สุดยอดปรารถนาของพ่อแม่ที่จะพัฒนาลูกให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ “เด็กเก่ง” หรือ “เด็กดี” ทุกวันนี้สังคมไทยเถียงกันมาก ข้างหนึ่งก็ว่า เราต้องทำให้เด็กเก่งก่อน อีกฝ่ายก็บอก เราต้องทำให้เด็กดีก่อน ซึ่งสะท้อนลักษณะวิธีคิดแบบสุดโต่งทั้งคู่
ถามว่าทำไมจึงอยากได้ “เด็กเก่ง” ได้คำตอบว่า ถ้าเด็กเก่งแล้วก็จะสามารถพัฒนาไปสู่คุณสมบัติดีด้านอื่นอีกมากมาย ซึ่งผู้ตอบคงเหมารวมถึงความ “เป็นคนดี” อยู่ด้วย แต่ปัญหาเท่าที่เราพบในสังคมไทยมากมายก็คือ ยิ่งเก่งกลับยิ่งโกง มิใช่หรือ
อีกฝ่ายหนึ่งจึงทิ้งเรื่องเก่งไว้ทีหลัง ว่าต้องหันไปพัฒนา “เด็กดี” ก่อน เพราะถ้าดีแล้ว สามารถพัฒนาให้ “เก่ง” ได้ไม่ยาก แต่เราก็เห็นแล้วเหมือนกันว่ามีคนดีจำนวนมากซึ่งทำอะไรไม่เป็น ตัวเองไม่โกงแต่ก็รู้เห็นเป็นใจให้คนอื่นโกง บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่คนเดียว แล้วคนรอบข้างกลับมอมแมม กระดำกระด่าง
มหาตมาคานธีกล่าวไว้ว่า “จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราสะอาดอยู่คนเดียว ทว่าคนรายล้อมเรานั้น กลับมอมแมมไปด้วยความสกปรก”
รู้หรือยัง เราจะพัฒนาอะไรในตัวเด็ก
ในการพัฒนาคนหนึ่งคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องรู้ 3 ข้อ
ประการแรก ตระหนักรู้ถึงศักยภาพพื้นฐานของแต่ละคนก่อน ถามว่า อะไรคือศักยภาพพื้นฐานของมนุษย์ คำตอบก็คือ มนุษย์ทุกคนนั้นเป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ ฝึกฝนให้ดีงามล้ำเลิศประเสริฐได้ ทั้งโดยปัจจัยภายนอกคือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และโดยปัจจัยภายในก็คือ ด้วยตัวของเขาเอง
สุดยอดของศักยภาพมนุษย์คือ มนุษย์นั้นสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองก็ได้ด้วย ซึ่งศักยภาพเช่นนี้ต้องบอกว่า เป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดในมนุษย์ จริงอยู่สัตว์ชนิดอื่นก็สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ แต่มีขีดจำกัด ส่วนมนุษย์นั้นสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จนพัฒนาไปจนถึงขั้นสูงสุดนั่นคือ เป็นอริยชน คือเป็นบุคคลที่รู้ตื่น เบิกบาน เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้
ประการต่อมา เมื่อเรารู้ว่ามนุษย์ทุกคนนั้นมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้และเขาสามารถพัฒนาได้ เราต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในศักยภาพของมนุษย์นั้นว่า ไม่ว่าลูกจะมีต้นทุนมาแค่ไหนก็ตาม คือเมื่อลูกเกิดมาแล้ว ไม่ว่าเขาจะมีสติปัญญาสูงต่ำ แหลมคม ตื้นเขินแค่ไหนก็ตาม พ่อแม่ก็มีหน้าที่กระตุ้นให้ลูกทุกคนได้ฝึกหัดพัฒนาจนเต็มศักยภาพของเขาได้
ซึ่งตัวนี้สำคัญมาก เพราะถ้าพ่อแม่ไม่ศรัทธาว่ามนุษย์นั้นฝึกได้ ก็มักจะมีปัญหากับลูกกับหลานของเรา ซึ่งเด็กบางคนเขามาแล้วไม่พร้อม บางคนโง่ บางคนทื่อ พ่อแม่ญาติพี่น้องก็หมดหวังเลย หรือไม่ก็บ่นว่า แหม…มีลูกทั้งที ทำไมไม่มีที่ฉลาดๆ
ติดตามอ่าน การพัฒนาเด็กประการที่ 3 ต่อที่หน้า 2
ประการที่สาม แล้วมนุษย์ที่สมบูรณ์ควรมีพัฒนาการกี่ด้าน พระพุทธศาสนาท่านบอกว่า คนเรานั้นจะเป็นมุนษย์ที่สมบูรณ์จะต้องมีพัฒนาการอย่างน้อย 4 ด้าน ได้แก่
1. มีพัฒนาการทางกาย
เด็กต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ต้องรู้จักใช้อวัยวะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายในการเสพ การบริโภคปัจจัยสี่อย่างมีสติ คือ ปฏิสัมพันธ์กับโลกของวัตถุอย่างนายของการเสพ ของการบริโภค
2. มีพัฒนาการทางศีลหรือพัฒนาการทางสังคม
เด็กต้องรู้จักครองตนอยู่ในสังคม ในฐานะที่เป็นพลเมืองดี มีวินัยในการดำรงชีวิต เป็นมนุษย์ที่อยู่ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ เพราะคุณมีพฤติกรรมทางกายและทางวาจาที่ดีงามล้ำเลิศ
