AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

กระทู้ดีจากพันทิป! แนวทาง การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง ที่น่ารัก

การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง อีกหนึ่งแนวทางการเลี้ยงลูกที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนสงสัยว่าดีหรือไม่ เลี้ยงกันอย่างไร แล้วถ้า เลี้ยงลูกแบบฝรั่ง ลูกจะโตขึ้นมาเป็นคนดีหรือเปล่า เพื่อคลายความสงสัยและเป็นแนวทางสู่ Amarin Baby & Kids มีประสบการณ์จากการผลของการเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง มาฝากค่ะ

กระทู้ดีจากพันทิป! แนวทาง การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง ที่น่ารัก

ซึ่ง แนวทาง การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง ที่น่ารัก ๆ นี้ โพสต์โดยผู้ใช้พันทิป ชื่อ เฮียพี่ชา โดยตัวผู้เขียนกระทู้นั้นไม่ใช่คุณแม่ แต่ก็ยินดีที่จะ บอกเล่าประสบการณ์การเลี้ยงลูก หรือสอนลูกแบบต่างๆที่น่ารักๆของสังคมฝรั่งมาให้อ่านดูค่ะ เผื่อคุณพ่อคุณแม่ท่านใดสนใจ นำไปใช้ ดังนี้

ก่อนอื่นขอบอกก่อนนะคะว่าเราไม่ใช่คุณแม่ และยังไม่คิดเรื่องจะมีลูกค่ะ ตอนนี้มีแต่หลาน

แต่ต้องขอตั้งประเด็นนี้ขึ้นมาเพราะว่าเราสังเกตถึงคำว่า”เลี้ยงลูกแบบฝรั่ง”ที่คนเข้าใจผิดๆว่า มันหมายถึง”ไม่ตี” “เลี้ยงแบบปล่อย” หรือว่า “ไม่สอน”

ต๊ายยยยค่ะ ฟังแล้วตกใจ มีที่ไหนคะไม่สอนลูก T_T การที่เค้าไม่ตีมันไม่ได้แปลว่าเค้าไม่สั่งสอนลูกค่ะ พ่อแม่แต่ละคนก็มีบทเรียนให้ลูกเรียนรู้หรือเข็ดโดยที่ไม่ต้องตี ครอบครัวเราก็เป็นคนต่างชาติค่ะ และการสั่งสอนเค้าก็คือการไม่ตีเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีบทเรียนอะไรเลยที่ทำให้ลูกหลาบจำ สังคมเราในต่างประเทศก็เจอคนที่มีวิธีอบรมสั่งสอนลูกที่ต่างกันไปค่ะ บางคนสอนได้ถึงขั้นที่เรียกว่า “เก๋” เลยทีเดียว

เราเลยอยากเอาประสบการณ์การเลี้ยงลูก หรือสอนลูกแบบต่างๆที่น่ารักๆของสังคมฝรั่งมาให้อ่านดูค่ะ เผื่อใครอยากนำไปใช้ก็ดีเหมือนกันค่ะ ^^

**ป.ล. เด็กแต่ละคนมีนิสัยไม่เหมือนกันนะคะ เราไม่การันตีว่าการสอนลูกแบบนี้จะใช้ได้กับเด็กทุกคน เราแค่มีเจตนาจะมาแชร์เรื่องราวน่ารักๆค่ะ

แนวทาง การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง

1. บทเรียนจากการขโมยของ

เริ่มเรื่องแรกก่อนเลย มาจากครูสอนวิชาpersonal financeของเราสมัยอยู่อเมริกาค่ะ ครูเป็นคนไอแลนด์นะคะถ้าจำไม่ผิด

ครูเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ ครูมักจะไปซื้อของกับแม่ตัวเองที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นประจำ โดยที่ครูจะนั่งที่ห้อยขาบนรถเข็นของซุปเปอร์ค่ะ และบางทีคุณแม่ก็จะวางกระเป๋าไว้ที่นั่งเด็กที่ครูนั่งอยู่เช่นกัน

วันนั้นแม่ครูได้เข็นรถผ่านแผนกของเล่นเด็กค่ะ ครูก็เลยหยิบตุ๊กตาตัวเล็กๆออกมา และวางลงบนตักตัวเองแล้วเอากระเป๋าปิดไว้!! แม่ครูก็ไม่รู้เรื่อง จ่ายตังค์แล้วก็พาครูกลับเข้ารถเพื่อที่จะกลับบ้าน

