AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

วิธีดูว่า ลูกดื้อ เลี้ยงยาก หรือไม่ โบราณว่าให้ดูจากสิ่งนี้

ลูกดื้อ เลี้ยงยาก

โบราณกล่าวไว้ว่า แค่ลูกอายุได้ 7 วัน ก็สามารถทำนายได้แล้วว่า ลูกดื้อ เลี้ยงยาก หรือไม่! และนี่คือวิธีสังเกต

 

 

อึ้ง!! จริงหรือเนี่ย แค่ลูกมีอายุได้เพียงแค่ 7 วัน ก็สามารถทราบกันได้แล้วว่าลูกของเรานั้นดื้อและเลี้ยงยากหรือไม่!! พบกับคำทำนายโบราณ ที่บอกเลย ของแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ รู้ไว้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก … ว่าแต่จะต้องดูอย่างไร วันนี้ทีมงานจะขอนำเสนอคำทำนายที่ว่านี้กันค่ะ

วิธีสังเกตว่า ลูกดื้อ เลี้ยงยาก หรือไม่

1.ถ้าที่ยอดอกของทารกเป็นสีแดงเหมือนดอกสัตตบุษย์ ดอกตะแบกช้ำ หรือสีควันเทียน ขนาดโตเท่าใบพุทรา ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ทายว่าทารกนั้นจะเลี้ยงยาก ถ้าเห็นสีเหมือนหม้อใหม่จะทายว่าทารกนั้นเลี้ยงง่ายพอปานกลาง ถ้าเป็นสีเหมือนหม้อใหม่อ่อน ๆ ทายว่าทารกนั้นจะเลี้ยงง่ายนัก ในที่นี้หมายถึงหม้อดินที่มีสีเนื้ออมชมพู แสดงถึงระบบการหายใจที่ได้รับออกซิเจนดี ถ้าเป็นสีดอกตะแบกออกม่วง ๆ แสดงว่ามีออกซิเจนอยู่ในเลือดน้อย

2.ถ้าทารกที่คลอดจากครรภ์มารดาได้ 3 วัน ให้ดูจากสะดือมาถึงยอดอก ถ้าเห็นเป็นแผ่นเท่าใบพุทราหรือใบมะขาม ควรระวังลมที่มีชื่อว่า สุนทรวาต ในอีก 21 วันข้างหน้า หากแก้รอดมาได้ก็จะมีโรคได้ต่าง ๆ ถ้าจะแก้ให้ด้วยยาทุเลา ถ้าแลถ่ายยาเพื่อแผ่นเสมหะที่บังเกิดในอุทรนั้นให้กระจายให้ได้เสียก่อนจึงจะคลายจากโรค ถ้าแก้ไม่ได้และแผ่นเสมหะนั้นใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ก็แสดงว่าจะมีชีวิตอยู่รอดได้ไม่เกิน 21 วัน ลักษณะดังกล่าวเป็นอาการติดเชื้อทางสายสะดือ แต่ในปัจจุบันจะใช้ยาปฏิชีวนะทำให้หายได้

3.ถ้าทารกเป็นดานเสมหะอยู่ข้างอกขวา ทารกนั้นมักตาช้อนดูสูง มักอาเจียนเมื่อกินนมและข้าว อุจจาระปัสสาวะมีสีเหลือง ซึ่งอาการดังกล่าวกำเนิดมาจากกองลมวาตภัคค์ ถ้าแผ่นเสมหะค้างอยู่จะทำให้ซูบผอม ถ้าแผ่นเสมหะโตขึ้นกว่าเดิมจะทำให้ท้องขึ้นลงท้อง ชักเท้ากำ มือกำ ตาช้อนดูสูง ให้เชื่อม ให้มึน เมื่อย หอบ อาเจียน กินข้าวดื่มนมไม่ได้ ถ้าทารกเป็นเช่นนี้มักมีโอกาสรอดน้อย ถ้ามีไข้ตัวร้อนเป็นเวลามักทำให้ชักเท้ากำมือกำ ตาช้อนสูง และมีโอกาสรอดยาก ซึ่งอาการที่ว่านี้ น่าจะหมายถึงอาการปอดบวมและมีการติดเชื้อรุนแรงในเวลาต่อมา จนทำให้เกิดอาการทางสมอง ชัก อาจเป็นวัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือฝีในสมองก็เป็นได้

