จะสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนกตัญญูรู้คุณ มักมาจากคำพูดและการกระทำของผู้ปกครองสะสมเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ถ้าปลูกฝังลูกหลานด้วยตัวอย่างผิดๆ จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็อาจทำให้ลูกไม่เคารพพ่อแม่ หรือกลายเป็นเด็ก อกตัญญู ไปเลยก็ได
เมื่อพูดถึงเรื่องคุณธรรมในการเป็นคนดีนั้น คนจีนมักจะยึดในหลักความเชื่อต่อ “ขงจื๊อ” ซึ่งเป็นปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลต่อคนจีน หลักคำสอนหนึ่งของ “ขงจื๊อ” นั้น ในเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่หรือการจัดชุดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งหนึ่งในคู่ความสัมพันธ์ก็คือบิดามารดากับบุตรธิดา โดยบิดามารดาจะต้องให้ความเมตตากรุณา และบุตรธิดาก็จะต้องให้ความเคารพและกตัญญูเวที ซึ่งความกตัญญูนี้เองที่เป็น 1ใน 8 คุณธรรมที่สำคัญของขงจื๊อ
ในอักษร “กตัญญู” ในภาษาจีน (孝) ครึ่งบนของตัวอักษรนั้นเป็นอักษรภาพของ “คนแก่” ส่วนครึ่งล่างนั้นจะเป็นตัว “เด็ก” ซึ่งหมายความว่าเมื่อพ่อแม่นั้นแก่เฒ่าลง ลูกที่อยู่เบื้องล่างจะเปรียบเสมือนมือเท้าที่คอยเฝ้ารับใช้ดูแลท่าน ดังนั้นในสังคมจีนจึงให้ความสำคัญคุณธรรมในเรื่องของ “ความกตัญญู” เป็นอันดับแรกๆ ของความดีงาม
หากแต่เมื่อสังคมเจริญมากขึ้น วิถีชีวิตของคนก็แปรเปลี่ยนไป จากครอบครัวใหญ่ที่ช่วยอยู่ดูแลกัน ก็กลายเป็นครอบครัวที่เล็กลง จนกระทั่งจีนใช้นโยบายลูกคนเดียวในสมัยหนึ่ง ทำให้ “ลูก” กลายเป็นเสมือน “ฮ่องเต้” น้อย อยากได้ต้องได้ อยากทำต้องทำ พ่อแม่ไม่กล้าแม้แต่จะขัดใจ เมื่อมีอะไรก็จะหามาให้ลูก โดยลืมไปว่าจะต้องอบรมคุณธรรมให้กับลูกด้วย
วิจัยพบ! พ่อแม่ 3 ประเภท ทำลูกกลายเป็นคน “อกตัญญู”
มีหน่วยงานวิจัยของจีนที่ได้ออกมาสำรวจพบว่า คนที่เป็นที่เคารพของเด็กสมัยนี้เป็นใครบ้าง? และจากแบบสอบถามนั้นกลับพบว่า “พ่อแม่” นั้นแทบไม่ติดใน 10 อันดับแรกเลย ในขณะที่สหรัฐฯ และญี่ปุ่นนั้น “พ่อแม่” กลับเป็นบุคคลที่เป็นที่เคารพของเด็กในอันดับ 1 และ 2 ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกับสังคมจีน ที่ให้ความสำคัญกับคุณธรรมและความกตัญญูอย่างยิ่ง
จากการวิจัยพบว่า ในประเทศจีนนั้น พ่อนั้นได้รับการเลือกให้เป็นอันดับที่ 10 ที่ลูกให้ความเคารพ หากแต่ “แม่” นั้นน่าสงสารมากกลับเป็นอันดับที่ 11 เลย เด็กนั้นไม่เคยพูดโกหก พ่อแม่คนจีนมักจะคิดเอาเองว่า “ตนนั้นเป็นประเทศที่ซึ่งในครอบครัวมีการอบรมสั่งสอนดีที่สุดในโลก” มีคนพูดว่า “การที่จีนมีนโยบายลูกคนเดียว ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมกับครอบครัวคนจีน”
จากการวิจัยพบว่า…
เราไม่อาจพูดได้ว่า ในใจเด็กจีนทั้งหมดนั้นไม่มี “พ่อแม่” เลย และเราจะโทษเด็กก็ไม่ได้ “การอบรมสั่งสอนของพ่อแม่” ต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งในบรรดาพ่อแม่นั้นก็มีหลายประเภทอีกด้วย ทั้งๆ ที่พ่อแม่เหล่านี้ต่างก็รักลูกกันมากมาย แต่กลับไม่ได้รับความเคารพจากลูกๆ แล้วบรรดาพ่อแม่พวกนี้เป็นพวกไหนบ้าง?
