การเลี้ยงลูกของเจ้าหญิงเคท …การเป็นแม่ของลูกสักหนึ่งคนอาจดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ยังไม่เคยมีลูก หรือไม่คิดจะมีลูก แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณถูกเรียกว่าแม่นั้น อาจหมายถึงการสละเวลา 27,250 ชั่วโมงในชีวิตไปกับการเตรียมอาหาร ทำงานบ้าน และดูแลทุกข์สุขของสมาชิกในครอบครัว
จากนั้นก็สละเวลาอีก 2,442 ชั่วโมงในชีวิตของแม่ ไปกับการซักล้างทำความสะอาดให้กับลูก ๆ และสละเวลา 1,135 วันในชีวิตไปกับการเลี้ยงดูลูกน้อยให้เติบใหญ่มากพอที่ลูกจะจัดการกิจวัตรประจำวันในชีวิตตัวเองได้ แต่นี้ยังไม่นับรวมถึงการเลี้ยงดูให้เขาเติบใหญ่พอสำหรับจัดการเรื่องยากๆ ในชีวิต
จากข้อมูลเบื้องต้นเป็นการสำรวจพฤติกรรมของคนเป็นแม่ โดยบริการช้อปปิ้งสินค้าออนไลน์ Milk&more ซึ่งระบุว่า ทุกคนทราบดีว่า แม่เปรียบเสมือนแกนหลักของสถาบันครอบครัว แต่การสำรวจชิ้นนี้ได้เจาะลึกให้เห็นว่า แม่สละเวลาในชีวิตของแม่ให้กับครอบครัวมากแค่ไหน เพื่อให้ครอบครัวของแม่ได้อยู่อย่างมีความสุข มีระเบียบเรียบร้อย และอบอุ่น โดยแบบสอบถามนี้เผยให้เห็นว่า ตลอดชีวิตของแม่มีหน้าที่ต่าง ๆ ที่มาดึงเวลาส่วนตัวของแม่ไปมากมาย
และจากภาระหน้าที่ที่คนเป็นแม่ต้องเจอนี้ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่มีคุณแม่ราว 75 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า อยากให้เวลาใน 1 วันมีมากกว่านี้สัก 2 – 3 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้มีเวลาดูแลสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อยกว่าที่เป็นอยู่
การเลี้ยงลูกของเจ้าหญิงเคท กับความเปลี่ยนแปลงหลังจากเป็นคุณแม่
ด้วยเหตุนี้เอง เพราะการเป็นแม่นั้นต้องเสียสละมากกว่าที่คิด เพื่อให้การเลี้ยงลูกเป็นไปอย่างดีที่สุด เจ้าหญิงเคทจึงได้ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ไว้แต่แรกแล้วว่า ทรงต้องการเห็น เจ้าชายจอร์จ พระโอรส ทรงเติบโตขึ้นมาท่ามกลางสภาพแวดล้อม เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปเท่าที่สามารถจะทำได้ ดังนั้น เจ้าหญิงเคทและเจ้าชายวิลเลี่ยมแห่งอังกฤษ จึงตกลงพระทัยร่วมกันที่จะทำให้พระตำหนักที่ประทับ เป็น เขตปลอดแม่นม เพื่อจะทรงเลี้ยงพระโอรสด้วยพระองค์เองตามประสาพ่อแม่ลูก เหมือนครอบครัวทั่วไป
โดยเจ้าหญิงเคท เผยว่า ไม่ต้องการให้ เจ้าชายจอร์จทรงคุ้นตา คุ้นเคยกับการได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น มากกว่าจากพ่อแม่ของพระองค์ “เจ้าชายจอร์จได้ให้ความหมายใหม่แก่ชีวิตเจ้าหญิงเคท” …แหล่งข่าวในครอบครัวมิดเดิลตัน บอกกับนิตยสารดังของสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังบอกว่าวิธีเลี้ยงพระโอรสของดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ แบบนี้ น่าจะเป็นวิธีที่สร้างความตกตะลึงแก่ควีนวิกตอเรีย พระราชินี ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในสมัยศตวรรษที่ 19 ที่ทรงมีโอกาสเห็นพระโอรส พระธิดาของพระองค์ ก็เมื่อทรงลงไปกำกับ ดูแล พี่เลี้ยงเมื่อถวายการอาบน้ำแก่พระโอรส พระธิดาเท่านั้น
หรือแม้แต่ เจ้าหญิงไดอาน่า พระมารดาเจ้าชายวิลเลี่ยม ซึ่งเคยตั้งพระทัยพยายามจะเลี้ยงดูเจ้าชายวิลเลี่ยม และเจ้าชายแฮร์รี่ อย่างใกล้ชิดที่สุด แต่แล้ว เจ้าหญิงไดอาน่าก็ยังเคยทรงพลาดโอกาส ไม่ได้อยู่ฉลองวันคล้ายวันประสูติขวบปีแรกของเจ้าชายวิลเลี่ยม เนื่องจากทรงมีพระกรณียกิจต้องตามเสด็จเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ พระสวามีเสด็จเยือนประเทศแคนาดา กระทั่งพลาดโอกาสสำคัญนั้น ทั้งนี้เพื่อให้ได้อยู่ทำหน้าที่พระมารดา และใกล้ชิดพระโอรสมากที่สุด ดัชเชส ออฟ เคมบริดจ์ จึงมีกฎของพระองค์ระหว่างนี้ว่า พระองค์จะไม่เสด็จทรงพระกรณียกิจ ที่มีระยะทางไกลกว่ากรุงลอนดอน และจะไม่ทรงค้างคืนที่ไหน
