เมื่อโลกต้องการความเข้าใจ เห็นใจซึ่งกันและกัน โรงเรียนในประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสุขเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เพราะจัดให้มีการเรียนการสอนวิชา ความเห็นใจผู้อื่น ในชั้นเรียน
เดนมาร์กสอนวิชา “ความเห็นใจผู้อื่น” ในชั้นเรียน
Empathy มีความหมายว่า “ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ความสามารถในการมองจากมุมของผู้อื่น”
ทำไมชาวเดนมาร์ก ซึ่งเป็นประเทศที่องค์การสหประชาชาติ ได้จัดอันดับให้เป็นประเทศที่ประชาชนมีความสุขที่สุด?.…นั่นเป็นเพราะโรงเรียนในประเทศเดนมาร์ก ได้บรรจุวิชาที่สอนเรื่อง “Empathy” หรือวิชาที่สอน “ความเห็นใจผู้อื่น” ให้กับเด็กอายุตั้งแต่ 6-16 ปีนั่นเอง
คลาสนี้มีชื่อเรียกว่า Klassens tid เด็ก ๆ จะได้แบ่งปันปัญหาที่พวกเขาเจอ ทั้งจากในโรงเรียนหรือในชีวิตประจำวัน ให้กับเพื่อนร่วมชั้น รวมทั้งคุณครู ได้ฟัง เมื่อได้รับฟังแล้วทั้งหมดก็จะช่วยกันหาหนทางในการแก้ปัญหา ซึ่งในการที่จะแก้ปัญหาได้ ก็ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการฟังและการทำความเข้าใจอย่างมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนมีความเอาใจใส่ต่อผู้อื่นมากขึ้น การที่เด็กรู้จักเอาใจใส่และเข้าใจผู้อื่นทำให้พวกเขามีการโฟกัสและมุ่งเน้นที่เป้าหมายมากขึ้น โดยนักเรียนที่เข้าใจเรื่องนี้จะช่วยพวกเขาในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีขึ้น ซึ่งจะนำไปความสำเร็จในชีวิตในภายหลัง นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันเรื่องความรุนแรงอย่างการกลั่นแกล้ง (Bullying) ในโรงเรียนอีกด้วย โดยคลาสนี้จะเป็นคลาสเล็ก ๆ ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น
นอกจากนี้ การเรียนในเดนมาร์ก จะเน้นการทำงานกันเป็นทีม เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกันและทำงานร่วมกัน แทนที่จะเป็นการแข่งกันเพื่อเอาชนะกัน โดยโรงเรียนจะจัดให้มีการแข่งกันตามที่จำเป็นเท่านั้น แต่นั่นก็เพื่อที่จะกระตุ้นให้นักเรียนแข่งกับตัวเอง เพื่อจะได้ตั้งใจและพัฒนาทักษะของตนเองให้ดียิ่งขึ้นไป
ทำไมทักษะนี้ถึงมีความจำเป็นต่อเด็กจนทำให้ประเทศเดนมาร์ก ถึงกับบรรจุวิชานี้ลงในหลักสูตรการเรียนการสอน? นั่นเป็นเพราะทักษะนี้มีความจำเป็นต่อสังคม เมื่อเด็ก ๆ โตขึ้น หากใช้ทักษะนี้ในการทำงาน ในฐานะผู้ขายที่เข้าใจลูกค้า หัวหน้าที่ลูกน้องนับถือ หรือแม้แต่การใช้ทักษะนี้กับคู่ครอง คนรอบข้าง ความเห็นใจผู้อื่น ก็จะช่วยหลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง และการไม่เข้าใจกันได้
แม้ว่าประเทศไทย จะยังไม่มีการบรรจุหลักสูตรนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสอนให้ลูกรู้จัก ความเห็นใจผู้อื่น อ่านต่อ 7 ขั้นตอนการสอนลูกให้เอาใจเขามาใส่ใจเราได้ที่หน้า 2 ค่ะ
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ 7 ขั้นตอนการสอนให้ลูกรู้จักเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
7 ขั้นตอนการสอนให้ลูกรู้จักเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
เด็กที่มีทักษะของ ความเห็นใจผู้อื่น จะสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้ง และปัญหาสังคมที่ยาก ๆ ได้ดีกว่าคนอื่น สามารถปรับตัวได้ง่ายและแก้ไขปัญหาที่เข้ามาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะแกล้งหรือ bullying คนอื่นน้อยลง มีข้อดีเยอะขนาดนี้แล้ว มาสอนลูก ๆ ให้รู้จักเข้าใจและเห็นใจผู้อื่นตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ กันดีกว่าค่ะ
1. ทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น
