AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

อย่าปล่อยให้เทคโนโลยีเลี้ยงลูก! แชร์ 5 เทคนิคอีซี่ๆ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ไกลโรคสมาธิสั้น!?

อย่าปล่อยให้เทคโนโลยีเลี้ยงลูก! แชร์ 5 เทคนิคอีซี่ๆ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ไกลโรคสมาธิสั้น!?

ปัจจุบัน เด็กไทยมีแนวโน้มสู่การเป็นโรคสมาธิสั้นมากขึ้นโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ด้วยเทคโนโลยีใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เครื่องเกม แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมขาดสมาธิจดจ่อในการทำกิจกรรมทั่วไป จนกลายเป็นเด็กก้าวร้าว และนำไปสู่การเป็นโรคสมาธิสั้นในที่สุด

 

 

ขอบคุณรูปภาพจาก  http://kakandee.blogspot.com/2017/03/9.html

เลี้ยงลูกอย่างไรให้ไกลโรคสมาธิสั้น ?

โดยเด็กสมาธิสั้นส่วนมากมักจะพบว่า ปัญหาเกิดจากการเลี้ยงดูของผู้ปกครองที่ปล่อยให้เทคโนโลยีเลี้ยงดูลูกหลานของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยเด็กไว้หน้าทีวีจนทำให้เด็กไร้ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การปล่อยให้เด็กใช้แท็บเล็ตเล่นเกมส์ระหว่างรอผู้ปกครองทำกิจธุระจนทำให้เด็กหมกมุ่นอยู่แต่กับเกมส์ เหล่านี้ เป็นสาเหตุง่ายๆที่ทำให้เด็กเล็กมีโอกาสเป็นโรคสมาธิสั้น ในบางรายอาจจะต้องพาไปพบจิตแพทย์และรักษาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนใช้เวลานานเป็นปีกว่าจะหายเลยทีเดียว

แต่จะดีกว่าไหม? หากเราซึ่งเป็นผู้ปกครองจะรู้เท่าทันพฤติกรรมเหล่านี้ และหาวิธีป้องกันไม่ให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้นจากเทคโนโลยีได้ ด้วย 5 เทคนิคง่ายๆที่ไม่ต้องใช้เงินจ่ายค่ารักษามากมาย ไม่ต้องซื้อสิ่งสร้างเสริมประสบการณ์ต่างๆ มาช่วยพัฒนา เพียงแต่แค่มีเวลาและใส่ใจก็พอ

ขอบคุณรูปภาพจาก https://thegolfclub.info/related/mother-toddler-pictures.html

หมั่นพูดคุยและสบตาระหว่างพูดทุกครั้ง

อาการที่เด็กเฉยชาและไม่ส่งผลต่อการตอบสนองเวลาพ่อแม่เรียกหา เกิดจากการปล่อยให้เด็กอยู่กับหน้าจอมากไป จึงทำให้เด็กตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก สร้างโลกที่มีแต่ตัวเองและเกมส์ขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งก็นับเป็นอีกหนึ่งอาการที่เรามักจะพบเห็นได้ในเด็กแทบทุกวัย ดังนั้นการที่เด็กแสดงอาการแบบนี้ออกมา ผู้ปกครองจึงไม่ควรขึ้นเสียงซ้ำหรือแสดงอารมณ์โมโหใส่ แต่ควรจะเดินเข้าไปสะกิดเด็กพร้อมทั้งสบตาระหว่างพูดคุย ซึ่งจะทำให้เด็กสนใจ เบี่ยงเบนความสนใจจากโลกหน้าจอ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ปกครองมากขึ้น

ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวร่วมกับเด็กตลอดเวลา

อาจจะไม่ใช่การทำกิจกรรมร่วมกันทุกวัน แต่อาจจะเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันในทุกสุดสัปดาห์ตามความสะดวกของผู้ปกครองที่จะจัดสรรเวลามาใช้ร่วมกับลูกอย่างเหมาะสม โดยในบางครอบครัวอาจจะกำหนดให้ทำกิจกรรมนอกบ้านร่วมกันทุกสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กและใช้เวลาร่วมกัน หรือการใช้เวลาสั้นๆ กับเด็กในทุกๆวันได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น ป้อนข้าว หรืออาบน้ำ เหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่ทำได้ทุกวัน ซึ่งผู้ปกครองสามารถหาอุปกรณ์มาสร้างเสริมพัฒนาการของลูกระหว่างทำกิจกรรมร่วมกันได้ด้วย

Giraffe & Friends organic head to toe baby foam wash เป็นตัวช่วยที่ดีให้หลายๆ ครอบครัว ได้มีกิจกรรมร่วมกันเป็นประจำ ผ่านทางการอาบน้ำให้เด็ก เป็นที่รู้กันดีว่าการอาบน้ำให้เด็กนั้นเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนจะชุลมุนวุ่นวาย แต่หากเลือกใช้อุปกรณ์ในการอาบน้ำที่ทำให้เด็กรู้สึกสนุก เพลิดเพลินไปในตัว ก็จะทำให้เด็กมีแรงจูงใจในการอาบน้ำมากขึ้น

สำหรับครีมอาบน้ำขวดนี้เป็นครีมอาบน้ำที่เหมาะกับเด็กที่มีผิวบอบบางและแพ้ง่าย ผ่านการทดสอบการระคายเคืองได้ค่าการระคายเคืองต่ำ = 0 (เท่ากับศูนย์) จึงทำให้ลดปัญหาผดผื่นจากอาการแพ้ หรือผดร้อนต่างๆได้เป็นอย่างดี มีส่วนประกอบจากข้าวโพดและมะพร้าว ช่วยในการบำรุงผิวเด็กให้นุ่ม ชุ่มชื้น หอมสดชื่นได้ทั้งวัน

