บ้านไหนที่มี ลูกฉี่รดที่นอน เป็นประจำ อาจต้องพบเจอกับ กลิ่นฉี่ ฉุน ๆ ที่สร้างความปวดหัวให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งปัญหาการฉี่รดที่นอนของลูกน้อยถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับเด็กอายุ 1- 5 ปี
แต่ถ้าหากเด็กอายุมากกว่า 5 ปีแล้ว แต่ยังมีอาการ ฉี่รดที่นอน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติแล้ว และนั้นจึงหลายเป็นข้อสงสัยว่าทำไมลูกถึงยังมีอาการฉี่รดที่นอนอีกด้วย? ทั้ง ๆ ที่ก่อนนอนคุณพ่อคุณแม่ก็พาลูกไปเข้าห้องน้ำ และสอนให้เรียกเวลาปวดปัสสาวะแล้ว แต่ลูกก็ยังมีกรณีที่ทำที่นอนเปียกเลอะเป็นประจำ วันนี้ AMARIN Baby & Kids มาเผยเหตุผลที่ทำให้ ลูกฉี่รดที่นอน
4 เหตุผลที่ทำให้ ลูกฉี่รดที่นอน
1. ปกติเด็กจะฉี่รดที่นอนอยู่แล้ว
เด็กๆ ราว 5 ล้านคนในสหรัฐฯ ยังคงฉี่รดที่นอน ซึ่งร้อยละ 20 เป็นเด็กวัย 5 ขวบ ร้อยละ 10 เป็นเด็กวัย 7 ขวบ และร้อยละ 5 เป็นเด็กวัย 10 ขวบ (ข้อมูลจาก American Academy 0f Pediatrics) แม้ว่าการฉี่รดที่นอนจะดูเป็นเรื่องน่าอายที่เด็กมักถูกปลูกฝังมา จึงทำให้เด็กไม่กล้าบอกคุณพ่อคุณแม่เวลาปวดขึ้นมา และเมื่อฉี่รดที่นอนแล้วก็ไม่กล้าบอกกลัวถูกตำหนิ ซึ่งเกิดเป็นอาการเก็บกด เขินอายอย่างหนึ่ง แต่หากเด็กที่เติบโตมาในความเข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กที่จะมีเหตุฉี่รดที่นอนเกิดขึ้นบ้าง เพียงแค่นำผ้าปูที่นอนไปตากซัก เด็กก็จะไม่รู้สึกผิด ไม่รู้สึกเครียด ไม่รู้สึกกังวล และเมื่อเขาเติบโตเข้าใจเหตุผลแล้วก็อธิบายว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้และให้ลูกช่วยเก็บทำความสะอาด ถือเป็นการสอนเรื่องวินัยเชิงบวก
2. ฝันร้าย
ระหว่างวันเด็กอาจจะเล่นสนุกผ่านกิจกรรมนอกบ้าน หรือจากที่โรงเรียน ทำให้ลูกเก็บมาคิด และเหตุการณ์คับขันบางอย่างอาจทำให้เขากลัว กังวล และอาจบีบคั้น จึงเกิดฉี่รดที่นอนอย่างไม่รู้ตัว วิธีแก้ไขคือก่อนนอนให้ลูกได้เข้าห้องน้ำเป็นนิสัย เพื่อจะได้ไม่ปัสสาวะเปรอะเปื้อนรดที่นอน
3. ไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำ
เด็กส่วนใหญ่ที่ถูกปลูกฝังเรื่องความมืดจะมีความกลัวอยู่ลึกๆ และจะไม่ค่อยอยากไปเข้าห้องน้ำในตอนกลางคืน บางบ้านของคนไทยอาจจะไม่ได้ออกแบบห้องน้ำให้อยู่ใกล้ห้องนอน ลองหากระโถนเล็กๆ ไว้ในห้องนอน หากเด็กอยากปัสสาวะก็ให้นั่งกระโถนและตอนเช้าค่อยนำไปทำความสะอาด
อ่านต่อ “เหตุผลที่ลูกฉี่รดที่นอน และวิธีช่วยให้ลูกน้อยนอนหลับแบบแห้งสบายตลอดคืน” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
4. ดื่มน้ำน้อยเกินไป