ระหว่างทางกลับบ้าน ครูก็หยิบตุ๊กตาออกมา “มามมี่ ดูซิ” จนทำให้แม่ครูตกใจมาก แล้ววนรถกลับไปที่ซุปเปอร์นั้นทันที สิ่งที่แม่ของครูทำคือ

ให้ครูนั้นเอาตุ๊กตาไปคืนที่ร้าน แล้วบอกว่าหนูขโมยไป หนูขอโทษ แล้วก็ต้องจุ๊บแก้มเจ้าของร้านเป็นการขอโทษ 5555 ครูบอกว่าหลังจากนั้นไม่กล้าขโมยของอีกเลยค่ะท่าน

คหสต.สำหรับเรื่องนี้นะคะ เราชอบที่แม่ให้ครูเอาของไปคืน โดยที่ไม่ได้ซื้อของชิ้นนั้นให้ครู เพราะที่เคยเจอมาบางคนจะรับผิดชอบโดยการจ่ายของชิ้นนั้นให้ลูก ลูกก็จะไม่ได้บทเรียนเพราะยังไงก็ได้ของอยู่ดี

หรือท่าทางร้านจะให้แม่ครูรับผิดชอบโดยการซื้อ ยังไงซะแม่ของครูก็จะไม่เอาของเล่นชิ้นนั้นให้ครูเพื่อเป็นบทเรียนค่ะ

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

2. สอนลูกทำงานแลกเงิน เก็บออม และไม่งอแงเวลาจะเอาของเล่น เรื่องนี้เราชอบมากๆๆเป็นการส่วนตัวค่ะ

เรื่องนี้เราได้มาจากครูคนเดียวกันค่ะ แต่เป็นเรื่องของครูกับลูกสาว

ครูบอกว่ามีลูกสาวอายุห้าขวบค่ะ แล้วครูก็ซื้อกระเป๋าสตางค์แบบห้อยคอให้ เวลาครูไปซื้อของ ครูจะให้ลูกสาวช่วยหยิบของออกจากรถเข็น เวลาอยู่บ้านก็จะให้ลูกสาวช่วยทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆ เช่นเช็ดโต๊ะหลังกินข้าวเสร็จ เขี่ยเศษอาหารลงถัง หรือจัดรองเท้าให้เป็นระเบียบ

พอถึงหนึ่งอาทิตย์ ครูก็จะเอาเหรียญ 25 เซนต์ไปให้ลูก (ประมาณสิบบาท) แล้วบอกว่าขอบคุณสำหรับที่ช่วยแม่ทำงานบ้านนะ นี่คือรางวัล

โดยที่ครูจะเอาเหรียญไปใส่กระเป๋าห้อยคอให้ลูก แล้วก็ให้ลูกเก็บตังค์ไปเรื่อยๆ

เวลาไปร้านสะดวกซื้อ ลูกสาวครูเห็นของเล่นแล้วอยากได้ ครูก็จะบอกว่า “ซื้อได้นะ แต่ต้องเอาเงินในกระเป๋าที่หนูหามาซื้อเอง” ครูก็จะเปิดกระเป๋านับเงินให้ลูก แล้วถ้ามีไม่พอก็บอกว่า “แย่จัง ยังไม่ถึงเลย งั้นเดี๋ยวกลับไปช่วยแม่ทำงานบ้านแล้วพอเงินครบเราก็มาซื้อใหม่นะ” ลูกสาวครูก็จะเก็บเงินค่ะ

เป็นการสอนลูกไม่ให้งอแงเวลาอยากได้ของเล่น เพราะไม่ได้ห้ามซื้อ และยังสอนให้ลูกเก็บเงินไปในตัวและเรียนรู้ที่จะทำงานแลกเงิน (ขอบอกว่างานเบาๆสำหรับเด็กเล็กนะคะ ไม่ได้ทรมานลูกแบบลำยอง 555) ครูบอกว่าจากนั้นลูกก็ไม่เคยงอแงอีกเลยค่ะ แล้วตอนเก็บเงินครบก็จะไปซื้อของเล่นกัน โดยให้ลูกไปจ่ายตังค์ด้วยตัวเอง ลูกจะได้ภูมิใจว่าซื้อของให้ตัวเอง เอาเหรียญไปกองให้แคชเชียร์ช่วยนับ คนอื่นก็พากันเอ็นดู แล้วก็ได้ของเล่นกลับบ้านสมใจ

