AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

โรคหัด ติดต่อง่าย เด็กป่วยแล้วกว่า 860 ราย! แนะวิธีป้องกัน

กรมควบคุมโรคเผย เด็กเล็กป่วย โรคหัด กว่า 860 ราย ชี้ติดต่อได้ง่ายผ่านไอ จาม พูดระยะใกล้ชิด เตือนขาดวิตามินเอส่งผลอาการรุนแรงมาก พ่วงมีปอดอักเสบอาจถึงขั้นตายได้ แนะวิธีป้องกัน

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559 นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ทั้งนี้ จากข้อมูลเฝ้าระวังโรค สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 23 พฤศจิกายน 2559 พบผู้ป่วยโรคหัด 1,548 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต โดยพบผู้ป่วยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี 869 ราย คิดเป็นร้อยละ 56.1 ของผู้ป่วยทั้งหมด

ส่วนจังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 อันดับแรกคือ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี ภูเก็ต และ กรุงเทพมหานคร ภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ภาคใต้

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันอัตราการเกิดโรคนี้จะไม่สูงมาก แต่ปัจจุบันยังคงพบการระบาดโรคหัดเป็นระยะ ซึ่งไม่ควรมองข้าม เพราะสามารถเป็นได้ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ ถ้าลูกน้อย หรือคุณพ่อ คุณแม่ ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนก็อาจจะทำให้มีความเสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย คุณพ่อ คุณแม่ควรระวัง

โรคหัดคืออะไร?

โรคหัด เป็นไข้ออกผื่น เกิดจากเชื้อไวรัส Measles โดยติดต่อที่ระบบทางเดินหายใจ คือจมูก และลำคอ เมื่อเชื้อเข้าไปจะแบ่งตัวในทางเดินหายใจ ใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน จึงเริ่มมีอาการแสดงให้เห็น โดยเริ่มจากมีไข้ต่ำๆ แล้วสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยจะสูงถึง 41-42 องศาเซลเซียส ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ตาแดง

ผู้ป่วยโรคหัดอาจมีโรคแทรกซ้อน ได้แก่ ปอดอักเสบ อุจจาระร่วง ช่องหูอักเสบ สมองอักเสบและภาวะทุพโภชนาการ โดยเฉพาะในเด็กที่มีภาวะขาดสารอาหาร หรือขาดวิตามินเอ เมื่อเป็นหัดจะมีความรุนแรงมาก และถ้ามีปอดอักเสบร่วมด้วย อาจทำให้เสียชีวิตได้

ผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วมักไม่เป็นซ้ำอีก ยกเว้นเป็นเมื่ออายุน้อยกว่า 1 ปี เพราะร่างกายยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

โรคหัด โรคที่พ่อแม่ลูกต้องกลัว

ในประเทศไทยมีระบบสาธารณสุขอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เราอาจจะคุ้นเคยแต่โรคไข้ออกผื่นชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ร้ายแรง แต่ไม่คุ้นเคยกับโรคหัด แต่ไม่คุ้นเคยกับโรคหัด ทำให้ไม่ทราบถึงความน่ากลัวของโรคนี้ โดยหัดเป็นโรคที่สามารถก่อให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ มีตั้งแต่อาการที่ไม่รุนแรง เช่น อาการท้องเสีย หูชั้นกลางอักเสบ ไปจนถึงอาการแทรกซ้อนรุนแรง ได้แก่ ปอดอักเสบ อาการชักที่สามารถเกิดได้ทั้งแบบมีไข้และไม่มีไข้ ไข้สมองอักเสบและเสียชีวิต

การเสียชีวิตจากโรคหัด ส่วนมากเกิดจากปอดอักเสบและอาการทางสมอง โดยมักพบในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ หรือผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 20 ปี มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 2 คนต่อผู้ติดเชื้อ 1,000 คน

อ่านต่อ “โรคหัดติดต่อกันได้อย่างไร? รักษาอย่างไร?” คลิกหน้า 2

โรคหัดติดต่อกันได้อย่างไร?