4.ถ้าทารกที่คลอดจากครรภ์มารดาได้ 7 วัน 11 วัน 15 วัน 21 วัน แล้วมีขอบตาเขียว นอนสะดุ้ง ตาช้อนดูสูง ชัก เท้ากำมือกำ หลังแข็ง ท้องขึ้น ลิ้นกระด้าง คางแข็ง มักเกิดจากลมสุนทรวาต และลมวาตภัคค์ และตะพั้นไฟ เพราะทารกกลืนก้อนโลหิตของมารดาเข้าไปจึงเกิดโทษต่าง ๆ ขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้จะมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก

ในสมัยโบราณนอกเหนือจากการติดเชื้อธรรมดา ปอดบวม สมองอักเสบ ที่ทำให้เด็กมีอาการชักแล้ว ยังพบอาการบาดทะยักได้บ่อย เนื่องจากมีการใช้มีดหรือไม้ไผ่ที่ตัดสายสะดือไม่สะอาด ทำให้เด็กมีไข้ ชัก และตายจากเชื้อบาดทะยักได้ แต่อัตราการรอดชีวิตของเด็กในปัจจุบันมีอยู่สูง เพราะมีอุปกรณ์ที่ใช้ตัดสายสะดือที่สะอาดปราศจากโรค มีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันโรคทีบีและบาดทะยักแล้วนั่นเองค่ะ

อ่านต่อ >>


ที่มา:จากหนังสือวิทยาศาสตร์ในการแพทย์แผนไทย
โดยอาจารย์แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตคำทำนายโบราณที่ได้กล่าวมานั้น จะพบเลยค่ะว่า ส่วนใหญ่แล้ว ที่โบราณได้กล่าวไว้ว่า สามารถดูได้ตั้งแต่ลูก 7 วันนั้น น่าจะมาจากเรื่องราวของสุขภาพทารกมากกว่านะคะ โดยให้เห็นว่า สาเหตที่ลูกรู้สึกไม่สบายตัว ปวดท้อง หรือไม่สบายอะไรก็แล้วแต่นั้น น่าจะเกิดจากปัญหาของสุขภาพเป็นหลักนั่นเองค่ะ

วิธีการดูแลทารกแรกเกิดไม่ให้เจ็บป่วย

1.ดูแลอุณหภูมิร่างกาย คุณพ่อคุณแม่ควรควบคุมอุณหภูมิของห้องไว้ให้อยู่ที่ 25-26 องศาเซลเซียส และไม่ควรเปิดพัดลมหรือแอร์จ่อทารกโดยเด็ดขาด

2.ให้ลูกนอนในเตียงหรือเบาะที่เหมาะสมและปลอดภัย โดยจัดให้อยู่ในพื้น ๆ ที่มีอากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวก

3.ดูแลเรื่องการขับถ่ายของทารกให้ดี ที่สำคัญ ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับสีของอุจจาระเอาไว้ด้วย จะได้ทราบได้ว่า สุขภาพของลูกเรานั้น อยู่ในภาวะที่ปกติหรือไม่

4. โดยปกติทารกแรกเกิดสะดือจะหลุดภายใน 7 – 14 วัน สำหรับลูกที่สายสะดือยังไม่หลุด ให้ใช้สำลีชุบน้ำเปล่าหรือน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดเบา ๆ รอบโคนสะดือจากด้านในออกด้านนอก วันละ 2 ครั้ง หลังจากสายสะดือหลุดแล้วดูแลทำความสะดือลูกต่อด้วยการเช็ดและทำให้แห้งเสมอ ไม่ควรใช้แป้ง หรือยาโรยสะดือทุกชนิดเพราะจะทำให้สะดือดูเหมือนแห้งแต่ระหว่างรอยต่ออาจจะยังแฉะอยู่ และอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้

ดังนั้น ทุกครั้งที่ลูกของคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ในวัยเด็กเล็กงอแง เลี้ยงยาก หรือพูดจาไม่เชื่อฟังละก็ ให้นึกถึงปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพเอาไว้เป็นอันดับแรกก่อนเลยนะคะ เพราะด้วยความที่เขายังเด็ก เขาจึงไม่สามารถสื่อออกมาให้เราเข้าใจได้ว่า พวกเขานั้นไม่สบายตัว จึงแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่น่ารักออกมานั่นเองค่ะ

อ่านต่อเนื้อหาอื่นเพิ่มเติม:

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids