พ่อจนสอนลูกเรียนเก่ง ได้ …สำหรับบ้านไหนที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยเรียน คงมีพ่อแม่จำนวนมากที่กำลังคิดหรือมองหาวิธีว่า ทำอย่างไรให้ลูกเรียนเก่ง หรือหาวิธีสอนลูกให้เรียนเก่งขึ้น แต่เมื่อเห็นสถิติที่พ่อแม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่งลูกๆ ไปเรียนกวดวิชาอย่างต่ำก็เดือนละ 3,000 บาทต่อคน หรือสูงสุดถึง 80,000 บาทต่อปี ซึ่งเห็นจำนวนเงินแล้วก็น่าเหนื่อยแทน
แล้วหากครอบครัวที่มีรายได้น้อย แต่อยากให้ลูกเรียนเก่ง จะทำได้อย่างไร?
ซึ่งการที่เด็กจะเรียนเก่งขึ้นได้นั้น พ่อแม่ควรเลือกและสร้างแนวทางการเรียนที่เหมาะสม ที่จะเป็นไปได้ทั้งในและนอกห้องเรียน โดยเริ่มฝึกแนวทางที่ดีให้กับลูก ตั้งแต่ระดับชั้นประถมต้น พอโตขึ้นให้เด็กยึดแนวทาง นำไปใช้ต่อไป เรื่อยๆในระดับที่สูงขึ้นไป ตั้งแต่ระดับประถมปลาย มัธยมต้น มัธยมปลาย ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย
Amarin Baby & Kids จึงขอเสนอแนวทาง การสอนลูก จาก ฮันฮีซ็อก (Han Hee-Seok) คุณพ่อแดนกิมจิ เจ้าของหนังสือที่บรรจุเคล็ดลับดีๆ เรื่อง “พ่อจนสอนลูกเรียนเก่ง” ให้เรียนรู้วิธีการง่ายๆ ที่เริ่มจากตัวพ่อแม่มาฝากกัน
โดย ฮันฮีซ็อก ยอดคุณพ่อคนนี้ มีภรรยา 1 ลูก 3 เขาเป็นนักเขียนนิยายอิสระ มีรายได้ไม่แน่นอน บางครั้งก็ต้องรับเหมาก่อสร้างงานไม้ งานอิฐ แต่ก็ฮึดสู้ หาวิธีฝึกสอนลูกให้มุ่งมั่นในการเรียนอย่างมีระบบ แบบไม่ต้องพึ่งโรงเรียนกวดวิชา เพราะไม่มีเงิน
Must read : เปิดใจพนักงานเก็บขยะ ปลื้ม!ลูกสวมครุยกราบเท้า
ซึ่งคุณพ่อฮันฮีซ็อก ก็สามารถทำได้จริงมาแล้วในตลอด 10 ปี กับการพยายามเป็น “โค้ชการเรียนของลูก” จนกระทรวงศึกษาธิการเกาหลีมอบรางวัล “ต้นแบบการฝึกสอนลูกให้เก่งโดยไม่ต้องเรียนกวดวิชา” ด้วยผลลัพธ์ที่ดีเหลือเชื่อ คือ จากลูกสาวที่เคย ได้อันดับการเรียน “เกือบที่โหล่” จนกลายเป็น “ที่ 1” ของโรงเรียนติดต่อกันตั้งแต่ ม.3-ม.6 และสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐติด แบบไม่เสียเงินกวดวิชาสักบาทเดียว
มาดูเคล็ดไม่ลับของสุดยอดโค้ชคุณพ่อฮันฮีซ็อก กันค่ะว่า จะมีวิธีการสอนลูกให้เรียนเก่งขึ้นได้อย่างไร โดยไม่ต้องพึ่งโรงเรียนกวดวิชาให้เสียเงิน
9 เคล็ดไม่ลับ ของสุดยอดโค้ช พ่อจนสอนลูกเรียนเก่ง
1. ทำตัวกลมกลืนกับลูกๆ พูดภาษาเดียวกัน กินเหมือนกัน ให้ลูกๆเชื่อใจว่าเป็นพวกเดียวกัน ฉะนั้นเมื่อเราสอนเราพูดอะไร ลูกๆจะเชื่อฟังเราอย่างดี อีกทั้งเรียนรู้รสนิยม พฤติกรรม การพูดจาของลูกและเพื่อน ๆ ไว้บ้างเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในครอบครัว
2. พาลูกไปเปิดหูเปิดตา เข้าชมนิทรรศการหรือกิจกรรมฟรีๆ เช่น งานแสดงภาพวาด นิทรรศการศิลปะต่างๆ ละครเวที งานแสดงดนตรี ของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มักจะให้เข้าชมฟรี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ทางศิลปะพัฒนาสมองและจิตใจลูกๆ ทำให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และเข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น
Must read : 7 ที่เที่ยวเสริมพัฒนาการ ไม่เกิน 100 บาท! เพื่อลูกน้อย
3. ตัดบทความจากหนังสือพิมพ์ เลือกคอลัมน์ที่เหมาะสมกับลูก ผู้เขียนแสดงทัศนะคติชัดเจน เป็นบทความสั้น ๆ อ่านจบภายใน5 นาที วันละ 1 บทความ ให้ลูกอ่านเป็นประจำช่วยสร้างมุมมองความคิดใหม่ๆ เข้าใจเหตุการณ์บนโลกอย่างลึกซึ้ง และสร้างกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุมีผล
4. เมื่อเด็กอ่านบทความจากหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ จะทำให้รู้เรื่องรอบตัวมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรหาเรื่องรอบๆตัวมาอภิปรายร่วมกับลูก เพื่อให้ทราบทัศนคติของลูก อีกทั้งช่วยสร้างเสริมให้ลูกรู้จักคิดและใช้เหตุผล
5. ให้ลูกๆ ดูโทรทัศน์ได้เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม แต่ควรวางแผนอย่างเหมาะสม ควรเลือกให้ดูเฉพาะรายการที่มีประโยชน์ เช่น สารคดี เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับลูกๆ
อ่านต่อ >> “9 เคล็ดไม่ลับ พ่อจนสอนลูกเรียนเก่งได้” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
6. ควบคุมบรรยากาศภายในบ้าน เช่น เมื่อใกล้วันสอบ ทุกคนในบ้านงดดูทีวีโดยเด็ดขาด เป็นเวลา 20 วัน ไม่เฉพาะลูกแต่ทั้งพ่อแม่หรือพี่น้องก็ห้ามดูเช่นกัน จะช่วยให้ลูกมีสมาธิ มีความตั้งใจและความสามัคคีของคนในครอบครัว ลูกไม่รู้สึกเคว้งคว้างที่ต้องทำอยู่คนเดียว
7. พ่อแม่หมั่นเข้าร่วมฟังสัมมนาแนะแนวการศึกษาของลูก เพื่อเก็บข้อมูล และเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือลูก ๆ ในการสอบเข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
8. ยืมหนังสือวรรณกรรมจากห้องสมุดให้ลูกอ่าน การอ่านจะช่วยพัฒนาทักษะทางด้านภาษา การคิดวิเคราะห์ และการจับใจความสำคัญ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานในการเรียน
9. เมื่อลูกทำสิ่งใดได้สำเร็จ พ่อแม่ต้องรู้จักชมเชยอย่างเหมาะสมและถูกจังหวะ โดยไม่เน้นจำนวนครั้ง แต่ใส่ใจทุกคำพูด เลี่ยงการพูดชมแบบเดิมๆเพราะคุณค่าจะลดลง ควรพูดให้กระชับ อาจใช้มือลูบหัวหรือลูบหลังแทนคำพูดก็ได้ และหาวิธีชมเชยแบบใหม่ๆเสมอ แต่ห้ามเปรียบเทียบหรือเติมเงื่อนไขในคำชมเชยเด็ดขาด
และ สุดท้ายพ่อแม่อย่าไปเร่งเด็กๆ ปล่อยให้พวกเขารักษาระดับการวิ่งของตนเองต่อไป พ่อแม่คอยเป็นกำลังใจและช่วยเหลืออยู่ข้างๆจะดีกว่า จงจำไว้ว่า “การเรียนคือหน้าที่ของลูก ส่วนหน้าที่ของพ่อแม่คือสนับสนุน”
ทั้งนี้ คุณพ่อฮันฮีซ็อก ได้เปิดใจว่า นอกจากจะทำหน้าที่พ่อแล้ว ยังเป็นโค้ชการเรียนให้ลูกทุกคน “การจะบรรลุความสำเร็จในฐานะโค้ชการเรียน ผมต้องไม่ทำให้ลูกรู้สึกขัดแย้ง ต่อต้าน ผมก้าวเข้าไปในโลกของเขา ทำความเข้าใจอย่างละเอียด มีความรู้สึกร่วมไปกับลูก ความเข้าใจซึ่งกันและกันย่อมทำให้พ่อแม่ ลูก กล้าคุยเปิดอกกัน”
เรื่องนี้ถือเป็นการปลุกแรงบันดาลใจให้ทุกครอบครัวมีหนทางออกสว่างไสว แม้ไม่ต้องส่งลูกเรียนกวดวิชาเหมือนใครๆ ก็ยังเรียนเก่งเป็นที่ 1 ได้ ซึ่งเป็นต้นแบบที่ยืนยันได้ว่า >> …ไม่ต้องกวดวิชาก็เรียนเก่งได้ ด้วยความเอาใจใส่ทุ่มกายทุ่มใจของพ่อแม่นั่นเอง!!