กลุ่มที่ 1 คือ พ่อแม่ที่เอาแต่โทษว่าลูกไม่เชื่อฟัง
แล้วยังชอบเข้ามายุ่งทุกเรื่อง เช่น พ่อแม่ที่ชอบบังคับให้ลูกเรียนเปียโนทั้งๆ ที่ลูกก็ไม่ได้อยากเรียน หรือชอบเข้ามาแอบอ่านบันทึกของลูก อยากรู้ทุกเรื่องของลูก (ถ้าสิงในตัวลูกได้คงทำแล้ว)
กลุ่มที่ 2 คือ พ่อแม่ที่ชอบที่เอาความฝันของตนมาไว้ที่ลูก
ตนเคยอยากเรียนหมอ แต่เรียนไม่ได้ เลยบังคับว่าลูกจะต้องเรียนหมอให้ได้ โดยไม่เคยถามเลยว่าลูกชอบหรืออยากเป็นหรือไม่ อยากจะให้ลูกเป็นที่ 1ของห้อง ของโรงเรียน ของประเทศอะไรพวกนี้
กลุ่มที่ 3 คือ บรรดาพวกพ่อแม่สายเปย์
มีอะไรฉันจ่ายได้หมด เอาเป็นว่าบ้านรวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด ทำให้คนเคารพนบนอบได้แต่จริงๆ คนเขาเคารพนับถือเงินต่างหาก ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยเรื่องใหญ่อะไรก็ตาม พ่อแม่จะแก้ปัญหาได้ด้วยเงินและอำนาจบารมี
ฉะนั้นเมื่อเด็กไม่เห็นว่าพ่อแม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง หรือไม่เข้าใจตน ไม่พอใจที่พ่อแม่กดดันตน แล้วจะมีความเคารพนับถือตัวพ่อแม่จากใจได้อย่างไร ความกตัญญูเป็นสิ่งที่ต้องทำออกมาจากใจ หากแม้แต่ความเคารพยังไม่มีแล้วนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง “ความกตัญญู” หรอก
พ่อแม่จีนรุ่นใหม่มักจะคร่ำครวญว่า “ฉันรักลูกขนาดนี้ แต่แล้วลูกรักฉันบ้างไหม” หากว่าพ่อแม่ยังรักลูกและอบรมลูก รวมทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีของลูกไม่ได้ แล้วจะเรียกร้องให้ลูกมารักเคารพและกตัญญูเราได้หรือ ดูแล้วไทยเราก็ไม่น่าจะต่างกันมากนัก
“พ่อแม่สายเปย์ พ่อแม่ที่เอาความฝันของตัวมาฝากที่ลูก พ่อแม่สายบังคับ” ล้วนแต่สร้างคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเคารพใคร แม้แต่ตัวเอง!!
…………………………………..