อ่านต่อ >> “การเลี้ยงลูกของเจ้าหญิงเคท กับความเปลี่ยนแปลงหลังจากเป็นคุณแม่” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ทั้งนี้ แหล่งข่าววงในยังบอกด้วยว่า ทั้งเจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าหญิงเคททรงเห็นความสำคัญของการเลี้ยงพระโอรสด้วยพระองค์เอง
“ทั้งสองพระองค์ทรงดูพระสหายของพระองค์ที่ทำงานไปด้วย และเลี้ยงลูกเองด้วย และทั้งสองพระองค์ก็ไม่เห็นว่า ทำไมพระองค์จะต้องทำอะไรที่แตกต่างจากพระสหายเหล่านั้น เป้าหมายของพระองค์ก็คือ ให้เจ้าชายจอร์จอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปกติ ธรรมดามากที่สุด”
และเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2017 ที่ผ่านมานี้ เจ้าหญิงเคท ได้มาเผยประสบการณ์การที่ได้เป็นคุณแม่ผ่านสารคดี Out of the Blue ซึ่งเกี่ยวข้องกับโปรเจ็กต์การดูแลสุขภาพจิตของพ่อแม่ โดยเจ้าหญิงได้เล่าถึงประสบการณ์แสนล้ำค่าในการมีลูก ที่ทำให้รู้ว่าพระองค์ก็เหมือนกับคุณแม่ทุกคน
“ส่วนตัวแล้ว การเป็นแม่เหมือนกับรางวัลและประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ มันเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่สำหรับเราเองที่ต้องคอบสนับสนุนครอบครัว”
“ไม่มีอะไรที่คุณสามารถเตรียมตัวสำหรับประสบการณ์ของการเป็นแม่ เพราะจะได้เจอกับหลากหลายอารมณ์ด้วยกัน ไม่ว่าจะ สนุกสนาน เหนื่อยล้า ความรัก ความกังวล ทุกอย่างมันรวมกันหมด และนั่นจะทำให้ความเป็นตัวคุณเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน”
นอกจากนี้เจ้าหญิงเคท ยังกล่าวอีกว่า การเป็นแม่ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น หรือแม้แต่ถูกผิด
“คุณเพียงแค่ต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อดูแลครอบครัวของคุณ สำหรับคุณแม่หลายท่าน ในช่วงเวลาเหล่านั้นอาจะทำให้ขาดความมั่นใจและรู้สึกต่อต้านที่ประสบการณ์นี้กลายเป็นเรื่องยากและเป็นการท้าทายกับสุขภาพจิตของคุณ”
“การเป็นแม่มีหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องดูแลครอบครัว บทบาทของพวกเขาคือการมอบความรัก การเอาใจใส่ และการสนับสนุนคนที่บ้านอย่างไม่มีเงื่อนไข”
จาก ความในใจที่เจ้าหญิงเคท ได้กล่าวมา ทำให้รู้เลยว่าบทบาทของความเป็น “แม่” ที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการเป็นแม่ที่ดีนั้นไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูลูกด้วยการให้นมป้อนข้าวป้อนน้ำให้ลูกเติบโตทางด้านร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการดูแลให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีคุณภาพครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาและจิตใจด้วย ซึ่งลูกจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นก็ต้องมาจากการเลี้ยงดูจากแม่ที่ดีนั่นเอง
อ่านต่อ >> “แม่ที่ดีควรเป็นอย่างไร” คลิกหน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
1. พร้อมเป็น “แม่”
ความพร้อมของแม่ เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่แค่การพร้อมที่จะคลอดลูกแล้วได้ชื่อว่าเป็น แม่ แต่คนเป็นแม่ ต้องมีความพร้อมในการเลี้ยงลูกด้วย เพราะปัญหาของสังคมในปัจจุบันที่เกิดขึ้น มักมีจุดเริ่มต้นมาจากคนที่ไม่พร้อมจะเป็นแม่ แต่มีลูกขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจที่จะมี ซึ่งเมื่อให้กำเนิดลูกออกมาก็ไม่ได้เลี้ยงดูและอบรมเอาใจใส่เท่าที่ควร จึงทำให้ลูกเป็นเด็กที่ขาดความรักความอบอุ่น และมักจะมีพฤติกรรมที่สร้างปัญหาให้สังคม