การเข้าใจผิดว่าไม่ให้ลูกดื่มน้ำก่อนนอนเลย เพื่อไม่ให้ฉี่รดที่นอนนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะขณะนอนหลับร่างกายต้องใช้น้ำมาช่วยปรับสมดุลร่างกาย และหากไม่ได้ดื่มน้ำก่อนนอนสักนิดหน่อยเมื่อร่างกายโหยหาน้ำก็จะทำให้เสียสมดุล กระตุ้นให้ปวดปัสสาวะเพื่อให้เจ้าตัวได้ตื่นไปเข้าห้องน้ำ และจะรู้สึกหิวน้ำ หาน้ำมาดื่ม
วิธีช่วยให้ลูกน้อยนอนหลับแบบแห้งสบายตลอดคืน
1. พยายามอย่าให้ลูกกินน้ำเยอะก่อนเข้านอนประมาณ 2 ชั่วโมง จะช่วยลดโอกาสที่เขาจะปวดฉี่ระหว่างหลับได้ และฝึกลูกเข้าห้องน้ำก่อนนอนจนเป็นนิสัย หรืออาจปลุกลูกมาฉี่ 2-3 ชั่วโมงหลังเข้านอนไปแล้ว อาจเป็นเวลาที่พ่อแม่กำลังจะเข้านอนก็ได้
2. ปูแผ่นยางหรือพลาสติกไว้ใต้ผ้าปูที่นอน คุณจะได้เปลี่ยนผ้าปูได้ง่ายขึ้นในกรณีที่ลูกฉี่รดที่นอน และลูกจะได้ไม่ต้องนอนคลุกที่นอนเปียกฉี่ อาจให้ลูกช่วยเปลี่ยนผ้าปูที่นอนด้วยก็ได้
3. ชมลูกเมื่อลูกไม่ฉี่รดที่นอน เพื่อให้เขาเห็นด้านดีของการไม่ฉี่รดที่นอน
4. ที่สำคัญ อย่าลืมบอกลูกเสมอว่า การฉี่รดที่นอนเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กวัยเขา และไม่ใช่ความผิดของเขา แสดงให้ลูกเห็นว่าคุณรู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ จำไว้เสมอว่า ห้ามทำโทษหรือต่อว่าลูกเมื่อเขาฉี่รดที่นอน และพยายามอย่าให้คนในบ้านล้อเขาเรื่องนี้
การฉี่รดที่นอนไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับเด็ก เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบส่วนใหญ่มักเคยฉี่รดที่นอนทั้งนั้น เมื่อคุณทราบถึงสาเหตุของการฉี่รดที่นอนแล้ว สามารถฝึกลูกให้เข้าห้องน้ำก่อนนอนเป็นกิจวัตร จิบน้ำก่อนนอนบ้าง และหากมีอาการบ่อยติดกันหลายๆ ครั้งต่อสัปดาห์ติดๆ กัน อาจจะต้องพาลูกไปปรึกษาแพทย์ให้ช่วยแก้ปัญหาต่อไปค่ะ
แต่อย่างไรก็ดี การที่ลูกฉี่รดที่นอน ก็ยังถือเป็นปัญหาใหญ่ แก่คุณพ่อคุณแม่ และคนรอบข้างอย่างยิ่ง เพราะทำให้ผ้าปูที่นอนมีกลิ่นเหม็นตลบอบอวนไปทั่วห้อง เกิดบรรยากาศที่ไม่น่านอนขึ้นทันที!! ดังนั้นเราจึงมีวิธีการทำความสะอาดคราบฉี่และกำจัดกลิ่นให้สิ้นซาก พร้อมแนะนำวิธีการแก้ปัญหาไม่ให้ลูกน้อยของคุณ ฉี่รดบนที่นอน อีกต่อไป มาฝากค่ะ ไปดูกันเลย…
อ่านต่อ “3 สูตรดีช่วยคุณแม่ปราบทั้งคราบและกลิ่นฉี่บนที่นอน” คลิกหน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
3 สูตร ปราบทั้งคราบและกลิ่นฉี่
สูตรที่ 1 : ใช้วัสดุอุปกรณ์ ดังนี้ กระดาษทิชชูแบบหนา น้ำส้มสายชู เบกกิ้งโซดา หรือแป้งข้าวโพด กระบอกฉีดน้ำ
วิธีนี้เหมาะสำหรับฉี่ที่เพิ่งฉี่ใหม่หรือเป็นคราบหมาดๆ ควรทำความสะอาดในทันที เพื่อไม่ให้คราบซึมลึกลงไปบนผ้าปูที่นอน
- ขั้นที่ 1 ใช้กระดาษทิชชูแผ่นหนาวางกดซับความชื้นและคราบที่ยังใหม่ๆ ให้แห้งไวที่สุด เพื่อให้คราบไม่ลงลึกถึงด้านในที่นอน
- ขั้นที่ 2 ค่อยๆ เทน้ำสะอาดลงไปทีละน้อยจนทั่ว แล้วค่อยๆ กดซับคราบออกอีกครั้งให้มากที่สุด
- ขั้นที่ 3 ใช้น้ำส้มสายชูกรอกใส่กระบอกฉีด แล้วฉีดพรมลงไปบนคราบ
