เลี้ยงลูกด้วยธรรมะ …เพราะเด็กวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ซึ่งก็เชื่อว่าความหวังของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงอยากเห็นลูกโตไปเป็นคนดี มีชีวิตที่ดีและมีความสุข แต่ก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะเลี้ยงลูกให้ลูกได้ดี
เชื่อว่านี่คือคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจของพ่อแม่ส่วนใหญ่นับตั้งแต่วันที่ลูกลืมตาดูโลก เพราะอยากเห็นลูกของเราทั้งเก่ง ดี มีความสุข และมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอให้เขาสามารถใช้ชีวิตในสังคมโลกที่นับวันยิ่งยุ่งเหยิงและซับซ้อนนี้ได้โดยไม่ล้มเป๋ไปเสียก่อน จริงๆ คำตอบอาจอยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียว นั่นคือพ่อแม่นำธรรมะมาปรับใช้ในการดูแลกายใจให้ลูก ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถยืนยาวไปตลอดชีวิต
เลี้ยงลูกด้วยธรรมะ เสริมภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต
Amarin Baby & Kids จึงมีแนวทางการเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ เพื่อเป็นวัคซีนทางใจให้ทุกครอบครัวเริ่มต้นปี 2560 อย่างมีความสุขสดชื่น ตลอดปีตลอดไปค่ะ
เลี้ยงลูกด้วยพรหมวิหารธรรม
การเลี้ยงลูกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเลี้ยงด้วยความรักอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีความรู้ อดทน และธรรมะเพื่อให้เกิดคุณธรรม ศีลธรรมและจริยธรรมประกอบเข้าไปด้วย ดังเช่นที่ท่าน ว. วชิรเมธี เคยเขียนไว้ในคอลัมน์ Answer Key นิตยสารซีเคร็ต ฉบับมิถุนายน 2554 ว่า “การเลี้ยงลูกที่บอกว่ายากก็เพราะว่าต้องใช้ทั้งความรัก ความรู้ ความอดทน และคุณธรรมอีกสารพัดประกอบกัน ลำพังให้ความรักอย่างเดียว ถ้ามากเกินไปก็จะกลายเป็นลูกแหง่ อ่อนแอ ทำอะไรไม่เป็น ความรู้ ถ้าให้มากเกินไปก็จะกลายเป็นคนแข็งกร้าวไม่ยอมฟังใคร…ดังนั้นคนเป็นแม่จะต้องเรียนรู้ที่จะปรับคุณธรรมต่างๆ ในการเลี้ยงลูกให้ลงตัวพอดี งานเลี้ยงลูกจึงจะประสบความสำเร็จ”
หลักธรรมง่ายๆ ที่ช่วยเลี้ยงลูกได้ตามที่ท่าน ว.วชิรเมธีกล่าวไว้นั่นคือ พรหมวิหารธรรม ซึ่งมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ เมตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทั้ง 4 ข้อสามารถปรับมาใช้ในการเลี้ยงลูกได้ ดังนี้
♥ เมตตา ถ้ามากเกินไป พ่อแม่จะตามใจลูก
♥ กรุณา ถ้ามากเกินไป พ่อแม่จะทำทุกอย่างแทนลูก
♥ มุทิตา ถ้ามากเกินไป พ่อแม่จะส่งเสริมไปเสียทุกเรื่อง (เช่น ลูกทำผิด แต่คอยให้ท้าย)
♥ อุเบกขา ถ้ามากเกินไป พ่อแม่จะกลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ คือไม่แยแสลูก
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลูกขอเงินไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม พ่อแม่ก็ต้องยืนกรานที่จะไม่ให้ แต่ต้องไม่ลืมชี้แจงด้วยเหตุผล หรือถ้าลูกเป็นคนเจ้าอารมณ์ พ่อแม่ก็ต้องหาวิธีปฏิเสธที่นุ่มนวล เพราะการตามใจลูกด้วยความสงสารมากเกินจะทำให้เขาได้ใจ หากวันไหนไม่ได้ดังใจก็จะพาล ข้อเสียคือ เมื่อพาลโมโหแล้วได้ตามที่ต้องการ เขาก็จะจดจำพฤติกรรมไม่ดีนี้ไว้ เมื่อเกิดเหตุการณ์อีกเขาก็จะทำซ้ำแบบเดิมอีก
ดังนั้น การเลี้ยงลูกจึงต้องใช้ธรรมะ ใช้ปัญญาอยู่เสมอ ลำพังความรักอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะสอนลูกให้เป็นคนดีมีศีลธรรมได้ และควรต้องใช้ทางสายกลางในการเลี้ยงลูกให้มาก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
♠ ธรรมะแบบง่ายๆ
อยากเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ เพราะเชื่อว่าธรรมะจะกล่อมเกลาลูกและช่วยให้รอดพ้นจากสังคมที่ยุ่งเหยิงไปได้ หลายครอบครัวจึงมุ่งแต่ธรรมะในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าหลักธรรมอันแท้จริง เชิงสัญลักษณ์ที่ว่าคือ ให้ลูกท่องบทสวดมนต์ หรือพาเข้าวัดเช้าเย็น โดยคาดหวังว่านี่คือหนทางทำให้ลูกเป็นคนดีและมีความสุข ซึ่งนั่นอาจไม่เพียงพอหากเราไม่เข้าใจธรรมอย่างถ่องแท้ ถ้าอย่างนั้นเราจะใช้ธรรมะอย่างไรดี นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวถึงประเด็นการใช้ธรรมะเลี้ยงลูกได้อย่างน่าสนใจ ในคอลัมน์ Talk It Easy นิตยสารเรียล พาเรนติ้ง ฉบับกันยายน 2556 ว่า “ก่อนที่จะคิดเรื่องเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ พ่อแม่ควรทบทวนตนเองเป็นอย่างแรกว่า ตนเองมีธรรมะและเดินทางสายกลางมากน้อยเพียงไร”
พ่อแม่หลายคนคาดหวังว่าให้ลูกเป็นคนดี มีความสุข ดูแลตนเองได้ แต่ไม่นานความคาดหวังก็มากขึ้นเป็นขอให้เรียนเก่ง มีงานทำดี และร่ำรวย คุณหมอประเสริฐกล่าวว่า “ธรรมะที่แท้คือ เดินสายกลาง และเด็กๆ พัฒนาด้วยการดูพ่อแม่เป็นหลัก…หากลูกๆ จับสังเกตได้ว่าพ่อแม่มีความคาดหวังสูง (พูดแรง ว่าโลภมากในการเลี้ยงลูก) เช่นนี้มิใช่สายกลาง เพียงเท่านี้ลูกก็รู้แล้วว่าพ่อแม่มิได้มีธรรมะอะไรมากนัก”
ดังนั้น คำแนะนำจากคุณหมอถึงการเลี้ยงลูกด้วยธรรมะแบบง่ายๆ ก็คือความเป็นธรรมชาติ การเลี้ยงลูกจึงควรผสมผสานหลากหลายวิธี มากบ้างน้อยบ้างตามสถานการณ์ บางครั้งต้องเข้มงวดและคาดหวัง บางครั้งต้องปล่อย บางครั้งต้องปกป้องภยันตรายให้ และบางครั้งก็ต้องทำไม่รู้ไม่เห็นบ้าง เพื่อให้ลูกเติบโตได้ด้วยตนเอง แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าศีลธรรมคือ จริยธรรม ซึ่งก็คือความสามารถในการกำกับตนเอง มิให้ใช้อำนาจหรือความสามารถไปเบียดเบียนคนอื่น ส่วนการสอนเรื่องจริยธรรมนั้นก็ไม่ยาก เด็กก่อนเจ็ดขวบจะกลัวการถูกลงโทษ เด็กหลังเจ็ดขวบจะชอบรางวัล ดังนั้นก่อนเจ็ดขวบพ่อแม่สามารถทำโทษได้เมื่อเขาทำผิด หลังเจ็ดขวบใช้วิธีกอด ชมเชย หรือให้ของขวัญเมื่อเขาทำดี นี่คือวิธีที่ง่ายที่เขาจะเรียนรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ทั้งหมดนี้จะเรียกว่าธรรมะอย่างง่ายก็ได้
อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก!
- คุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ สอนลูกอย่างไรให้เป็นคนดี?