เด็กจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อมีตัวอย่างให้ลูกเห็นภาพ การแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่มีความเข้าใจ เห็นใจผู้อื่น ลูกก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้นไปด้วย โดยการทำเป็นตัวอย่าง ไม่จำเป็นต้องแสดงกับใครที่ไหน คุณพ่อคุณแม่เพียงแค่แสดง Empathy เหล่านี้กับลูก เช่น เมื่อลูกอาละวาด แทนที่จะดุให้หยุดร้อง หรือตีให้เงียบ ลองนั่งอยู่ข้าง ๆ ลูก หรือกอดลูก เมื่อลูกเย็นลง ให้ถามถึงเหตุผลที่ลูกไม่พอใจ และลองจินตนาการว่าในตอนที่คุณพ่อคุณแม่เป็นเด็กที่อายุเท่าลูก เราจะมีความคิดแบบนี้หรือไม่ จากนั้นให้แสดงความเข้าอกเข้าใจ และร่วมแก้ไขปัญหาของลูกร่วมกัน เป็นต้น เมื่อลูกเห็นว่าพ่อแม่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ยาก ๆ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาจะคุ้นชิน ซึมซับการกระทำเหล่านั้นของพ่อแม่ และเรียนรู้ที่จะทำตาม
2. อย่าละเลยความรู้สึกของลูก
เด็กมีแนวโน้มที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเมื่อคนที่บ้านไม่ละเลยความรู้สึกของพวกเขา จริงอยู่ที่การเลี้ยงลูกนั้นเหนื่อย และอารมณ์ของเด็ก ๆ มีขึ้นมีลง แต่อย่าปล่อยให้ลูกรู้สึกว่าเขาโดนทอดทิ้ง ลูกต้องรู้สึกว่ามีคนรับฟังและช่วยเหลือเขาเมื่อหลาย ๆ อย่างมันดูยากเกินไปที่เขาจะจัดการด้วยตัวเอง เมื่อลูกรู้สึกปลอดภัยขณะอยู่กับพ่อแม่ พวกเขามีแนวโน้มที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น
3. ฝึกลูกแยกแยะอารมณ์ให้เป็น
ช่วยลูกเข้าใจอารมณ์ของพวกเขา ทั้งทางบวกและทางลบ เพื่อที่ลูกจะได้เชื่อมโยงความรู้สึกของพวกเขาเข้ากับคำพูดได้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นถ้ายังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกได้ทั้งตอนอ่านหนังสือ ดูหนัง หรือนำเหตุการณ์รอบตัวมาพูดคุย ให้ลูกสังเกตสีหน้าและท่าทาง และฝึกแยกแยะความรู้สึกดู
4. มอบหมายหน้าที่ให้ลูก
เด็กที่มีหน้าที่ มีงานที่ต้องรับผิดชอบ มีแนวโน้มที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น ให้ลูกได้ทำงานบ้าน เช่น คอยดูแลสัตว์เลี้ยง มีส่วนร่วมกับการทำงานของครอบครัว เป็นต้น เมื่อพ่อแม่สอนลูกเรื่องความรับผิดชอบ ลูกจะเรียนรู้ที่จะนึกถึงผู้อื่น
5. อย่าแก้ปัญหาให้ลูกทุกเรื่อง
เพราะเมื่อพ่อแม่ทำอย่างนั้น เรากำลังขโมยโอกาสให้ลูกฝึกทักษะชีวิตที่สำคัญอย่างใหญ่หลวง สอนให้ลูก หยุด-คิด-ทำ
- หยุด: เพื่อประเมินสถานการณ์และไตร่ตรองว่าปัญหาคืออะไร
- คิด: ว่ามีทางเลือกหรือทางออกอะไรบ้าง เช่น ถ้าหนูแบ่งของเล่นให้เพื่อน จะทำให้เพื่อนรู้สึกดีขึ้นไหม
- ทำ: เลือกทางเลือกที่ดีที่สุดและลงมือทำ เมื่อเด็กเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาเอง พวกเขามีแนวโน้มที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเพื่อนหรือพี่น้องเมื่อพวกเขาต้องการ
6. สอนให้ลูกรู้ว่าเรามีอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างกับคนอื่นบ้าง
พาลูกออกไปข้างนอก พบปะผู้คน ให้เขาได้เห็นว่าคนเรามาจากพื้นฐานที่ต่างกัน ชีวิตของคนที่อยู่ประเทศอื่น ๆ ก็ไม่เหมือนกับเรา ให้ลูกได้เรียนรู้ว่าทุกคนมีทั้งสิ่งที่เหมือนและแตกต่างกัน
7. สอนให้ลูกอยากช่วยเหลือผู้อื่นจากใจ
โดยไม่คำนึงถึงรางวัลหรือกลัวการทำโทษ แต่ให้ทำจากใจที่อยากทำจริง ๆ เพราะเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร ใช้วิธีพูดคุยกับลูก อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงผลลัพธ์ของการกระทำ อย่าใช้แต่การทำโทษ หรือการขู่ที่จะทำให้ลูกหวาดกลัว อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าการกระทำของเขาทำให้เกิดผลอะไรขึ้นกับคนอื่นบ้าง
การสอนสิ่งเหล่านี้ แม้จะไม่มีคะแนนเป็นตัวชี้วัดว่าลูกจะเก่งแค่ไหน แต่ผลจากการสอน ความเห็นใจผู้อื่น จะแสดงให้เห็นได้ชัดเมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกจะสามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างมีความสุข และยังมีความสุขจากการได้เข้าใจและช่วยเหลือผู้อื่นอีกด้วย
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
5 นิทานคุณธรรม ปลูกฝังให้ลูกทำดีได้ตั้งแต่เล็ก!
6 วิธีเข้าใจและสอนลูก เมื่อลูกพูดโกหก!
5 ขั้นตอนการดุลูก สอนลูกอย่างไร ไม่ทำให้ลูกพัฒนาการถดถอย
Self Esteem การเห็นคุณค่าในตนเอง สิ่งสำคัญที่ต้องสร้างให้ลูก
ขอบคุณข้อมูลจาก : techsauce.co, insthinklearning.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่