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น การที่พ่อแม่ตั้งคำถามว่า จะ “เลี้ยงลูกอย่างไรถึงได้เรียนเก่ง” อาจไม่ใช่เรื่องที่ต้องถามใครอีกต่อไป แต่อาจเป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ที่อ่านบทความนี้แล้วนำไปใช้ได้เช่นนั้นหรือไม่ ซึ่งการที่จะทำได้ก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายนัก เพราะในชีวิตประจำวันของแต่ละครอบครัวนั้น ทั้งคุณพ่อคุณแม่ยังต้องมีภาระอื่นๆ อีกมาก รวมถึงตัวลูกๆด้วยที่ยังต้องมีกิจกรรมอื่นๆและต้องเจอกับปัจจัยที่มีผลด้านลบอื่นๆอีกมากมาย Amarin Baby & Kids จึงขอแนะนำ 6 แนวทางการสอนลูกให้เป็นเด็กเรียนเก่งได้ง่ายๆ ดังนี้
1.สอนให้ลูกรักการอ่าน >> ข้อนี้ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะการเรียนรู้เบื้องต้นสำหรับเด็กเล็กๆ คือการอ่าน ยิ่งลูกอ่านหนังสือได้เร็วเท่าไหร่ การเรียนรู้ด้วยการอ่านก็จะเริ่มเร็วเท่านั้น และไม่จำเป็นว่าต้องให้ลูกอ่านหนังสือด้านการเรียนเท่านั้น หนังสืออะไรก็อ่านได้ สำคัญคือขอให้ลูกชอบที่จะอ่านก่อน โดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยประคองอยู่ข้างๆ หมายถึงค่อยๆพูดค่อยๆคุยกับลูกถึงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความสนใจเอง แล้วก็จะไปหาหนังสืออ่านได้เอง
2. ให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ >> การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนก็จะทำให้เด็กเป็นแบบนั้นได้ง่าย เด็กๆที่โตมาในวงเหล้า ในวงการพนันเค้าก็จะเห็นเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องธรรมดา และเด็กๆ ที่โตมาท่ามกลางพ่อแม่พี่น้องที่นั่งอ่านหนังสือ หรือเรียนรู้แบบอื่นๆ ก็จะเห็นเรื่องการอ่านและการเรียนรู้เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเรียนเก่ง ก็ควรทำให้ลูกเห็นด้วย
อ่านต่อ >> “6 แนวทางการสอนลูกให้เป็นเด็กเรียนเก่งได้ง่ายๆ” คลิกหน้า 3
3. สอนให้ลูกรู้จักคิดต่อยอดได้เอง >> เด็กที่เรียนเก่งแบบทั่วๆ ไป อาจจะเก่งเพราะความจำดี ฝึกหนัก เรียนเยอะ นั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่เด็กเก่งแบบนี้จะมีข้อจำกัด และอาจไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงานด้วยซึ่งก็น่าจะมีไม่น้อยเลยที่เป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง แต่ทำงานไม่เก่ง เพราะความรู้ที่เรียนมามันก็อาจล้าสมัยได้ และบางเรื่องก็ไม่ได้นำมาใช้ในการทำงานเลย
ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้เด็กๆ พัฒนาตัวเองได้อยู่ตลอดเวลาคือการให้รู้จักคิดต่อยอดความรู้ได้ โดยคุณพ่อคุณแม่เริ่มต้นแบบง่ายๆก่อน จากการสอนให้ลูกเล่นเกม ที่เป็นเกมคณิตศาสตร์ที่ต้องใช้ความคิดเช่น เกม 24 หรือให้ลูกเล่นหมากฮอส หมากล้อมก็สามารถสอนลูกฝึกการคิดแบบต่อยอดเองได้
