอาไว้เล่นเกม ลูกก็จะติดเกมในมือถือ ทำให้ลูกไม่อยากเล่นหรือสำรวจสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว ทำให้พัฒนาการทางด้านนี้เสียไป และการที่ลูกไม่ออกไปเล่นนอกบ้านหรือทำกิจกรรมอย่างอื่น เล่นแต่เกมในมือถือ กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายลูกก็จะไม่เกิดการพัฒนาอาจทำให้ร่างกายของลูกไม่แข็งแรงเท่าเด็กคนอื่น ๆ

นอกจากจะไม่พัฒนาด้านร่างกายแล้ว การพัฒนาด้านสังคมของลูกก็เสียไปด้วยเนื่องจากลูกไม่อยากเล่นกับกลุ่มเพื่อน พูดคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ทำให้พัฒนาการด้าน การพูด การอ่าน และ การเขียนช้าลงกว่าเด็กวัยเดียวกันค่ะ

ลูกติดมือถือแก้ยังไง
ลูกติดมือถือแก้ยังไง

คนในครอบครัวสามารถช่วยเด็ก ๆ ไม่ให้ติดมือถือได้ โดยการชวนลูกทำกิจกรรมที่ทำด้วยกันได้ เช่น ชวนเล่นจิ๊กซอว์ ต่อบล็อก ชวนเล่นเกมต่าง ๆ ลูกจะลืมเรื่องมือถือไปเองค่ะ แต่ถ้าจำเป็นต้องให้ลูกใช้มือถือก็ควรให้ลูกพูดให้สั้น ๆ เข้าใจง่ายที่สุด หรือให้ใช้อุปกรณ์เสริมเช่น แฮนด์ฟรี เพื่อลดความเสี่ยงของคลื่นไฟฟ้าจะส่งตรงเข้าสมองของลูก และควรวางมือถือให้ไกลจากลูกมากที่สุดลูกจะได้ไม่หยิบมาเล่นจนเคยตัวค่ะ

อ่านต่อ “บทความน่าสนใจ” คลิก!


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.manager.co.th

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up