- 37 แนวทาง เลี้ยงลูกให้ถูกธรรม!! ตามคำสอนพุทธ เพื่อให้ลูกเป็นคนดีและมีสุข
อ่านต่อ >> “3 หัวใจแห่งทางสายกลางกับหลักการเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ” คลิกหน้า 2
3 หัวใจแห่งทางสายกลาง
ปัจจุบันครอบครัวหลายครอบครัวประสบปัญหา “ครอบครัวพยาธิสภาพ” หมายถึง การที่ครอบครัวทำหน้าที่ได้ไม่สมดุล ก่อให้เกิดผลกระทบต่อลูกหลาน ไม่ว่าความสมดุลนั้นจะเกิดจากการขาด บกพร่อง ละเลย ให้มากเกินไปหรือเข้มงวดเกินไปก็ตาม ซึ่งเกิดขึ้นได้จากทุกสถานะ ปัญหาเกิดจากอะไรบ้าง รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายไว้ดังนี้
- ให้มากไปก็เป็นปัญหา พื้นฐานความต้องการของมนุษย์มีอยู่ 3 อย่าง ได้แก่ ความต้องการทางกายภาพ คือปัจจัยสี่และความปลอดภัย ความต้องการทางสุขภาวะทางจิตใจ คือการได้ความรัก การเอาใจใส่ การสนับสนุน ความต้องการทางสังคม คือ การมีปฏิสัมพันธ์ภายในบ้านและสังคมภายนอก
เหล่านี้หากมีอย่างพอดีก็จะเป็นสุข แต่หากมากเกินหรือขาดไปย่อมทำให้เกิดปัญหา เช่น มีที่อยู่หลายที่ ไม่เป็นหลักแหล่ง เด็กจะขาดความผูกพันกับบ้านเกิดของตัวเอง ดูแลสุขภาพจนฟุ้งเฟ้อ ได้รับการรักษาแล้วแต่ไม่พอใจต้องพิเศษกว่าใคร เด็กจะเหนื่อยหน่ายและสิ้นเปลืองเงินทอง กินตามใจปาก เกิดปัญหาสุขภาพ คุ้มครองและตามแก้ปัญหาให้ทุกเรื่อง เด็กเกิดความเคยชินและไปรุกล้ำหรือละเมิดสิทธิผู้อื่น เมื่อโตแล้วพ่อแม่ต้องตามแก้ปัญหาให้เรื่อยไป
- ให้ความรักแบบเข้มข้น เรียกว่าให้จน สำลักความรัก พ่อแม่เหล่านี้ไม่อาจทนเห็นลูกช่วยเหลือตนเองได้ หรือหวังดีไม่อยากให้ลูกอดทนรอสิ่งใด บริหารจัดการให้ลูกจนสุขสบาย เด็กจึงไม่สามารถอดทนต่อความยากลำบากได้เมื่อโตขึ้น วินัยเข้มงวด ทุกอย่างเป็นกฎระเบียบไม่มียืดหยุ่น เด็กจึงอึดอัดคับข้องใจ กดดันจนอาจทำร้ายตัวเอง เร่งรัดและบังคับทุกอย่าง โดยบังคับให้เรียนมากเกินไป เด็กจึงเครียดและกดดัน ขาดสมดุลในชีวิต ไม่กล้าคิดนอกกรอบ
- รุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวหรือให้อิสระแบบไร้ขอบเขต อย่างแรกคือเปิดประตูสำรวจพื้นที่ส่วนตัวของลูกทุกอย่าง ลูกจึงอึดอัดและต่อต้าน อย่างหลังคือปล่อยเกินไปจนกลายเป็นละเลย เสี่ยงต่อการกลายเป็นเด็กมีปัญหา
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากความไม่พอดี คือรักมากเกินไปหรือไม่ก็อุเบกขาเกินไป ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลสามารถแก้ไขได้ด้วย 3 หัวใจแห่งทางสายกลาง ได้แก่ หัวใจแห่งพอเพียง หัวใจแห่งธรรม และหัวใจแห่งประชาธิปไตย
1. หัวใจแห่งพอเพียง
หากพ่อแม่ประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดูแลปัจจัยสี่ให้พอดี ไม่จำเป็นต้องอู้ฟู่มากนัก กินพอดีกับร่างกาย รับบริการทางแพทย์อย่างเหมาะสม และให้ความคุ้มครองลูกอย่างพอควร
2. หัวใจแห่งธรรม
คือควบคุมสภาวะทางจิตใจให้อยู่บนทางสายกลางโดยใช้สติ พิจารณาว่าในเวลานี้เด็กควรได้รับความรักและการอบรมแบบใดจึงเหมาะสม หรือจะนำศาสนาที่ตนนับถือมาประยุกต์ใช้ก็ได้ เพราะหากไม่มีสติ ความรักที่พ่อแม่ให้จะเหมือนรถเบรกแตก พาเด็กหลงทางและนำไปสู่อันตราย เช่นเดียวกับการสร้างวินัยให้ลูกที่ต้องตั้งอยู่บนฐานเมตตาธรรม หรือที่รู้จักกันดีว่า วินัยเชิงบวก ไม่ใช่การตามใจ เด็กต้องได้รับการจัดการที่ดี ต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีต่อกัน ไม่เกิดบาดแผลในใจ
3. หัวใจแห่งประชาธิปไตย
