ใครจะคิดว่า แค่ลูกดู การ์ตูนฮีโร่ อย่าง ไอ้แมงมุม มนุษย์ค้างคาว หรือการ์ตูนแฟนตาซียอดฮิตอย่าง โดราเอมอน จะมีผลต่อการพัฒนาของสมองด้านทักษะชีวิต ฟังดูค้านความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่ใช่ไหมคะ ความจริงเป็นอย่างไร เด็กวัยไหนควรหลีกเลี่ยง แล้วพ่อแม่ควรเลี้ยงลูกแบบไหนให้สมดุล Amarin Baby and Kids มีคำตอบ
แพทย์ชี้ปล่อยลูกเล็กดู การ์ตูนฮีโร่ –แฟนตาซี เสี่ยงบั่นทอนทักษะ EF
เป็นที่รู้กันในวงกว้างว่า การปล่อยให้ลูกน้อยอยู่หน้าจอทุกประเภท ส่งผลต่อพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจของลูกน้อย หลังจากนั้นนักจิตวิทยาได้ทำการวิจัยเจาะลึกไปอีกขั้นเพื่อวิเคราะห์ว่ารายการประเภทไหนที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะทักษะชีวิตที่สำคัญอย่าง EF
รองศาสตราจารย์นายแพทย์วีระศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาวิชาพัฒนาการและการเจริญเติบโต และหน่วยปฏิบัติการวิจัยพัฒนาศักยภาพเด็กไทย ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ Amarin Baby and Kids ว่า จากงานวิจัยในต่างประเทศชี้ชัดว่า เด็กเล็กอายุก่อน 7 ขวบ ที่ดู การ์ตูนฮีโร่ –แฟนตาซีส่งผลให้การพัฒนาด้าน EF ซึ่งพัฒนาสูงสุดในช่วงนี้ลดลง
EF คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ
EF (effective function) คือ กระบวนการทำงานของสมองระดับสูงเพื่อควบคุม ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม เพื่อทำสิ่งต่างๆ จนสำเร็จถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานของคนเพื่อต่อยอดพัฒนาการด้านต่างๆ และการใช้ชีวิต
เริ่มต้นจากเรื่องง่ายๆ เช่น การเล่นจ๊ะเอ๋ ลูกจะต้องจำภาพพ่อแม่ได้ และรู้ว่าพ่อแม่จะอยู่หลังผ้าม่าน หรือหลังตู้ เป็นต้น หรือพูดง่ายๆ ว่า EF คือทักษะด้าน “จดจำ ควบคุม และยืดหยุ่น” ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้ลูกใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุข
จดจำ (working memory) หมายถึง ความจำเพื่อใช้งาน เช่น เวลาอ่านหนังสือ เด็กสามารถจำข้อความย่อหน้าแรกที่อ่านไปได้ เพื่อประมวลผลและเชื่อมโยงกับหน้าถัดไป
ควบคุม (inhibitory control) หมายถึง เด็กมีสติ จดจ่อ และควบคุมตัวเองท่ามกลางสิ่งเร้า ไม่ทำอะไรด้วยความหุนหันพลันแล่น
ยืดหยุ่น (cognitive flexibility) หมายถึง ยอมรับความล้มเหลว ผิดพลาด และหาทางออกใหม่ด้วยตัวเอง
“การศึกษาจากประเทศนิวซีแลนด์พบว่า ทักษะชีวิตในวัยเด็กเป็นตัวทำนายพฤติกรรมช่วงวัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ว่าจะเป็นอย่างไร หากเด็กอายุ 3-4 ขวบ ลงมือทำด้วยตัวเองได้ ควบคุมตัวเองดี ตอนวัยรุ่นมักรอดพ้นจากพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ติดยาเสพติด ท้องไม่พร้อม ได้มากขึ้น สมมุติว่าเพื่อนมาชวนไปดื่มเหล้า ใจหนึ่งลูกอยากไป แต่เกิดความคิดว่าดื่มจนเมาแล้วอันตราย ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ ลูกจะตัดสินใจเลือกอะไร
เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ คนที่ควบคุมตัวเองได้ดีจะประสบความสำเร็จทั้งด้านการเรียน การงาน มีสถานะทางการเงินที่ดี ป่วยเป็นโรคกลุ่ม NCDs (อ้วน เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง) และทำผิดกฎหมายน้อยกว่าคนที่ขาดทักษะด้านนี้”
เชื่อว่า พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี มีความสุข นอกเหนือจากการมอบคุณภาพชีวิตและการเรียนที่ดีให้ลูกแล้ว วิธีการเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเราหาซื้อไม่ได้ แต่ “ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง”
อ่านต่อ ทักษะชีวิตฝึกได้ตั้งแต่วัย 0 ขวบ หน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ทักษะชีวิตฝึกง่ายๆ ได้ที่บ้าน
ทักษะชีวิต “จดจำ-ควบคุม-ยืดหยุ่น” ของลูกน้อยเริ่มพัฒนาตั้งแต่วัยเด็กเล็กไปจนตลอดชีวิต ก่อนจะลดลงในวัยสูงอายุ ช่วงเวลาทองของการพัฒนาทักษะชีวิตอยู่ระหว่างวัย 3-6 ขวบ ผ่านการเล่น สบตา พูดคุย ร้องเพลง เล่านิทาน เล่นกีฬาของเด็กกับพ่อแม่ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของการมีทักษะชีวิตที่ดี นั่นคือการให้ลูก “ดูแลตัวเองได้ เอาตัวรอดได้ มีอนาคตที่ใช้ได้” สำเร็จ
“สิ่งสำคัญที่สุดของเด็กแรกเกิด คือพ่อแม่ เด็กทุกคนต้องการพ่อแม่ที่ “รับรู้ (sensitive) และ ตอบสนอง (responsive) ต่อความรู้สึก ความต้องการของลูกอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ตามใจ เพื่อสร้างสายใยระหว่างพ่อ แม่ และลูกจนรู้สึกปลอดภัยจนเกิดความกล้า และสร้างความมีตัวตน (self) กล้าทำอะไรด้วยตัวเอง
พอเด็กอายุ 3-6 ปีควรฝึกให้ลูก “ช่วยเหลือตัวเอง” ด้วยกิจวัตรง่ายๆ เช่น กินข้าวเอง ดูแลตัวเองได้ ยิ่งฝึกเป็นประจำ ลูกจะรู้สึกภูมิใจในตัวเอง พร้อมจะทำสิ่งที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่เด็กสมัยใหม่ พ่อแม่ทำให้ทุกอย่างเพราะกลัวลูกลำบาก กลายเป็นขัดขวางไม่ให้ลูกฝึกทักษะชีวิตโดยไม่ตั้งใจ เราจึงพบว่าเด็กเล็กๆ บวกเลขสามหลักได้ จำตัวอักษรไทย-อังกฤษได้ทุกตัว แต่พอไม่ได้ดั่งใจร้องกรี๊ดๆ ส่วนเด็กโตสอบตก อกหัก กลับอยากฆ่าตัวตาย”
การ์ตูนฮีโร่ –แฟนตาซี บั่นทอนทักษะชีวิตอย่างไร
ปกติเด็กวัยอนุบาล 3-6 ขวบปีจะเล่นบทบาทสมมุติตามจินตนาการ เช่น เล่นเป็นตำรวจจับผู้ร้าย เล่นคุณครูสอนนักเรียน หรือเล่นบทบาทพ่อแม่ลูก ซึ่งมาจากประสบการณ์ที่พบเจอมาของเด็กแต่ละคน เป็นกิจกรรมที่ช่วยฝึกทักษะชีวิตไปในตัว แต่ถ้าปล่อยให้เด็กใช้เวลากับการดูการ์ตูนแฟนตาซี การ์ตูนฮีโร่ ที่มีการแปลงร่าง หรือเปลี่ยนรูปที่ไม่เกิดขึ้นในชีวิตจริง (Impossible transformation) เช่น ตัวการ์ตูนหายตัวได้ เดินบนอากาศ สัตว์ประหลาดหลายหน้า มีผลต่อทักษะชีวิตของลูกลดลง
“จากการทดสอบของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา จัดให้กลุ่มเด็กตัวอย่างอายุ 4 และ 6 ปี นั่งดูการ์ตูนแฟนตาซี การ์ตูนฮีโร่ หลังจากนั้นจึงทดสอบ EF ผลปรากฏว่าประสิทธิภาพลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเด็กที่ดูการ์ตูนแนวสมจริง เช่น พี่น้องผจญภัย และการเล่นตามวัย หรือการฟังนิทานที่ไม่มีเนื้อหาแฟนตาซี ในระยะเวลาเท่า ๆ กัน ยิ่งเป็น การ์ตูนฮีโร่ -แฟนตาซีที่เปลี่ยนภาพเร็ว อย่างแอคชั่นต่อสูู้ ด้วยแล้วระดับ EF ของเด็กยิ่งลดลง”
อ่านต่อ การ์ตูนฮีโร่-แฟนตาซี มีผลต่อสมองของลูกอย่างไร หน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