กล่าวคือ รู้จักเคารพกฎ กติกา มารยาท ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานที่สุด คือ เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ รู้จักให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ จากนั้นคือ มีศีลธรรมประจำใจ และขยายกว้างออกไปก็คือ เคารพกฎหมายของสังคมและดำรงชีวิตอยู่ในกรอบในเกณฑ์ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อคนในสังคม ดำรงชีวิตในสังคมได้อย่าง แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน
3. มีพัฒนาการทางจิต
กล่าวคือ เด็กๆ ได้ผ่านกระบวนการพัฒนาการทางจิตที่เราเรียกกันว่า จิตตภาวนา หรือการยกระดับคุณภาพจิต ให้จิตนั้นมีคุณสมบัติอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่
- มีสุขภาพจิต กล่าวคือ ให้เขามีความสดชื่น มีความเบิกบาน มีความผ่องใส มีความสงบเป็นพื้นฐานของดวงจิต
- มีคุณภาพจิต กล่าวคือ มีคุณธรรมประจำใจ เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซื่อสัตย์ กตัญญู มีจิตสำนึกสาธารณะ
- มีสมรรถภาพจิต คือ มีความสามารถในการใช้ความคิดอย่างหลักแหลม รู้จักคิดเชิงวิเคราะห์ รู้จักวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล รู้จักมีวิสัยทัศน์ และมีความสามารถในการวินิจฉัยสิ่งต่างๆ อย่างลึกซึ้ง รอบด้าน และแหลมคม กระทั่งสูงสุดคือ สามารถเป็นนายของความคิดได้และรู้เท่ารู้ทันกระบวนการของความคิดจนกระทั่งว่า สามารถวางจิตอยู่เหนือความคิดได้
4. มีพัฒนาการทางปัญญา
คือ มีปัญญารู้ทั้งทางโลก มีปัญญารู้ทั้งทางธรรม พูดอีกอย่างหนึ่งว่า โลกก็ไม่ช้ำ ธรรมก็ไม่เสีย รู้จักการครองตน ครองคน ครองงาน ครองใจ และครองชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปสรรคขวากหนามอย่างร่มเย็นและเป็นสุข และขณะเดียวกันก็มีปัญญาแหลมคมพอที่จะสลัดสิ่งซึ่งเป็นอุปสรรคปัญหาต่างๆ เช่น ยศ ทรัพย์ อำนาจ ชื่อเสียง และกามารมณ์ได้ จนกระทั่งรู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ในฐานะเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เป็นเป้าหมายของชีวิต
สูงสุดของพัฒนาการทางปัญญาก็คือ สามารถใช้ปัญญาในการชำระกิเลสให้หมดสิ้นไปได้ สามารถเลื่อนสภาพจากบุคคลขึ้นมาเป็นอริยชน คือบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ นั่นแหละคือพัฒนาการสูงสุดในทางปัญญา
ไม่ต้องถึงขั้นอริยชน แต่หากพัฒนาครบก็เป็นลูกที่พึงประสงค์เหมือนกัน
ถ้าเราสามารถพัฒนาเด็กๆ ของเราให้มีพัฒนาการทั้งสี่ประการ เขาก็จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซึ่งสามารถพัฒนาได้จนถึงขั้นสูงสุดคือเป็นอริยชน แต่คุณสมบัติของมนุษย์ที่สมบูรณ์ก็ไม่จำเป็นจะต้องได้มาตรฐานสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์เหมือนที่พระพุทธศาสนาคาดหวังไว้ก็ได้ เพราะถ้าเด็กมีพัฒนาการได้ครบทั้งสี่ด้านที่กล่าวมา เขาก็จะมีคุณสมบัติ เป็นคนที่เก่ง ดี มีความสุข และมีอิสรภาพในตัวเองอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ มนุษย์ที่พึงประสงค์ในทัศนะของพระพุทธศาสนาเช่นกัน
เก่ง เช่น เก่งในการทำมาหากิน เก่งในการเล่นดนตรี เก่งในการเป็นศิลปิน เก่งในทางใดทางหนึ่ง
ดี หมายความว่า ขอให้เป็นพลเมืองดีก็ใช้ได้แล้ว
มีความสุข เช่น เขาได้ทำงานที่เขารัก เขามีความสุขทุกคืนวันก็ใช้ได้แล้ว
มีอิสรภาพในตัวเองอย่างสมบูรณ์ หมายถึง ในท้ายที่สุดขอให้เขามีอิสรภาพทางการเงิน มีอิสรภาพในการใช้ปัญญา อิสรภาพในการรู้จักคิดอย่างเป็นตัวของตัวเองก็ใช้ได้แล้ว
บทความโดย : พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี