หากคุณอยาก เลี้ยงลูกให้ฉลาด …มารู้จักสมอง 3 ส่วน ของลูกก่อน ซึ่งเป็นที่มาของพัฒนาการสำคัญ 7 ด้านของลูก ที่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าเด็กคนหนึ่งจะฉลาดได้มากน้อยเพียงใด และคุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 7 ด้านได้อย่างไรบ้าง?
นายแพทย์พอล แมคลีน จิตแพทย์ชาวอเมริกัน สนใจศึกษาสาเหตุของโรคจิตในคนไข้ที่มีอาการหวาดระแวงโดยที่ไม่มีสาเหตุให้น่าหวาดระแวง และคนไข้ที่มีอาการหลงผิด โดยศึกษาสมองสัตว์ประเภทต่างๆ จนมาถึงสมองลิงและสมองคน ก็ได้พบว่า สมองคนเรามีพัฒนาการ 3 ส่วน และพัฒนาการของสมองทั้งสามส่วนเกี่ยวข้องกับพัฒนาการด้านต่างๆ ของคนเรา หากเปรียบเทียบสมอง 3 ส่วนเป็นตัวเลขจะได้ดังนี้
- สมองส่วนแรก พันธุกรรมควบคุมเกือบ 100%
- สมองส่วนที่สอง พันธุกรรมควบคุมมา 50% และตั้งแต่เกิด จนถึง 4 ขวบ เป็น การเรียนรู้อารมณ์ นิสัยใจคอ จากการเลี้ยงดูอีก 50%
- สมองส่วนที่สาม พันธุกรรมมีผลน้อยมาก เริ่มต้นเพียง 10 – 20% เท่านั้น ที่เหลืออยู่ที่การเลี้ยงดู การให้ประสบการณ์
สมองส่วนแรก
เป็นสมองส่วนที่ควบคุมให้อวัยวะเพื่อการมีชีวิตรอดทำงาน เช่น การเต้นของหัวใจ การหายใจ และทำให้มนุษย์มีสัญชาตญาณของการอยู่รอด การกิน การขับถ่าย การสืบพันธุ์ แม้พื้นฐานเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ควบคุมโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
แต่ในช่วงสองขวบปีแรกเด็กควรได้รับการเรียนรู้ที่จะสร้างนิสัย (Habit Forming) ที่ดี ให้ควบคุมร่างกายในเรื่องการกิน การขับถ่าย การตื่นการหลับ นิสัยต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานของการมีชีวิตรอดเพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นมนุษย์ สมองส่วนนี้เริ่มสร้างตั้งแต่ทารกอยู่ในท้องแม่ เมื่อคลอดออกมา สมองส่วนนี้สามารถทำงานได้ 99% และพร้อมทำงานเต็มที่ในช่วงขวบปีแรก
สมองส่วนที่สอง
เป็นสมองส่วนที่ทำให้คนเราสามารถเรียนรู้ สร้างโลกทัศน์ของการรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งรอบตัว มีทักษะและความสามารถด้านต่างๆ การเคลื่อนไหว เรียนรู้ภาษา ทั้งอ่าน พูด เขียน การคำนวณ การคิดหาเหตุผล คณิตศาสตร์ จินตนาการทางศิลปะ รวมทั้งการเรียนรู้วิชาการต่างๆ
สมองส่วนนี้เริ่มสร้างเมื่อแรกเกิดมีเพียง 25% แต่เติบโตได้ถึง 80% ภายใน 3 ขวบปีแรก ดังนั้นการเลี้ยงดูในช่วง 3 ขวบปีแรกจึงสำคัญมาก จึงเปรียบเทียบสมองส่วนนี้ว่าเป็นหน้าต่างของโอกาส (Window of Opportunities) คือ หากสมองได้รับปัจจัยส่งเสริมที่มีคุณภาพ เหมาะสม และเพียงพอสมองส่วนนี้จะพัฒนาก้าวหน้า หมายถึงเด็กได้รับการเลี้ยงดูให้ฉลาดนั่นเอง
ปัจจัยส่งเสริมสมองที่มีคุณภาพเหมาะสมและเพียงพอดังกล่าว ได้แก่ อาหาร การสัมผัส การกระตุ้นประสาทสัมผัสต่างๆ และการได้ประสบการณ์เรียนรู้จากกิจกรรมต่างๆ
สมองส่วนที่สาม
เป็นสมองส่วนที่พัฒนาให้คนเรามีความรู้สึก สมองส่วนนี้จะเป็นตัวกำหนดพื้นอารมณ์ซึ่งเป็นฐานของบุคลิกภาพของแต่ละคน ทำให้คนทุกคนแตกต่างกัน เด็กจะเติบโตเป็นคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของสมองส่วนนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญคือ การเลี้ยงดู
สมองส่วนนี้สร้างตั้งแต่ทารกอยู่ในท้องแม่ แต่เมื่อคลอดออกมาเพิ่งได้รับการสร้างไป 50% (ได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรม) อีก 50% ที่เหลือจะพัฒนาไปตามสภาพแวดล้อม ประสบการณ์ และการเรียนรู้ โดยเฉพาะตั้งแต่แรกเกิดถึง 4 ขวบจะเติบโตเร็วมาก
อ่านต่อ >> “วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด ด้วย 7 พัฒนาการชีวิต เพื่อความฉลาดรอบด้าน” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
วิธี เลี้ยงลูกให้ฉลาด ด้วย 7 พัฒนาการชีวิต เพื่อ
ความฉลาดรอบด้าน
หากสมอง 3 ส่วนได้รับการส่งเสริมได้เหมาะสม ถูกเวลา ถูกวิธี ลูกจะมีพัฒนาการทั้ง 7 ด้านที่ดี เป็นเด็กฉลาด มีคุณสมบัติที่ดี
1. พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ (Gross Motor Development)
กล้ามเนื้อมัดใหญ่คือ กล้ามเนื้อแขนขา ตามลำตัว หลัง รวมถึงการเคลื่อนไหวที่ไม่ต้องอาศัยกล้ามเนื้อละเอียด (Gross Motor Movement) เริ่มเกิดตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสองขวบ ตั้งแต่การหงาย คว่ำ ลุกนั่ง คลาน เหนี่ยวตัวเกาะยืน ก้าวเดิน แล้วก็เดินตัวตรงได้
⇒ วิธีช่วยกระตุ้นพัฒนาการ ได้แก่ การช่วยให้ลูกได้ออกกำลังกล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้แข็งแรง เพื่อความพร้อมในการเคลื่อนไหวขั้นต่างๆ ตามอายุที่โตขึ้น
2. พัฒนาการการรับรู้ การมองเห็น และการเคลื่อนไหว (Perception-Motor Development)
สำหรับเด็กเล็กตั้งแต่เป็นทารก การรับรู้ที่สำคัญคือ การมองเห็น แม้การได้ยิน การดมกลิ่น การรับรส จะสำคัญเหมือนกัน แต่ยังไม่แสดงออกชัดเจนนัก สังเกตว่า ถ้าเรานำสิ่งของหรือโมบายมาใกล้ๆ ทารกก็สามารถเอื้อมมือ คว้า หรือเคลื่อนไปหยิบจับสิ่งของนั้น ต่อมาก็เริ่มมองเห็นเป็นวงกลม เป็นสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม พอสองขวบสามารถหยิบจับรูปทรงต่างๆ ใส่ในบล็อกได้ เป็นต้น การเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสมองส่วนรับรู้กับส่วนเคลื่อนไหวเริ่มทำงานประสานกัน
⇒ วิธีช่วยกระตุ้นพัฒนาการ คือ มีของเล่นมาไว้ข้างหน้าลูกให้ได้คว้าจับ หรือเอาโมบายล์มาผูกไว้ให้เอื้อมไปคว้าได้ วิธีอื่นๆได้แก่ พาลูกเคลื่อนไหวไปตามวัย พลิกคว่ำ หงาย ขยับขาพยุงเดิน หัดเดิน
3. พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อละเอียด (Fine Motor Development) มี 2 ส่วน ได้แก่
• การใช้นิ้วมือหยิบ จับ คีบสิ่งของ จนขีดเขียนได้
⇒ วิธีช่วยกระตุ้นพัฒนาการ ได้แก่ การให้ลูกได้ใช้นิ้วมือและมือออกกำลังหยิบ จับ กำ คีบสิ่งของรอบตัว และดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน เช่น แต่งตัวได้ สวมเสื้อ กางเกง ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า กินข้าวเอง ไปจนถึงให้เล่น วาดรูป ระบายสี ไปจนถึงเขียนตัวอักษรตามรอย