3. สอนให้ลูกทำอะไรเอง ช่วยตัวเอง

อันนี้มาจากการเลี้ยงดูของบ้านเราเองค่ะ ตอนเด็กๆเวลาล้มแล้วพ่อแม่เข้าไปโอ๋ เด็กก็จะร้องไห้ใช่ไหมคะ แต่ปั๊ปป้าของเราจะทำให้เราดูไม่น่าสงสารค่ะ เหมือนการล้มเป็นเรื่องปรกติ เค้าก็จะบอกว่า ง่วงแล้วเหรอ ลงไปนอนทำไมอะ ลุกขึ้นมาเล่นต่อสิ 5555 อันนี้จำได้แม่นเลย เพราะเราก็เอาไปแหย่หลานเราตอนล้มเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาเราเจ็บตัวจะไม่ร้องไห้เลยค่ะ จะลุกขึ้นมาทันที

(บางทีถ้าเราหน้าเบ้ ปั๊ปป้าจะรีบวิ่งไปเป่า…พื้นค่ะ พื้นเจ็บมากมั้ย 555 แล้วเราก็จะหัวเราะแล้วเลิกร้องไห้ไปเอง)

เช่นเดียวกันกับการแต่งตัวกินข้าว ตอนเราอยู่อนุบาล เราอยู่ที่เมืองไทยค่ะ จำได้แม่นเลยว่าครูเคยชมว่าเราเก่งเพราะว่าแต่งตัวเองเป็นตั้งแต่เด็ก ใส่รองเท้าถูกข้าง เพราะว่าพ่อแม่เราไม่แต่งให้ค่ะ จะเอาชุดมาให้แล้วชี้ให้ดูว่าอะไรใส่ตรงไหน หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆจำแล้วทำเอง

นมผงเหมือนกันค่ะ ตอนเด็กๆเราชงเองเป็น จำไม่ได้ว่าปั๊ปป้าหรือพี่เลี้ยงสอน ว่าใส่นมผงกี่ช้อน เอาน้ำใส่ขวดนม แล้วเขย่ากินเอง ซีลีแลคอะไรนี้ก็ผสมเองค่ะ ตอนเด็กๆจะชอบทำเองมากกว่าให้คนทำให้ เพราะเราผสมไม่ละเอียดแล้วจับเป็นก้อนแป้งเล็กๆหวานๆ ชอบ 5555

แล้วก็ไม่ค่อยอุ้มค่ะ ถ้าเราร้องเค้าก็จะปล่อยให้ร้อง ไม่โอ๋ ให้ร้องไปเรื่อยๆจนเราคิดได้ว่าร้องไปก็ไม่ได้อะไรแล้ว เค้าไม่อุ้มเราอยู่ดี หลังจากนั้นก็ไม่เคยร้องให้อุ้มอีกค่ะ

พี่สาวเราเคยเล่าให้เราฟังเหมือนกันว่าเคยหกล้มแล้วร้องไห้ ก็แหกปากนานๆ(ทั้งที่จริงๆไม่ได้เจ็บ) แม่ก็มีหันมาดูอยู่ แต่ไม่ได้วิ่งเข้ามาโอ๋ ทำเป็นไม่สนใจ สักพักพี่สาวก็เงียบแล้วลุกขึ้นมาเอง 555

ที่เรียนรู้ได้ตอนเด็กๆคือ อยากได้อะไรต้องทำเอง ไม่ใช่ร้องให้พ่อแม่มาทำให้ แล้วก็อย่าร้องไห้ขออะไรเพราะไม่เป็นผล

มีแค่นี้แหละค่ะ ประสบการณ์เราไม่ได้เยอะมาก แต่ก็อยากแชร์เรื่องของครูเพราะเราว่าข้อ2.เนี่ยเก๋จริงๆค่ะ

เดี๋ยวคิดอะไรได้เพิ่มแล้วจะมาเขียนเพิ่มค่ะ

ขอบคุณเรื่องราวจาก : ผู้ใช้พันทิป ชื่อ เฮียพี่ชา ที่มากระทู้ https://pantip.com/topic/31295286?

อย่างไรก็ดีการที่ลูกจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไรนั้นสิ่งแรกก็มาจากครอบครัว พ่อแม่เป็นเหมือนครูคนแรกที่คอยอบรม สั่งสอน ซึ่งจากเรื่องราวข้างต้นจะเห็นได้ว่า ครอบครัวฝรั่งนั้นเน้นเลี้ยงลูกแบบปล่อยให้มีอิสระ กล้าคิดกล้าทำ ออกจากบ้านทำงานหาเงินกันตั้งแต่อายุยังน้อย ที่สำคัญพวกเขารู้จักรับผิดชอบกันตั้งแต่เด็กๆ แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือพ่อแม่ ที่คอยเป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังใจให้ลูกน้อยเสมอ นั่นจึงทำให้ลูกน้อยสามารถโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีความคิดความมั่นใจ และประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างราบรื่น

อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!