คอลัมน์ : ฝ่ากำแพงเมืองจีน
โดย “อ.ดร.ศิริเพ็ชร ทฤษณาวดี”
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
วิธีสอนลูกหลานให้มีความกตัญญู
การที่ลูกหลานยุคนี้ ไม่ค่อยจะมีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ปู่ย่าตาทวดของตัวเองนั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว ประเด็นใหญ่ๆ มีอยู่ 2 ประเด็น คือ
- นึกถึงพระคุณของพ่อแม่ไม่ออก
- ไม่รู้วิธีตอบแทนที่เหมาะสม
สำหรับพ่อแม่ มีพระคุณต่อลูก เรื่องหลักๆ อยู่ 3 เรื่องด้วยกัน คือ…
- ให้ชีวิตเพราะพอท่านรู้ตัวว่าเราอยู่ ในครรภ์ของท่าน ถ้าท่านไม่คิดจะเอาไว้ ท่านก็มีวิธี ที่จะทำให้เราตายตั้งหลายวิธี แต่คุณพ่อคุณแม่ ท่านกลับเปิดโอกาส ให้พวกเรามีชีวิตลืมตาขึ้นมาดูโลกกัน
- ให้ต้นแบบร่างกายที่เป็นคนซึ่งเป็นรูปร่างที่เหมาะสมในการที่จะประกอบคุณงามความดีทั้งหลาย ต่างกับรูปร่างของสัตว์โลกชนิดอื่นๆ ที่ไม่สามารถจะประกอบคุณงามความดีใดๆ ได้เลย
- ให้ต้นแบบทางจิตใจเมื่อเราคลอดออกมาแล้ว ท่านก็ไม่ได้ดูดาย ท่านสอนจิตใจที่เป็นมนุษย์ให้เรารู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก รู้บุญ รู้บาป …แต่ว่าบางคนคุณพ่อมาตายเสียก่อนที่ ตัวเองจะคลอด เกิดมาจึงไม่เคยเห็นหน้าคุณพ่อ ถึงอย่างนั้น คุณพ่อก็ยังมีพระคุณ ตรงที่ท่านให้ชีวิตกับให้ร่างกายที่เป็นมนุษย์มา
พระคุณเพียง 2 ข้อนี้ก็มากมายแล้ว แต่มนุษย์ยุคนี้มองพระคุณหลักนี้ไม่ออก กลับไปมองที่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ แล้วคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ เช่น ท่านจะมีสมบัติ จะมีมรดกให้เท่าไร หรือท่านจะให้การศึกษา ให้นั่น ให้นี่อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องรองลงมา…
ส่วนทำอย่างไร จะให้ลูกเกิดความซาบซึ้งในพระคุณ และคิดจะตอบแทนคุณกันนั้น ตรงนี้ก็ต้องมีต้นแบบทางความประพฤติอีกเหมือนกัน ก็คุณพ่อคุณแม่เองนั่นแหละ ที่จะต้อง แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อคุณปู่คุณย่า ต่อคุณตา คุณยายให้ลูกของตัวเองดู แล้วก็จับลูกฝึกฝนตั้งแต่ ยังเล็กๆ
ยกตัวอย่าง = ถ้าอยู่ต่างบ้านกัน พอลูกรู้ความ ก็พาไปกราบคุณปู่ กราบคุณย่า กราบคุณตา กราบคุณยายบ้าง ถ้าอยู่บ้านเดียวกัน ก่อนนอนพาไปกราบให้ถึงเท้าเลย กราบเท้าคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย เสียให้เรียบร้อย แล้วค่อยมากราบเท้าแม่ กราบเท้าพ่อ แล้วเข้านอน
ยังไม่พอ แม้ตัวเราเองถ้ามีคุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย เช้าขึ้นมาจำไว้เลยว่า เมื่อเราเล็กๆ นั้น คุณพ่อคุณแม่ให้เรากินข้าวกินนม ก่อนที่ท่านจะกินเอง
วันนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ต้องทำให้สมกัน คือก่อนที่เราจะกินข้าว อาหารเช้านั้นรีบเอาไปให้คุณพ่อ ให้คุณแม่ก่อน เพราะว่าท่านเป็นพระอรหันต์ในบ้านของเรา เอาอาหารไปให้คุณพ่อคุณแม่ของเรา ก็คือ เอาอาหารไปให้คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ลูกของเรานั่นเอง
ทำให้ลูกดู ทำให้ลูกเห็นตั้งแต่เล็กๆ อย่างนี้ พอลูกรู้ความขึ้นมาก็ฝึกลูก ให้ยกข้าวปลาอาหารไปให้คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ของแกเองบ้าง
นอกจากสอนให้รู้ ทำให้ดู เคี่ยวเข็ญจนกระทั่งลูกทำเป็นแล้ว มีหรือที่ลูกของเราจะไม่รู้พระคุณพ่อแม่ แต่ว่าที่กำลังเป็นปัญหาก็คือ ปัจจุบันนี้ครอบครัวส่วนมากมักจะเป็นครอบครัวเล็กๆ คือ พ่อแม่อยู่ทาง ลูกอยู่ทาง เช่น คุณพ่อคุณแม่อยู่ต่างจังหวัด ส่วนเราก็มาตั้งครอบครัวใหม่อยู่อีกจังหวัดหนึ่ง หรือบางทีก็เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ลูกของเราเกิดมาจึงไม่เคยเห็นว่าเราปรนนิบัติดูแลคุณปู่ คุณย่า ของเขาอย่างไร เพราะฉะนั้นก็เลยทำไม่เป็น
ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกว่า แม้บ้านใกล้เรือนเคียง ที่เขาเป็นคนอายุรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือว่าเขามีปู่ย่าตายายอยู่ด้วย ก็พาลูกของเราไปดูว่าข้างบ้านเรา เขาดูแลปู่ย่าตายายของเขาอย่างไร
แล้วสังคมไทยของเราก็ถือว่า เป็นเพื่อน-บ้านกัน สนิทชิดชอบกัน แม้พ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเพื่อน ก็เหมือนพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเรา เราก็ดูแลท่านเหล่านั้น ให้เหมือนอย่างกับดูแลพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเราเองด้วย
เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสก็พาลูกตัวกะเปี๊ยกของเรานี้ไปด้วย เพื่อลูกจะได้เรียนรู้หน้าที่ว่า จะต้องทำอย่างไรกับเรา เมื่อตอนเราแก่เราเฒ่า และแน่นอน ถึงเวลาเราก็พาลูกของเราไปเยี่ยม คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายตัวจริงของแกด้วย แล้วเราเองก็ต้องดูแลคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ของลูกเรา ให้ดีเยี่ยม ให้ลูกได้เห็น
ยิ่งกว่านั้น หากมีโอกาสก็ชวนคุณพ่อคุณ-แม่ของเรามาค้างที่บ้านบ้าง แม้จะเป็นชั่วครั้งชั่วคราวก็ดูแลท่านให้เต็มที่ แล้วก็ใช้ลูกของเราให้ช่วยกันปรนนิบัติท่านให้เต็มที่อีกด้วย
ถ้าทำอย่างนี้ ก็จะกลายเป็นการถ่ายทอดความรู้ ถ่ายทอดความดี ถ่ายทอดศีล ถ่ายทอดธรรม ที่เรียกว่า ความกตัญญูกตเวที จากชั่ว คนหนึ่งไปสู่อีกชั่วคนหนึ่ง ด้วยวิธีง่ายๆ อย่างนี้
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มทำกันตั้งแต่วันนี้ อยากจะให้ลูกของเราดีต่อเราอย่างไร ก็ให้เราทำต่อคุณพ่อ คุณแม่ของเราให้ดีอย่างนั้น แล้วเราจะไม่ผิดหวัง
อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!
- ป้องกันลูกทิ้งตอนแก่ เลี้ยงลูกให้กตัญญู ต้องทำสิ่งนี้บ้าง!
- อานิสงส์การดูแลพ่อแม่ 12 ประการ ที่ลูกกตัญญูจะได้รับ!
- 10 เทคนิคสอนลูกให้เป็น เด็กกตัญญู
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.dailynews.co.th , www.kalyanamitra.org