ถ้าเด็กอายุ 3 ขวบแล้ว ยังไม่พูด ชอบเล่นคนเดียว ไม่สนใจใคร คุณกำลังนึกถึงอะไร อาการคล้ายออทิสติกใช่ไหมคะ แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป เพราะนี่อาจเป็นอาการของเด็กที่เป็นออทิสติกเทียมก็ได้…!?!
ออทิสติกเทียมมีจริง เป็นอาการที่เกิดจากการเลี้ยงดู มักพบในเด็กที่อยู่ในเมือง ครอบครัวมีฐานะดี เด็กมีพี่เลี้ยงคอยดูแล มักเป็นครอบครัวที่เร่งรีบ และใช้อุปกรณ์สื่อสาร เช่น ทีวี แท็บเลต เลี้ยงดูลูกแทนที่จะพูดคุย สบตา โอบกอดกัน ซึ่งปัจจุบันพบมากขึ้นเรื่อยๆ!
อ่านต่อ “ออทิสติกเทียม กับ ออทิสติก ต่างกันอย่างไร” คลิกหน้า 2
“ออทิสติกเทียม” เป็นอย่างไร?
- ไม่มีความผิดปกติทางกายใดๆ หรือสารสื่อประสาทในสมอง แต่เกิดจาก “ความเข้าใจผิดในการเลี้ยงดู” ที่ทำให้เด็กมีอาการคล้ายออทิสติก เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้ป่วย จึงเรียกว่าอาการออทิสติกเทียม
- อาการออทิสติกเทียมเกิดจากความเข้าใจผิดในการเลี้ยงดูได้แก่ 1) ปล่อยให้ลูกดูทีวี หรือแท็บเล็ตตั้งแต่เล็กๆ แต่พ่อแม่มักสงสัยพามารักษาเมื่อลูก 3 ขวบ (อ่านต่อ ลูกเป็นออทิสติกเทียม เพราะดูทีวีมากเกินไป) และ 2) การเร่งเรียน เด็กมักมีอาการมากตอนประมาณ 7 ขวบหรือขึ้นชั้นประถม
- อาการออทิสติกเทียม ที่คล้ายกับออทิสติก คือ ไม่พูด แยกตัว ทำอะไรอย่างไม่สนใจใคร เมื่อถูกขัดใจจะร้องกรี๊ดๆ ขาดทักษะทางสังคม
“ออทิสติก” เป็นอย่างไร?
ออทิสติกเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ไม่พบในเด็กที่มีอาการออทิสติกเทียม (อ่านต่อ แพทย์ชี้..’ออทิสติก’ เกิดขึ้นเอง ไม่ได้มาจากทีวี แท็บเล็ต หรือการเลี้ยงดู)
- พันธุกรรม เป็นสาเหตุอันดับแรก เด็กที่เป็นออทิสติก เมื่อซักประวัติมักพบว่ามีคนในครอบครัวเคยเป็น
- เมื่อพบว่ามีพันธุกรรม จะมีการตรวจสารสื่อประสาทบางตัวในสมองของเด็ก และมักตรวจพบความผิดปกติของสารสื่อประสาทบางตัว เช่น โดปามีน ซิโรโทนิน หรือ ออกซิโตซิน ซึ่งทำให้เด็กออทิสติกแต่ละคนมีอาการแตกต่างกัน
- อาการที่เป็นลักษณะบ่งชี้ ได้แก่ พัฒนาการด้านภาษาและสังคมล่าช้าเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน ไม่เลียนแบบ ไม่มองหน้า ไม่สบตา เล่นของเล่นซ้ำๆ ขยับมือซ้ำๆ ไม่พยายามพูดโต้ตอบ ชอบอยู่คนเดียว เหมือนมีโลกส่วนตัว เดินและวิ่งโดยเขย่งเท้า เป็นต้น
- สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุ 3 เดือน ถ้าคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกเอง จะสังเกตอาการได้เร็ว
อ่านต่อ “ให้ลูกดูทีวี แท็บเลต ทำให้เป็นออทิสติกเทียมได้อย่างไร” คลิกหน้า 3
ปล่อยลูกดูทีวี แท็บเลต ทำให้เป็นออทิสติกเทียมได้อย่างไร
1. การพูด หรือเรียนรู้ภาษา เกิดจากการเลียนแบบกล้ามเนื้อปาก ไม่ใช่การดูทีวีหรือแท็บเลต
“เด็กเรียนรู้การสื่อสารจากทีวี จากแท็บเลตไม่ได้ ถ้าเราไม่คุยกับลูก เขาไม่รู้จะเลียนแบบจากใคร ไม่เห็นว่าต้องทำปากอย่างไร เปล่งเสียงอย่างไร จึงไม่รู้วิธีสื่อสาร เป็นที่มาว่าเด็กพูดช้า หรือไม่พูด ซึ่งต่างจากเด็กออทิสติกที่ไม่พูด เพราะมีปัญหากล้ามเนื้อปากอ่อนแรงและมีความบกพร่องด้านการเลียนแบบจากพยาธิสภาพของโรค” (อ่านต่อ 12 วิธี สำหรับพ่อแม่สอนลูก “ฝึกพูด”)
“เพราะทีวีหรือแท็บเลต เป็นการสื่อสารทางเดียว เรื่องไหน ภาพไหนที่เด็กไม่ชอบเขาก็เปลี่ยน และถ้าพี่เลี้ยงยิ่งเพียงชี้นิ้วก็ได้ตามที่ต้องการ เด็กยิ่งไม่รู้ว่าเขาจะเข้าสังคมไปเพื่ออะไร เพราะไม่มีใครที่เขาอยากจะสื่อสารด้วย จึงมักมีพฤติกรรมไม่น่ารัก ไม่สนใจใคร คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ” (อ่านต่อ เลี้ยงลูกเจนฯ อัลฟ่าให้ฉลาดและมีความสุข)
“ระวัง! ออทิสติกเทียม จากการปล่อยปละละเลย ถ้าปล่อยไปจนถึง 6 ขวบ ไม่ได้รับการแก้ไข เด็กอาจกลายเป็นป่วยจริงคือ มีพัฒนาการล่าช้า ต้องได้รับการรักษาและประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ เพราะพ่อแม่ปรับพฤติกรรมเองไม่ไหวแล้ว”
อ่านต่อ “เร่งเรียน อยากให้ลูกเก่งแต่เด็ก ทำให้เป็นออทิสติกเทียมได้อย่างไร” คลิกหน้า 4
หวังดี เร่งเรียน ทำให้เป็นออทิสติกเทียมได้อย่างไร
จากประสบการณ์ของดร.วสุนันท์ พบว่า “มีเด็กที่ถูกเร่งเรียนตั้งแต่อายุขวบได้กว่าๆ ด้วยความหวังดีของพ่อแม่อยากให้ลูกเก่ง มีความสามารถ สอบเข้าให้ได้ จึงพยายามให้ลูก “ทำให้ได้” จัดกิจกรรมให้ลูกเรียนทุกวันตั้งแต่เช้าจนเย็น หรือค่ำ วันละ 3-4 กิจกรรม แม้ลูกจะร้องไห้ แต่ก็จะถูกดุ ถูกบังคับให้หยุดร้องและกลับไปทำให้ได้ ทำให้เสร็จ
ระวัง! ออทิสติกเทียม จากการเร่งเรียน กรณีเร่งมากๆ อาจส่งผลให้สมองเกิดการลัดวงจร คือ เกิดความผิดปกติในลำดับการสร้างสารสื่อประสาทในสมอง เด็กบางคนอาจ burn out เอาแต่ใจ ไม่อยากทำอะไรเลย เป็นออทิสติกจริงๆ ได้
อ่านต่อ “การแก้ไขอาการออทิสติกเทียม พ่อแม่ทำได้อย่างไร” คลิกหน้า 5
ออทิสติกเทียม พ่อแม่แก้ไขได้
“ในเด็ก 100 คนที่พ่อแม่พามาปรึกษาด้วยสงสัยว่าเป็นออทิสติก เราจะพบเด็กที่เป็นออทิสติกเทียม 20-30 คน ซึ่งแพทย์จะไม่วินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก แต่จะให้คำแนะนำถึงความจำเป็นที่ต้องได้รับการแก้ไข ปรับพฤติกรรม ได้แก่ การเลี้ยงดูของพ่อแม่ และรับปรับพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งสามารถหายได้ โดยพ่อแม่ทำได้เอง” ดร.วสุนันท์ ย้ำชัดถึงโอกาสของการหายจากอาการออทิสติกเทียม