4. สอนให้ลูกเป็นนักฟัง >> อีกอย่างของการเรียนรู้ คือการฟัง ไม่ว่าจะเป็นการฟังที่ไหนก็ตามถ้าเด็กๆฟังเป็น จับประเด็นถูก สรุปได้ นั่นเท่ากับเด็กประสบความสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วการฟังนี้ ไม่ใช่ฝึกเฉพาะลูก แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ควรฝึกด้วย เพราะการเป็นนักฟังที่ดี จะทำให้เราเข้าใจอะไรๆได้ง่ายขึ้นเยอะ เด็กๆก็เหมือนกัน และเพราะการเรียนของเด็กๆในห้องเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นการฟังถ้าน้องฟังและทำความเข้าใจได้ที่เหลือก็ง่ายขึ้นเยอะ ซึ่งวิธีการสอนให้ลูกเป็นนักฟังที่ดีได้ เริ่มจากการเล่านิทานให้ลูกฟัง ที่สำคัญคือเล่าเรื่องไปพร้อมกับตั้งคำถามเป็นระยะๆ ให้ลูกได้คิดได้ตอบกลับมา ซึ่งจะทำให้เด็กรู้จักฟังและนำมาคิดซึ่งถือว่าเป็นการฝึกการฟังและฝึกสมาธิไปด้วยนั่นเอง
5. สอนให้ลูกเป็นนักเขียน >> เพราะการเขียนจะทำให้ลูกได้ใช้สมองในการประมวล เรียบเรียงและจัดระเบียบความรู้ให้สามารถนำออกมาใช้ได้ง่ายและเร็วขึ้น ควรฝึกให้ลูกเริ่มเขียนจากสิ่งง่ายๆ ก่อนเช่น ไดอารี่ บันทึกประจำวัน และถ้าเด็กๆ ชอบที่จะเขียน ก็ลองให้เขียนนิทาน นิยาย เรื่องสั้น หรือฝึกเขียน Mind Map ก็ยิ่งดี ซึ่งจะทำให้เด็กมีทักษะในการจัดหมวดหมู่ความรู้ที่มีในหัวได้ด้วย
6. สอนให้ลูกเป็นครู >> สุดท้ายคือการสอนให้ลูกรู้จักที่จะสอนคนอื่น เช่น สอนเพื่อนหรือสอนน้อง การสอนจะทำให้ลูกยิ่งเก่งขึ้นในเรื่องนั้นๆ เพราะลูกจะต้องประมวลความรู้ที่มี จัดเรียงและถ่ายทอดออกมา ครั้งแรกๆอาจจะยังสอนแบบงงๆ อยู่แต่เชื่อเถอะว่ายิ่งสอนมาก ลูกจะยิ่งเก่งมากขึ้น และประโยชน์อีกอย่างในการฝึกให้ลูกรู้จักที่จะสอนคนอื่น คือการสอนให้รู้จักแบ่งปัน และจะทำให้เด็กๆใจเย็นขึ้น มีสมาธิขึ้นอีกด้วย
การเริ่มต้นที่จะสอนลูกก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรคาดหวังว่าลูกจะเป็นเด็กเรียนเก่งที่สุด หรือเก่งมากๆก็ได้ จริงๆแล้วขอให้ลูก ชอบที่จะคิด ชอบที่จะเรียนรู้เรียนรู้ แต่อาจไม่ได้เรียนเก่งมาก รวมถึงมีทักษะในการอ่าน ฟัง เขียน บ้างไม่ต้องขนาดถึงกับเป็นนักเขียน และรู้จักที่จะแบ่งปัน แค่นี้ลูก จะประสบความสำเร็จในชีวิตแน่นอนแม้ว่าจะไม่ใช่เด็กเรียนเก่งก็ตาม
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!
- วิธีการสอนลูกให้มีคุณภาพของลี กาชิง เศรษฐีอันดับ 1 ของฮ่องกง
- วิธีการเลี้ยงลูกอย่างชาญฉลาด ของ ‘เจ้าชายวิลเลียม’ ดยุกแห่งเคมบริดจ์ (อังกฤษ)
- 7 เรื่องพื้นฐานที่ควรสอนลูกให้ติดเป็นนิสัย! ตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น
- คำสอนดี ๆ ในการเลี้ยงดูลูกแบบคนจีน
ขอบคุณข้อมูลจาก : kaineen.blogspot.com , blog.eduzones.com