- ขั้นที่ 4 โรยด้วยแป้งข้าวโพด หรือเบกกิ้งโซดา เพื่อช่วยในการดูดซับกลิ่นฉี่ หากกลิ่นรุนแรงอาจใช้น้ำหยดลงไปเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ขัดออก หรือทิ้งเอาไว้ข้ามวัน
- และขั้นสุดท้าย ใช้น้ำสะอาดเช็ดล้างให้สะอาดอีกครั้งแล้วนำที่นอนไปตากแดด เป็นการฆ่าเชื้อโรคไปในตัว
สูตรที่ 2 : ใช้วัสดุอุปกรณ์ ดังนี้ ฟองน้ำ กระดาษทิชชู่แบบหนา มะกรูดและมะนาว
วิธีนี้จะเหมาะสำหรับฉี่ที่แห้งแล้วแต่ทิ้งคราบและกลิ่นไว้
- ขั้นที่ 1 ให้ใช้ฟองน้ำชุบน้ำแล้วแตะบริเวณที่เกิดรอยเปื้อนแค่พอให้ชื้น ระวังอย่าให้เปียกเกินไปเพราะจะทำให้คราบปัสสาวะกระจาย
- ขั้นที่ 2 จากนั้นใช้กระดาษทิชชูหนาๆ ซับลงบนคราบเพื่อให้แห้งไวที่สุด จุดประสงค์ของขั้นตอนนี้คือเพื่อลดกลิ่นอับและช่วยไม่ให้คราบฝังแน่นลงในฟูกที่นอน
- ขั้นที่ 3 ทิ้งฟูกที่นอนไว้ให้แห้งสนิทโดยนำฟูกที่นอนไปตากแดด หรือนำไปตากในที่โล่งที่มีอากาศถ่ายเทและอยู่ห่างจากความชื้น
- และขั้นสุดท้าย นำเปลือกมะนาวหรือเปลือกมะกรูดฝานบางๆ มาถูกลงบริเวณที่มีคราบที่ต้องการกำจัดกลิ่นให้ทั่วก่อน โดยถูกวนซ้ำๆ ไปมา 2-3รอบ เพื่อให้ผิวของเปลือกผลไม้เหล่านี้ช่วยดับกลิ่น เนื่องจากในผิวของเปลือกผลไม้ตระกูลส้มจะมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียและ ดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไปได้เป็นอย่างดี
สูตรที่ 3 : ใช้วัสดุอุปกรณ์ ดังนี้ น้ำอุ่น น้ำเย็น ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ เบกกิ้งโซดา ผงซักฟอก แอมโมเนีย กระบอกฉีดน้ำ
วิธีนี้เหมาะสำหรับฉี่ที่แห้งแล้วแต่ทิ้งคราบและกลิ่นไว้นานแล้วเช่นกัน
- ขั้นที่ 1 ใช้น้ำอุ่นเทลงไปบนคราบ เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดกลิ่นก่อน
- ขั้นที่ 2 ผสมไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ 1 ถ้วย (8 ออนซ์) เบกกิ้งโซดา 3 ช้อนโต๊ะ และผงซักฟอกอีกนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำไปใส่กระบอกฉีด
- ขั้นที่ 3 ผสมน้ำเย็น 1 ถ้วย กับแอมโมเนีย 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำไปจัดการกับคราบที่เกิดขึ้นก่อน
- ขั้นที่ 4 ต่อด้วยการนำสเปรย์ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ที่ผสมไว้ มาฉีดพรมลงไป
- และขั้นสุดท้าย ซักเฉพาะจุดด้วยน้ำยาซักแห้งทำความสะอาดให้เกลี้ยงด้วยการใช้ผ้าขนหนูซับน้ำออก และรอจนแห้งแล้วนำไปผึ่งแดด
ที่สำคัญคุณแม่อย่าลืมหาเวลานำที่นอนตากแดดและตีฝุ่นออกจากที่นอนเป็นประจำทุก 1 เดือน วิธีนี้นอกจากจะทำให้แสงแดดและความร้อนฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในที่ นอน ลดกลิ่นอับแล้ว ยังเป็นการกำจัดตัวไรและฝุ่นละอองต่างๆ ออกไปจากที่นอนของลูกรักได้ด้วย