ขวดครีมอาบน้ำออกแบบมาจากวัสดุที่ได้รับการการันตีว่า ปลอดภัย และผลิตจากพลาสติก Food Grade เด็กสามารถเล่นได้โดยที่ไม่อันตราย เป็นตัวช่วยในการอาบน้ำได้ดี เพราะมีรูปทรงที่น่ารักเป็นยีราฟสีสันสดใส เด็กเห็นแล้วจะทำให้รู้สึกอยากอาบน้ำทุกครั้ง และมีการสร้างบทบาทสมมุติขึ้นมาว่า “พี่ยีราฟ” จึงทำให้การอาบน้ำเป็นเรื่องที่สนุกมากขึ้น เพียงแค่พ่อแม่ใส่ใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและออกแบบมาเพื่อเด็กโดยตรง จะทำให้เด็กได้ใช้ความคิด และฝึกทักษะทางด้านจินตนาการไปด้วยในตัว ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่าย และทำได้ทุกวัน นอกจากจะทำให้เด็กหันมาสนใจกิจกรรมนอกเหนือจากการเล่นแท็บเล็ตแล้ว ก็ยังทำให้มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับครอบครัวมากขึ้นอีกด้วย

 

สามารถสั่งซื้อ giraffe & friends organic head to toe baby foam wash ได้ที่ https://www.giraffefriends.com/product/organic-head-to-toe-baby-foam-wash/

https://www.facebook.com/GiraffeAndFriends.TH/

Line : @giraffefriends

และมีวางจำหน่ายที่โรงพยาบาลพญาไท และห้างสรรพสินค้า the market ตรงข้าม Central Word

ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.naewna.com/columnonline/28107

กำหนดเวลาในการเล่น

ผู้ปกครองบางคน มักจะปล่อยให้ลูกเล่นเกมส์โดยไม่กำหนดเวลาหรือเวลาที่ตัวเองต้องการเวลาทำธุระ โดยการยัดเกมส์ให้ลูกเล่นระหว่างรอ ซึ่งพฤติกรรมนี้อาจสะดวกผู้ปกครองแต่ไม่ดีกับเด็กเพราะจะทำให้เค้าหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมส์จนเลยเถิดไปสู่พฤติกรรมในห้องเรียนที่ไม่สนใจบทเรียนหรือคุณครูหน้าห้อง ด้วยในหัวมัวแต่คิดถึงแต่เรื่องการเล่นเกมส์และการเอาชนะ เพราะฉะนั้น จึงควรจำกัดเวลาในการเล่นเกมส์แต่ละครั้งของลูกให้ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลให้เด็กได้ผ่อนคลายอารมณ์อย่างเหมาะสมและมีระเบียบวินัยในการจัดการตนเอง

ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.matichon.co.th/lifestyle/news_33746

เล่นได้แต่ไม่ใช่เจ้าของ

การเล็งเห็นถึงประโยชน์ของสมาร์ทโฟนในยุคที่เทคโนโลยี ถือเป็นการส่งเสริมให้เด็กมีความพร้อมในการเรียนรู้มากขึ้น แต่บางครั้งการตามใจอย่างไม่ถูกต้องก็ส่งผลให้เด็กกลายเป็นคนสมาธิสั้นได้เช่นกัน บ่อยครั้งเราจึงเห็นภาพผู้ปกครองโดนเด็กขึ้นเสียงใส่เวลาสั่งให้หยุดเล่นสมาร์ทโฟน นั่นเพราะเราไม่สามารถจำกัดการใช้งานสมาร์ทโฟนของลูกได้ ทำให้เค้ารู้สึกเป็นเจ้าของสิ่งนี้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรจะแสดงความเป็นเจ้าของ(ในการซื้อ)แต่ให้สิทธิ์ลูกๆในการเล่นบ้าง เพื่อควบคุมเวลาและพฤติกรรมในการเล่นสมาร์ทโฟนของเด็กได้

ขอบคุณรูปภาพจาก https://women.mthai.com/momandchildren/mom-child/277832.html

พ่อแม่คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของลูก

อย่าคาดหวังให้ลูกทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถทำได้ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน พยายามอย่าให้ลูกเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่า ผู้ปกครองเองก็กำลังก้มหน้ามองหน้าจอสมาร์ทโฟนอยู่ เพราะเค้าจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบและเกิดการต่อต้าน เมื่อพ่อแม่สั่งให้เค้าหยุดเล่นสมาร์ทโฟน หรือเวลาลูกเรียกหาก็อย่าขานรับแต่ยังให้ความสนใจกับหน้าจออยู่ ดังนั้น ผู้ปกครองจึงจะควรมีวินัยในตัวเองและใส่ใจในทุกการกระทำที่ลูกต้องการการตอบรับจากพ่อแม่อยู่เสมอ

ทั้งนี้การป้องกันย่อมดีกว่าการมารักษาทีหลัง และสามารถป้องกันได้ด้วย 5 เทคนิคง่ายๆ นี้เลย ลองค่อยๆ ใช้เวลาปรับพฤติกรรมของเด็กด้วยความใส่ใจ รับรองว่าเด็กจะห่างไกลโรคสมาธิสั้นได้อย่างแน่นอน