ไม่ใช่การโหวตคะแนนเสียง แต่หมายถึงการให้ลูกมีส่วนร่วมอย่างมีคุณค่า คือเปิดโอกาสให้ลูกได้พูดคุยและมีส่วนร่วมในการวางข้อตกลงและกฎระเบียบในบ้าน พ่อแม่ควรรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง พูดคุยกันด้วยเหตุผลจนกระทั่งได้ข้อสรุปตรงกลาง หากทำจนเป็นกิจวัตรประจำวัน ลูกก็จะสามารถนำไปใช้ในสังคม และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีหัวใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
แท้จริงแล้ว การเลี้ยงลูกด้วยธรรมะ จึงไม่ใช่เพียงการท่องบทคำสอนของศาสนา แต่หมายถึงความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเราเลี้ยงลูกไปเพื่ออะไร แล้วนำคำสอนของศาสนาที่ตัวเองนับถือหรือตามหลักทฤษฎีการเลี้ยงลูกต่างๆ มาประยุกต์ใช้อย่างไม่สุดโต่งตามหลักทางสายกลาง มีสติในการให้ความรักอย่างพอดี และใช้ปัญญาอบรมสั่งสอนอย่างเหมาะสม ไม่ต้องเลี้ยงลูกอวดใคร ไม่ต้องเลี้ยงให้สมบูรณ์แบบขาดตกบกพร่องไม่ได้หรือขาดจนลูกโหยหา เท่านี้ลูกจะจะมีภูมิคุ้มกันทางกายและใจที่แข็งแกร่ง อยู่รอดปลอดภัยในสังคมโลกที่นับวันจะซับซ้อนยุ่งเหยิงมากขึ้นได้
อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก!
อ่านต่อ >> “ห้ามพลาด!! สถานที่ทางธรรมที่ควรชวนลูกไปเที่ยว” คลิกหน้า 3
ชวนลูกเที่ยวไปในทางธรรม
หลายครอบครัวอยากให้ลูกปฏิบัติธรรมเพื่อฝึกฝนจิตใจตั้งแต่ยังเด็ก แต่ธรรมชาติของเด็กชอบเล่นซุกซน บางสถานที่จึงไม่แนะนำให้พาเด็กมาปฏิบัติธรรมด้วย เราจึงเสาะหาสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เหมาะสำหรับเด็กมาแนะนำ เพื่อให้เขาได้เที่ยวและได้ปฏิบัติธรรมไปพร้อม ๆ กัน
เริ่มอ่านให้สนุกที่ “บ้านหนังสือ ชินเขต 1”
ห้องสมุดธรรมะย่านแจ้งวัฒนะ “บ้านหนังสือ ชินเขต 1” ก่อตั้งโดยนายแพทย์วุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช ผู้ก่อตั้งวุฒิศักดิ์คลินิก ไม่เพียงมีหนังสือธรรมะสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น ยังมีหนังสือธรรมะที่ถ่ายทอดเรื่องราวของพุทธศาสนาในรูปแบบของหนังสือการ์ตูนและนิทาน เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นสนใจศึกษาธรรมะหรืออยากหาความรู้เกี่ยวกับพุทธประวัติ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการปฏิบัติธรรมต่อไป
บ้านหนังสือ ชินเขต 1 ตั้งอยู่ที่ 112/9 ซอยชินเขต 1/1 ถนนงามวงศ์วาน แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ
FB : baannungsuea
Tel : 0-2589-8410
◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊
เริ่มได้ทุกช่วงวัยที่ “เสถียรธรรมสถาน”
เสถียรธรรมสถาน ก่อตั้งโดยคุณแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เปิดต้อนรับผู้ที่มีใจใฝ่ธรรมทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ เด็กน้อย เด็กโต กระทั่งเบบี๋ในครรภ์! ข้อดีของที่นี่คือมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก เมื่อเด็กได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สงบและเห็นผู้ใหญ่นั่งสมาธิเป็นตัวอย่าง เขาจะเกิดความสนใจและอยากทำตามได้ไม่ยาก นับเป็นการปลูกฝังให้เด็กมีจิตใจที่สงบอย่างแนบเนียน กิจกรรมที่ไม่เหมือนใครของที่แห่งนี้คือ “จิตประภัสสรตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์” เพื่อให้แม่ท้องและลูกน้อยได้ฝึกจิตเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่ในครรภ์ ด้วยแนวคิดว่าจิตที่สงบของพ่อแม่จะส่งผ่านไปถึงลูกน้อยได้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม “ห้องเรียนพ่อแม่” ซึ่งจะเชิญกุมารแพทย์ จิตแพทย์ หรือวิทยากรชื่อดัง หมุนเวียนมาแนะนำวิธีเลี้ยงลูกให้พ่อแม่ได้ฟังอยู่เสมอ ที่นี่จึงเหมาะทั้งสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่และลูกน้อยทุกช่วงวัยทีเดียว
เสถียรธรรมสถาน ตั้งอยู่ที่ 23 ถนนวัชรพล รามอินทรา55 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ
Website : www.sdsweb.org
Tel : 0-2519-1119, 0-2510-6697, 09-1831-2294
◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊
เที่ยวกลางเขาที่ “บ้านภูตะวัน”
หากมองจากภายนอก “บ้านภูตะวัน” ก็เหมือนรีสอร์ตบรรยากาศร่มรื่นทั่วไป แต่แท้ที่จริงแล้วที่นี่จัดกิจกรรมปฏิบัติธรรมกันทุกเดือน โดยกิจกรรมเด่นของที่นี่ คือ กิจกรรม “พระในบ้าน” เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ซึ่งเป็นพระของบ้าน ที่นี่อาจไม่เหมาะสำหรับวัยเบบี๋ แต่สำหรับเด็ก ๆ ที่อายุตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป ทางบ้านภูตะวันมีเจ้าหน้าที่และคุณแม่ชีช่วยฝึกสอนการปฏิบัติธรรมฉบับเจ้าตัวน้อย ที่ทำตามง่าย สนุก และไม่ขัดธรรมชาติเด็กเตรียมไว้ให้พร้อม รับรองว่าลูก ๆ จะได้ฝึกปฏิบัติธรรมสมวัย โดยคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะงอแงด้วยความเบื่อหน่ายเลยค่ะ
บ้านภูตะวัน ตั้งอยู่ที่ 163 หมู่ 10 อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
Website : www.baanphutawan.com
Tel : 08-6253-9292
◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊
อยู่สุขสงบที่ “หมู่บ้านพลัม”
หมู่บ้านพลัมก่อตั้งโดยหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ผู้เป็นทั้งพระมหาเถระ พระอาจารย์เซน นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสันติภาพ ซึ่งมีความเชื่อว่าพุทธศาสนาต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน กิจกรรมปฏิบัติธรรมของเด็ก ๆ ที่นี่จึงไม่ใช่เพียงการนั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือสวดมนต์แบบที่พระทั่วไปสอน แต่เป็นการนำเด็ก ๆ ทำกิจกรรมสนุก ๆ ปลูกผัก เดินเล่นหรือทำกิจกรรมกับธรรมชาติอย่างหลากหลาย เพื่อให้จิตใจเกิดความสุขและความสงบ หมู่บ้านพลัมจึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมร่วมกันทั้งครอบครัว
สถานปฏิบัติธรรมนานาชาติหมู่บ้านพลัม ตั้งอยู่ที่ หมู่ 7 บ้านสระน้ำใส ต. โป่งตาลอง อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา
Website : www.thaiplumvillage.org
Tel : 08-5128-8044
◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊
ให้ธรรมนำชีวิตที่ “โรงเรียนแห่งชีวิต”
โรงเรียนแห่งชีวิต ก่อตั้งโดยคุณอัจฉราวดี วงศ์สกล หรืออาจารย์อ้อย อดีตนักธุรกิจเครื่องประดับชื่อดัง ที่ลาวงการเพื่อหันมาศึกษาธรรมะและเดินหน้าถ่ายทอดหลักพุทธศาสนาจากพระไตรปิฏกในการดำเนินชีวิตแก่เยาวชนอายุตั้งแต่ 8 ปีขึ้นไป เด็ก ๆ จะไม่เพียงได้ศึกษาธรรมะ แต่จะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ สัจธรรมของชีวิต การควบคุมอารมณ์ การรู้จักตัวเอง ฝึกความอดทน ฝึกสติรู้คิดอยู่ตลอดเวลา ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ล้วนเป็นหลักสำคัญในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน จึงเป็นโรงเรียนที่เหมาะสำหรับลูกโตที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เพื่อให้เขาผ่านช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อได้อย่างมีสติและมั่นคง
โรงเรียนแห่งชีวิต ตั้งอยู่ที่ ซอยสุขุมวิท 67 (ใกล้โครงการบ้านแสนสิริ)
Website : www.schooloflifethailand.org
Tel : 02-634-7461 ถึง 3
บทความโดย กองบรรณาธิการนิตยสาร Amarin Baby & Kids