ในวัย 0-6 ขวบ เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์เดิม เช่น เขาเคยรับรู้ว่า คนหายใจทางจมูก คนอยู่บนบกได้ แต่อยู่ในน้ำไม่ได้ถ้าขาดออกซิเจน สิ่งนี้เกิดจากการทำหน้าที่ของสมองในการ “ค้นหาความผิดพลาด” เพื่อต่อยอดจากสิ่งที่เรียนรู้มาอย่างเป็นลำดับขั้น 1 2 3 4 แต่ถ้าการ์ตูนฮีโร่-แฟนตาซี มีตัวละครที่หายใจ และใช้ชีวิตใต้ทะเลได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่สัตว์น้ำ เด็กจะเกิดความสับสนทันทีว่า สิ่งไหนคือเรื่องจริง ส่งผลให้สมองเกี่ยวกับ EF ทำงานหนักเกินไปจนล้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทักษะชีวิต
นอกจากนี้ สมองมีระบบสมาธิ (attentional system) คือส่วนบน (ทำหน้าที่ควบคุมสมาธิ) และส่วนล่าง (ทำหน้าที่กระตุ้นให้ประสาทตื่นตัว) โดยปกติสมองจะควบคุมสมาธิจากส่วนบนลงล่าง เพื่อตัดสิ่งเร้าออกไป และเพ่งสมาธิไปยังสิ่งสำคัญ แต่การดู การ์ตูนฮีโร่ -แฟนตาซี มีภาพเสียงเปลี่ยนไปมารวดเร็ว เป็นการกระตุ้นสมาธิจากด้านล่างขึ้นบน ทำให้เด็กต้องหันไปสนใจเสียงหรือสิ่งเร้ารอบตัว หากปล่อยให้ลูกดูเป็นประจำ เด็กจะควบคุมสมาธิได้น้อยลง วอกแวกง่าย กระทบต่อการ “จดจำ ควบคุม และยืดหยุ่น” อย่างสิ้นเชิง
การ์ตูนแบบไหนลูกดูได้ พ่อแม่ต้องทำอย่างไรดี
แม้การไม่ให้ลูกดูการ์ตูนอยู่หน้าจอจะเป็นวิธีแก้ไขที่ดี่ที่สุด แต่สำหรับเด็กยุคนี้ที่พ่อแม่มีเวลาจำกัด การทำกิจกรรมนอกบ้านนานๆ เป็นเรื่องยาก การห้ามดูการ์ตูนอย่างเด็ดขาดคงกลายเป็นเรื่องในอุดมคติที่พ่อแม่หลายคนคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” ถ้าเช่นนั้นจะมีแนวทางใดบ้างที่พ่อแม่ยังให้ลูกดูการ์ตูนได้โดยไม่บั่นทอน EF
“จริงๆ แล้ว เด็กวัย 0 – 2 ขวบ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่หน้าจอทุกชนิด เพราะเป็นวัยที่ต้องการเรียนรู้จากประสบการณ์จากพ่อแม่ หากปล่อยให้เด็กวัย 6 – 18 เดือน ดูหน้าจอจะมีความเสี่ยงต่อพฤติกรรมดื้อ ต่อต้าน และพฤติกรรมคล้ายออทิสติก ทักษะทางภาษาล่าช้า
ส่วนเด็กวัย 2- 5 ขวบ จำกัดการดูหน้าจอไม่เกินวันละ 1 ชั่วโมง และควรเป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่นั่งดูด้วยเท่านั้น หรือเลือกการ์ตูนที่เหมาะสมกับวัย ไม่แฟนตาซีเกินจริงมากเกินไป คุณพ่อคุณแม่สามารถตรวจสอบการ์ตูนที่เหมาะสมกับลูกแต่ละวัยได้จากเว็บไซต์ www.commonsensemedia.org เพียงใส่ชื่อการ์ตูนลงไป ก็จะทราบทันทีว่าการ์ตูนเรื่องนั้นเหมาะกับเด็กวัยไหน
สิ่งนี้ต้องทำควบคู่ไปกับ การฝึก EF ให้ลูกตั้งแต่ยังเล็กผ่านกิจวัตรประจำง่ายๆ และการเล่นตามวัย ทั้งช่วยเหลือตัวเอง มีวินัย สอนให้รู้จักอารมณ์ตัวเอง เพื่อให้ลูกค่อยๆ พัฒนาทักษะด้านนี้ไปจนโต
บทความที่น่าสนใจอื่นๆ
9 ผลเสียที่จะเกิดเมื่อลูกขาด ทักษะ EF
ป้องกันลูกติดมือถือ สไตล์คุณพ่อลูกสอง เต๋า สมชาย
9 ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ก่อน 2 ขวบ
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ “ผลของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านจอต่อเด็กและวัยรุ่น” และ “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF” สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่