การติดต่อเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งจากการไอจามของผู้ป่วยตามพื้น หรือผิวหนัง จากนั้นไปโดนเยื่อบุ เช่น การแคะจมูก หรือขยี้ตา ติดต่อทางการหายใจ บางครั้งพบว่าผู้ป่วยจะออกจากห้องนั้นไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสติดเชื้อนี้ได้อยู่

โรคหัดเป็นโรคติดเชื้อที่ติดต่อได้ง่ายมาก คนที่อยู่บ้านเดียวกัน อัตราการติดต่อสูงถึง 90% ยิ่งกว่าไข้หวัดใหญ่ สามารถเกิดขึ้นได้ก่อนที่จะปรากฏผื่นขึ้นตามตัว เราจะหลีกเลี่ยงการติดเชื้อหัดโดยไม่ฉีดวัคซีนป้องกันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

วิธีการรักษาโรคหัด

การติดเชื้อไวรัสโรคหัดไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง และไม่ใช้ยาต้านไวรัสสำหรับโรคหัดในปัจจุบัน การดูแลผู้ป่วยขณะมีไข้สูง

1.ให้ทำการเช็ดตัว และดื่มน้ำมากๆ ให้ยาลดไข้ชนิดพาราเซตามอล สามารถซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง

(บทความน่าสนใจ ยาน้ำลดไข้ ของเด็ก แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร พ่อแม่ควรรู้!)

2.หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน สำหรับโรคหัด ยาลดไข้อาจไม่ช่วยบรรเทาอาการไข้ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของโรค ไม่ควรกินยาถี่กว่าที่แนะนำ

3.ถ้าผู้ป่วยไอมาก ให้จิบน้ำอุ่น หรือน้ำผึ้งผสมมะนาว หากเด็กเบื่ออาหาร แนะนำให้ดื่มนม น้ำหวาน น้ำผลไม้ ระหว่างที่มีไข้ เด็กจะอยู่ในสภาพสูญเสียสารน้ำในร่างกาย

4.พักผ่อนมากๆ จะช่วยให้หายเร็วขึ้น ส่วนใหญ่เด็กสามารถกลับไปโรงเรียนได้ภายใน 7-10 วัน

5.หลังจากไข้และผื่นหาย ระหว่างที่ไม่สบาย ไม่ควรคลุกคลีกับเด็กอื่นที่มีโอกาสติดโรค

อ่านต่อ “การป้องกันโรคหัด” คลิกหน้า 3

การป้องกันโรคหัด

1.การฉีดวัคซีน

โรคหัดเป็นโรคที่ป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน มีการรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งในบางแห่งที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของโรค ปัจจุบันกำหนดให้วัคซีนป้องกันโรคหัดแก่เด็กรวม 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9 – 12 เดือน ครั้งที่สองอายุ 2 ปี 6 เดือน

สำหรับทางองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่อเด็กอายุ 6 เดือน และเข็มที่สองกระตุ้นเมื่ออายุ 1 ปี 3 เดือน และได้มีการนำวัคซีนรวม MMR-V มาใช้ ประกอบด้วย หัด หัดเยอรมัน คางทูม และสุกใส

(บทความน่าสนใจ ตารางวัคซีน ตั้งแต่แรกเกิด-12 ขวบ ปี 2559)

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

2. เก็บรักษาสมุดอนามัยแม่และเด็ก (สมุดสีชมพู) ไว้

เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับตัวเด็กในการตรวจสอบประวัติการได้รับวัคซีนเมื่อเข้าเรียนรักษาสุขอนามัย

3. ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงการนำมือมาจับใบหน้า

เนื่องจากเชื้อนี้สามารถติดต่อจากสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย และหากสงสัยว่าป่วยด้วยโรคหัดควรไปพบแพทย์

4. หลีกเลี่ยงการพาทารกไปสถานที่พลุกพล่าน

ก่อนช่วงอายุ 9 เดือน ยังไม่ถึงกำหนดฉีดวัคซีน เด็กจะอาศัยภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากมารดา ซึ่งคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีประสิทธิภาพจนถึงเมื่อใด เด็กวัยนี้จึงควรหลีกเลี่ยงการไปอยู่พื้นที่มีคนจำนวนมากหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยและหากสงสัยว่าป่วยด้วยโรคหัดควรไปพบแพทย์และหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

อ่านต่อ “โรคหัดเยอรมันคืออะไร? โรคที่พ่อแม่ต้องกลัว” คลิกหน้า 4

โรคหัดเยอรมันคืออะไร?