• การใช้กล้ามเนื้อละเอียดที่อยู่ในริมฝีปาก ลิ้น กล่องเสียง เพื่อเปล่งเสียงออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำ
⇒ วิธีช่วยกระตุ้นพัฒนาการ ที่สำคัญคือ ต้องมีคนพูดกับลูกอย่างชัดถ้อยชัดคำ ให้ลูกได้ยินเสียง ได้เห็นริมฝีปากเรา เด็กจะเลียนแบบริมฝีปากและเปล่งเสียงออกมา การฝึกพูดเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะทันทีที่เด็กพูด หมายถึง เด็กจะเริ่มคิดเป็น เริ่มรู้ว่าคำพูดนี้หมายถึงใคร คำพูดนี้เกิดขึ้นที่ไหน อยู่ในเหตุการณ์หรือสถานที่ไหน มีตรรกะอย่างไร
4. พัฒนาการด้านอารมณ์ (Emotional Development)
การร้องไห้เป็นการแสดงอารมณ์ของทารกในช่วงแรก ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของความต้องการ ของการกินอยู่ ขับถ่าย เจ็บปวด ต่อมาจึงค่อยเรียนรู้อารมณ์ตามอารมณ์ของพ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดูใกล้ชิด โดยการเรียนรู้แบบการลอกเลียนแบบ (Imprinting) แล้วเอาอารมณ์นั้นมาเป็นพื้นอารมณ์ของตนเอง
⇒ วิธีช่วยกระตุ้นพัฒนาการ ผู้รู้จึงบอกว่า ตั้งแต่ลูกคลอดทุกครั้งที่แม่จะมาหาลูก ให้มีสีหน้าและอารมณ์ที่เป็นสุขยิ้มแย้มแจ่มใสเข้ามา เพราะถ้าแม่เป็นคนเครียดโกรธ ลูกก็จะมีพื้นอารมณ์อย่างนั้นตั้งแต่เล็กเช่นเดียวกัน เมื่อลูกโตขึ้น หากเขาอยู่ในหมู่คนที่มีอารมณ์แจ่มใส เบิกบาน (Positive Emotion) ลูกก็จะได้เลียนแบบอารมณ์ด้านบวก แน่นอนว่าก็เลี่ยงไม่ได้ที่ลูกจะต้องเจอคนที่อารมณ์ไม่ดี (Negative Emotion) เพียงแต่มีคนอธิบายให้ลูกเข้าใจว่า เพราะอะไรจึงเป็นอย่างนั้นเมื่อลูกเริ่มสงสัย ก็ถือเป็นการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ที่สำคัญมากด้วย
♦ Must read : วิจัยชี้ พ่อแม่ระวัง! ตะคอกใส่ลูก ทำลายสมอง ลูกโตไปเป็นเด็กมีปัญหา
อ่านต่อ >> “7 พัฒนาการชีวิต เพื่อความฉลาดรอบด้าน” คลิกหน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
5. พัฒนาการด้านสังคม (Social Development)
ลูกจะมีพัฒนาการด้านสังคมที่ดีหรือไม่ จะอยู่ร่วมกับสังคมได้หรือไม่ เช่น รู้จักแบ่งปัน อดทนรอคอย ไม่ทำร้ายคนอื่น รู้จักพึ่งพาและช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักการควบคุมตัวเอง ฯลฯ ขึ้นกับสัมพันธภาพของเขากับพ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงดูเขาตั้งแต่แรกเกิดว่าสามารถทำให้ลูกเกิดความเชื่อมั่น ไว้วางใจ ปลอดภัยได้หรือไม่ เพราะสิ่งนี้คือพื้นฐานในการพัฒนาคุณสมบัติอื่นๆ ตามมา
⇒ วิธีช่วยกระตุ้นพัฒนาการ เริ่มตั้งแต่สายใยที่ได้จากการกินนมแม่ ฮอร์โมนออกซิโทซินที่หลั่งออกมาในน้ำนมแม่จะกระตุ้นให้เกิดความผูกพันระหว่างแม่กับลูก รวมไปถึงการกอด สัมผัส และการเลี้ยงดู ดูแลเอาใจใส่
ต่อมาเมื่อลูกทำดี พ่อแม่ยิ้มตอบ ถ้าเขาทำอะไรไม่ดี พ่อแม่บอกทำหน้าบึ้งหรือทำหน้าไม่ยอมรับ ให้เขารู้ว่าสิ่งนี้เราไม่ทำกัน โดยไม่จำเป็นต้องตี ลูกก็จะเชื่อมั่นและเรียนรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำกับใคร เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น พ่อแม่ก็เป็นตัวอย่างให้ลูกได้เห็นพฤติกรรมหรือนิสัยที่พึงมีในการอยู่ในสังคม และสอนเมื่อถึงเวลาต้องสอน
6. พัฒนาการด้านการสื่อสาร (Communication Development)
ทารกเริ่มเรียนรู้การสื่อสารจากการใช้ข้อมูลที่ได้จากประสาทสัมผัสต่างๆ และนำมาใช้สื่อสารจากการได้เห็นตัวอย่าง เริ่มจากภาษาท่าทาง ต่อมาเป็นคำพูดและภาษาเขียน จากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับภาษาท่าทางในทารกแรกเกิดพบว่า พอแลบลิ้นให้เขา เขาก็แลบลิ้นกลับ ทำปากจุ๊บๆ เด็กก็ทำปากจุ๊บๆ กลับ ทำหน้าโกรธให้เขาก็ทำหน้าโกรธกลับมา
การศึกษาด้านการสื่อสารด้วยคำพูดก็พบว่า เด็กก็เรียนรู้คำและความหมายจากการเลียนเสียงและสังเกต โดยจะเริ่มสื่อสารเป็นคำพูดเมื่ออายุ 1 ขวบ จะเริ่มมีคำศัพท์ที่เขาพูดได้เป็นคำๆ ประมาณ 200 คำ อายุ 2 – 3 ขวบพูดได้ราวๆ 2,000 คำและเริ่มพูดเป็นประโยคสองคำ และเริ่มพูดประโยคที่ครบถ้วนประมาณ 3 – 4 ขวบ เมื่อ 4 ขวบขึ้นไปจะเริ่มใช้ภาษาเขียน เป็นต้น
⇒ วิธีช่วยกระตุ้นพัฒนาการ ได้แก่ การสื่อสารกันด้วยภาษาท่าทางและคำพูด
7. พัฒนาการด้านความถูกต้อง รู้ผิดชอบชั่วดีคุณธรรม จริยธรรม (Moral Development)
เป็นส่วนที่เด็กเรียนรู้ได้ตั้งแต่แรกเกิดและจำเป็นต้องเห็นตัวอย่างอีกเช่นกัน เพราะเด็กแรกเกิดจนถึง 2 ขวบยังไม่เข้าใจเหตุผล แต่จะเลียนแบบจากตัวอย่างคือ พ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงดูเขา
♦ Must read : สอนลูกให้เป็นคนดี มีจริยธรรมตั้งแต่แรกเกิด
⇒ วิธีช่วยกระตุ้นพัฒนาการ พ่อแม่เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตตั้งแต่แรกเกิด และค่อยๆ สอนเรื่องเหล่านี้ให้เหมาะสมตามวัยได้เช่น ลูกอายุ 1 – 2 ขวบ พ่อแม่ก็ช่วยบอกได้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ แต่ยังไม่จำเป็นต้องอธิบาย พออายุ 3 – 4 ขวบ ลูกเริ่มมีความเป็นตัวเองสูงขึ้น พ่อแม่เริ่มอธิบายได้ว่าเขาทำอะไรได้หรือไม่ได้ ด้วยเหตุผลอะไรนะ แต่ตอนนี้เด็กก็ยังเรียนรู้แบบจำไว้ (Preoperational)
หากต้องการ เลี้ยงลูกให้ฉลาด ซึ่งการที่ลูกได้รับการกระตุ้นมาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเข้าวัยประถมมัธยม เขาก็จะเริ่มรู้แล้วว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้ด้วยตัวของตัวเองโดยไม่ต้องมีใครมากำกับควบคุม (Operational) พอถึงระดับมหาวิทยาลัยก็เริ่มเป็นระดับที่เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่มี สิ่งที่เป็น ถูกต้องหรือไม่ เพราะอะไร (Concrete) และพัฒนาการด้านคุณธรรมจริยธรรมนี้ก็ค่อยๆ เจริญเติบโตจนเป็นผู้ใหญ่
อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!
- 2 เรื่องสำคัญ แม่ท้องต้องทำ เพื่อให้ลูกเกิดมาครบ 32 และมีสมองดี
- บำรุงสมองลูกน้อย ด้วย “อาหาร” ตั้งแต่แรกเกิด-3 ขวบ
- เคล็ดลับพัฒนาสมอง ด้วยการกอด กิน เล่น อ่าน
- สมองเด็ก ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย ต่างกันอย่างไร?
บทความโดย: ดร.นัยพินิจ คชภักดี