1. กรณีปล่อยให้ดูทีวี หรือแท็บเลต
“เนื่องจากเป็นอาการซึ่งเกิดจากการปล่อยปละละเลย ไม่ได้สอนเขา วิธีการแก้ไขเพียงใช้การปรับพฤติกรรมเท่านั้น เมื่อพ่อแม่รู้แล้ว ยอมรับ หากไม่มัวรู้สึกผิด ไม่มัวทอดอาลัย หันมาตั้งใจจริงกับการปรับพฤติกรรม เพียง 3 เดือน ลูกก็กลับมาพูดแล้ว เพียงแต่ต้องระวังไม่เร่ง และไม่เครียดค่ะ”
- จำกัดเวลาดูทีวีไม่เกิน 5-10 นาที และพ่อแม่ต้องนั่งดูกับลูก และพูดคุยกับลูกไปด้วย และควรเลือกเนื้อหาที่ดูให้มีกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น ทำอาหาร งานศิลปะ ประดิษฐ์หรือ ทดลองต่างๆ “การได้เคลื่อนไหวร่างกายจะทำให้เด็กรู้สึกถึงการมีพลัง เขาจะสนุก แล้วจะลดการดูทีวี นอกจากนี้การได้ใช้ประสาทสัมผัสอื่นๆ เพื่อให้สมองเกิดการเรียนรู้อีกด้วย”
- ถ้าจำเป็นต้องมีพี่เลี้ยง ต้องเลือกพี่เลี้ยงที่มีคุณภาพ และพ่อแม่ต้องมีกติกาชัดเจนว่า บ้านนี้จะไม่เปิดทีวีหรือ แท็บเลตเลี้ยงเด็ก
- คุยกับลูกวันละ 30 นาที – 1 ชั่วโมง เพื่อให้เขาเรียนรู้คำศัพท์ที่ช่วยในการสื่อสาร เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่-เด็ก ครู-นักเรียน เพื่อน-เพื่อน เขาต้องรู้ว่าเขาควรทำอะไรบ้าง เช่น ขอร้อง ขออนุญาต อยากจะเล่นกับใครก็ต้องเขาไปหา ขอเล่นด้วยโดยต้องค่อยๆ ฝึกทีละน้อย ทำให้ลูกดู ให้ลูกทำตาม เป็นต้น และไม่อายที่จะสอนลูก เมื่อลูกทำพฤติกรรมไม่น่ารัก ไม่เหมาะสม แม้ในที่สาธารณะ พ่อแม่ควรเปลี่ยนความอายเปลี่ยนความกลัว เป็นความดีใจว่าจะได้โอกาสช่วยลูก
เด็กที่มีอาการออทิสติกเทียม ไม่ได้ป่วยเป็นออทิสติก เขาถูกทำให้มีอาการออทิสติก จึงแก้ไขได้ และหายได้แน่!
อ่านต่อ “การแก้ไขอาการออทิสติกเทียมสำหรับพ่อแม่ กรณีเร่งเรียน” คลิกหน้า 6
2. กรณีเร่งเรียน
การแก้ไขก็ยังเป็นการปรับพฤติกรรม แต่หากเร่งมากจนเด็ก burn out ซึ่งมักจะเป็นเมื่อเริ่มขึ้นชั้นประถม จำเป็นต้องให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยเหลือด้วย ถ้ารู้ว่ากำลังเร่งลูก สิ่งที่พ่อแม่ทำได้เลยคือ
- ลดการเร่งลูก ช่วง 6 ขวบปีแรก หรือก่อนที่จะเข้า ป.1 ควรส่งเสริมในทางที่ควรจะเป็น นั่นคือ ส่งเสริมให้เขามีพัฒนาการที่สมวัย ถ้าลูกจะเร็วก็ให้เร็วด้วยตัวของเขาเอง
- พ่อแม่ควรมีความเข้าใจถึงเด็กที่ประสบความสำเร็จในมุมที่ต่างไป เช่น เด็กที่เก่งไม่ใช่เด็กที่ต้องรู้วิชาการมาก ทำได้ทุกอย่าง เด็กที่เข้ากับทุกคนได้ อยู่ในสังคมที่ดี สามารถคุยกับทุกคนได้ พูดจาฉะฉาน พูดจาเก่งเกินตัว อันนั้นเป็นความคิดที่เราว่าดี
เรื่อง : กองบรรณาธิการนิตยสาร Amarin Baby & Kids
ภาพ : Shutterstock