หัดเยอรมัน เป็นไข้ออกผื่นอีกชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อไวรัส Rubella การติดเชื้อเริ่มจากเมื่อรับเชื้อแล้ว เชื้อจะกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เริ่มต้นเป็นไข้ต่ำๆ ไม่เกิน 38 องศา มีอาการปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต ตาแดง ปวดข้อ หลังจากมีไข้ได้ 2-3 วัน จะเริ่มมีผื่นแดงๆ ที่ใบหน้า ลำตัวและแขน ต่างจากหัดตรงที่ว่าผื่นน้อยกว่า และหายเร็วกว่า บางครั้งผื่นที่หน้าเริ่มหายแล้ว ขณะที่ผื่นเพิ่งเริ่มขึ้นที่แขนขา

การติดต่อของหัดเยอรมันคล้ายกับโรคหัด คือติดต่อจากการสัมผัสสารคัดหลั่งตามพื้นผิว นำไปป้ายตามปาก จมูก ตา และการไอจาม

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

โรคหัดเยอรมัน โรคที่พ่อแม่ลูกต้องกลัว

เมื่อเทียบกับโรคหัดแล้ว หัดเยอรมันถือว่าเป็นโรคที่แทรกซ้อนน้อยกว่ามาก เพราะมีไข้ต่ำๆ และอาการทั่วไปคล้ายหวัด โอกาสเสียชีวิตจากปอดอักเสบ สมองอักเสบ ต่ำกว่าโรคหัดมาก

แต่ที่เราต้องกลัว เนื่องจากหากผู้ที่ป่วย คือ หญิงตั้งครรภ์ จะเกิดปัญหารุนแรง โดยพบว่า 90% ของหญิงตั้งครรภ์ เชื้อโรคจะผ่านไปยังทารก ทำให้ทารกเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ส่วนที่รอดชีวิตมาได้ จะพิการ คือ หูหนวก ต้อกระจก โรคผนังห้องหัวใจผิดปกติ และมีความพิการในอวัยวะทั่วร่างกาย

อ่านต่อ “วิธีการรักษา และป้องกันโรคหัดเยอรมัน” คลิกหน้า 5

วิธีการรักษาโรคหัดเยอรมัน

โดยมากเป็นการรักษาตามอาการและรอให้ตัวโรคหายเอง เพราะอาการของโรคมักจะไม่รุนแรงอยู่แล้ว โดยใช้ยาลดไข้ทั่วไป ดื่มน้ำมากๆ อาจจะไข้ยาอมแก้เจ็บคอหรือลดน้ำมูกในรายที่มีอาการของระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

การป้องกันโรคหัดเยอรมัน

1.ตรวจก่อนตั้งครรภ์ และฉีดวัคซีน เนื่องจากโรคนี้มีผลต่อเด็กในครรภ์อย่างรุนแรงถึงขั้นพิการได้ จึงควรป้องกันในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ โดยก่อนแต่งงานควรตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อหัดเยอรมัน หรือเช็กประวัติการฉีดวัคซีนในวัยเด็ก หากไม่มีประวัติการฉีด หรือพบว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็ควรฉีดวัคซีน ควรฉีดล่วงหน้า 3 เดือนก่อนตั้งครรภ์

2.รักษาสุขอนามัย ล้างมือหลังจากไปจับสิ่งของรอบตัว ไม่ล้วงแคะ แกะ เกาใบหน้า

3.หลีกเลี่ยงการพาเด็กทารกที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนนี้ไปในที่ที่มีคนมากหรือพลุกพล่าน

อ่านต่อ บทความน่าสนใจ คลิก!

วัคซีนพื้นฐาน 6 ชนิดที่ลูกน้อยต้องได้รับ

แพทย์เตือน! ระวังอาหารเป็นพิษ-ไข้เลือดออกระบาดหน้าหนาว

รวมแพ็คเกจค่าฉีดวัคซีนเหมาจ่าย สำหรับลูกน้อยประจำปี 2559

 


เครดิต: http://www.piyavate.com/article/frontend/article_detail/id/220, http://health.kapook.com/view119391.html,
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000120149

Save

Save

Save