ดังนั้น การเป็นแม่ที่ดี ต้องเริ่มต้นที่การมีความพร้อมในการที่จะเป็นแม่ก่อนสิ่งอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นการมีวุฒิภาวะและวัยที่พร้อมต่อการมีลูก มีการวางแผนครอบครัวที่ดี มีรายได้ และหลักฐานที่มั่นคงเพียงพอที่จะเลี้ยงดูลูกให้ได้กินอิ่ม นอนหลับ ปลอดภัย แข็งแรง และได้รับการศึกษาที่ดีได้
2. ให้เวลากับลูก
เวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม่ไม่สามารถครอบครองชีวิตหรืออยู่กับลูกได้ตลอดชีวิต และไม่ว่าลูกจะอยู่ในวัยใดก็ตาม ต่างก็อยากให้แม่มีเวลาให้อยู่เสมอ ยิ่งตอนที่ลูกยังเล็ก ผู้เป็นแม่ก็ต้องให้เวลากับลูกมากที่สุด ทั้งในการอุ้ม การกอด การพูดคุย ทำกิจกรรมต่างเพื่อสร้างความสัมพันธ์ และเมื่อลูกโตขึ้นซึ่งอยู่ในวัยที่แสวงหาตัวตน แม่ก็ควรจะปรับตัวให้เป็นเหมือนแหล่งพักพิงใจให้กับลูกได้ตลอดเวลา โดยให้เวลาในการพูดคุยเป็นที่ปรึกษาให้กับลูก ๆ อยู่เสมอด้วยความเข้าใจ และอยู่เคียงข้างลูกเสมอ ไม่ว่ายามที่ลูกสุขหรือทุกข์ก็ตาม
3. มอบความรักและให้อภัยลูก
แม่สามารถแสดงความรักกับลูกได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการอุ้ม โอบกอด หอม ลูบหัว การพูดจาอ่อนโยนและให้กำลังใจเพราะการแสดงความรักให้กับลูกอยู่เสมอนั้น จะทำให้ลูกเป็นคนที่มีความสุข เชื่อมั่นในตนเอง และมีพัฒนาการทางสติปัญญาที่ดีมากกว่าเด็กที่ขาดความรักความอบอุ่นจากแม่
นอกจากนี้ เมื่อลูกทำผิด แม่ที่ดีควรเข้าใจ รับฟัง และให้อภัยลูกอยู่เสมอ แต่ก็ควรตักเตือน สั่งสอน หรืออาจลงโทษว่ากล่าวตามสมควร ซึ่งไม่ควรใช้วิธีลงโทษที่รุนแรง หรือด่าว่าด้วยคำที่หยาบคายกับลูก เพราะนั่นจะเป็นการสร้างบาดแผลในใจให้ลูกคิดไปว่าแม่เกลียดตนเอง ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุให้ลูกกลายเป็นคนก้าวร้าวดุดันทำในเรื่องร้าย ๆ มากยิ่งขึ้นได้
4. ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก
จากคำกล่าวที่ว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” เพราะลูกจะซึมซับพฤติกรรมของแม่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้ว เมื่อแม่เลี้ยงลูกอยู่ใกล้กับลูก ก็ควรเป็นตัวอย่าง ทำในเรื่องดีๆ ให้ลูกเห็น เพราะถ้าแม่เป็นอย่างไรลูกก็มักจะเป็นเช่นนั้นนั่นเอง ซึ่งถ้าตัวแม่เองยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกไม่ได้ก็อย่าหวังว่าลูกจะเป็นคนที่ดีได้เลย
ทั้งนี้สำหรับผู้หญิงที่คิดจะเป็นแม่คนแล้วนั้น ก็ควรเริ่มจากการเช็กตัวเองดูก่อนเป็นอันดับแรกว่าใจพร้อม กายพร้อม และมีความรับผิดชอบที่พร้อมจะดูแลชีวิตน้อย ๆ ที่จะเกิดมาให้ได้เป็นอย่างดีหรือไม่ และหากมั่นใจว่าพร้อมแล้ว เมื่อได้เป็นแม่คนก็ควรจะเป็นแม่ที่ดูแล เลี้ยงลูกอย่างทะนุถนอม เอาใจใส่ และมีเวลาให้กับลูกอย่างเต็มที่ ที่สำคัญควรมีความรักและให้อภัยกับลูกเสมอนะคะ เพื่อที่คุณจะได้ภูมิใจในตัวเอง และลูกก็จะภูมิใจในตัวคุณแม่ด้วย
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!
- วิธีการเลี้ยงลูกอย่างชาญฉลาด ของ ‘เจ้าชายวิลเลียม’ ดยุกแห่งเคมบริดจ์ (อังกฤษ)
- คำสอนดี ๆ ในการเลี้ยงดูลูกแบบคนจีน
- 13 คาถาการเลี้ยงลูกที่ดี ที่พ่อแม่ควรรู้!
ขอบคุณข้อมูลจาก : usmagazine.com , gossipstar.mthai.com , www.prachachat.net , www.thaihealth.or.th , www.manager.co.th